เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล – ตอนที่ 231 (1) วิหารการสงคราม อกําเนิด

Sign in Buddha’s palm 231 (1) วิหารการสงคราม อกําเนิด

 

“นายท่านแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียว?”

 

เหยียนไห่กลืนน้ําลาย พูดออกมาด้วยเสียงกระซิบ

 

เฉพาะเมื่อก้าวเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เจ็ดจึงจะมีคุณสมบัติพอที่จะเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุด

 

ทุกวันนี้บรรพชนที่หลับใหลในนิกายใหญาต่างแดนล้านอยู่

 

เฉพาะเมื่อก้าวเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เจ็ดจึงจะมีคุณสมบัติพอที่จะเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุด

 

แม้จะมีบันทึกกล่าวเอาไว้ว่าตํานานยุทธระดับนภาชั้นที่เจ็ดก็สามารถควบแน่นอาณาเขตได้ ตัวอย่างเช่น ในยุคเฟื่องฟูของกระแสปราณฉีครั้งล่าสุด บุตรแห่งสวรรค์ ตัวตนที่น่าภาคภูมิหลายคนสามารถรวบรวมพลังฟ้าดินควบแน่นเป็นอาณาเขตขนาดเล็กได้

 

แต่บันทึกก็เป็นเพียงแค่บันทึก ในสมัยโบราณมีตํานานยุทธสักกี่คนกันที่สามารถควบแน่นอาณาเขตในระดับนภาชั้นที่เจ็ดได้?

 

“สิ่งเดียวที่ข้าหวังในตอนนี้คือ สํานักเอกะวิถีอย่าได้ส่งใครมาเพิ่มอีกเลย…”

 

นักพรตเฒ่ากล่าวขึ้นหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงถอนหายใจออกมา

 

คํากล่าวนั้น

 

ทําให้เหยียนไห่ตกใจ

 

ตามคํากล่าวของนักพรตเฒ่า ซูฉินเป็นตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ควบแน่นอาณาเขตได้แล้ว ตัวตนเช่นนี้น่าสะพรึงกลัว ยิ่งยกเว้นจะมีเซียนเทพปฐพีกําเนิดขึ้นในรอบพันปีนี้ จะมีใครทําอะไรเขาได้?

 

หากสํานักเอกะวิถียังคงส่งคนมาเพิ่มอีก ก็เท่ากับส่งคนมาหาเรื่องตาย…

 

แม้ว่าเขาและนักพรตเฒ่าจะยอมก้มหัวได้ทันเวลาจนรอดชีวิตมาได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าซูฉินจะไว้ชีวิตนักพรตสํานักเอกะวิถีคนอื่นๆ

 

และที่สําคัญกว่านั้น ในอนาคตหากสํานักเอกะวิถียังคงมุ่งเป้ามาที่ซูฉินโดยไม่ยั้งคิด เกรงว่าสํานักเอกะวิถีคงจะถูกทําลายลงทั้งสํานัก

 

“ในอนาคต หากเจ้าพบว่าศิษย์คนใดของสํานักเอกะวิถีเข้ามาในเมืองฉางอัน เจ้าต้องรีบหยุดพวกเขาทันที และพาเขาไปคํานับผู้อาวุโส เพื่อพิสูจน์ว่าพวกเราไม่ได้มีเจตนาจะ “ระราน” นักพรตเฒ่ากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

 

“ดีขอรับ”

 

เหยียนไห่พยักหน้าเล็กน้อย กล่าวตอบอย่างเคร่งขรึม

 

ตอนที่เขาถูกซูฉินปราบ เหยียนไห่ยังคงเหลือความหวังในใจ เขาคิดว่าถ้าสานักเอกะวิถีได้สื่อสารกับซูฉินในอนาคต เขาอาจจะได้รับการไถ่ตัว”

 

แต่ตอนนี้ความคิดนั้นถูกลบไปจากใจของเหยียนไห่เรียบร้อยแล้ว ซูฉินแข็งแกร่งอย่างมาก สํานักเอกะวิถีคงต้องการส่งศิษย์เพื่อมาเอาใจซูฉินเสียมากกว่า จะไถ่ตัวเขากลับไปทําไม?

 

“อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของข้าตอนนี้พัฒนาได้อย่างรวดเร็วเทียบเท่ากับฝึกฝนอย่างหนักภายในสํานักเอกะวิถี”

 

เหยียนไห่คิดอย่างลับๆในใจ จิตวิญญาณเขาถึงกับประหวั่นพรั่นพรึง

 

แม้ว่าชีวิตความเป็นความตายของเขาจะอยู่ในกํามือของซูฉิน แต่ซูฉินก็ไม่เคยเรียกร้องอะไรมากเกินไป และบางครั้งก็คอยชี้แนะการฝึกฝนให้แก่เขา

 

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ควบแน่นอาณาเขตได้มาชี้แนะแนวทางการบ่มเพาะให้ ถ้าเรื่องนี้ไปถึงต่างดินแดน มันก็เพียงพอแล้วที่จะทําให้ตํานานยุทธระดับผู้เยี่ยมยุทธอิจฉา ไม่ต้องพูดถึงการตกเป็นทาส แม้ว่าจะเป็นช้างม้าวัวควายก็ยอม

 

“เจ้าพวกมนุษย์ เจ้าจะมารู้จักนายท่านดีแค่ไหนกันเชียว?”

 

ชิงชิวเฉียนเฉียนเยาะเย้ยอยู่ในใจ หลังจากที่นางรับใช้ซูฉินเป็นเวลานานบนเกาะหยิงโจว เป็นธรรมดาที่นางจะรู้ว่าน อกจากตัวตนของตํานานยุทธแล้วนั้น ซูฉินยังมีความสัมพันธ์บางอย่างกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ลือกันว่ามีธาตุไฟที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างอีกาทองคําสามขา

 

แม้ว่าซูฉินจะปฏิเสธอย่างชัดถ้อยชัดคําว่าเขาไม่ใช่อีกาทองคําสามขา แต่ในมุมมองของชิงชิวเฉียนเฉียน แม้ว่าซูฉินจะไม่ใช่อีกาทองคําสามขาเลือดบริสุทธิ์ เขาก็ต้องมีสายเลือดสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังอย่างอีกาทองคําสามขาไหลเวียนอยู่ในกาย ทั้งยังใกล้เคียงกับเลือดบริสุทธิ์มากอีกด้วย

 

นั่นคือสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เชียวนะ!

 

อีกาทองคําสามขา สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในด้านการใช้ไฟ จะเอาไปเปรียบเทียบกับตํานานยุทธได้อย่างไร?

 

อีกาทองคําสามขาที่โตเต็มวัยสามารถแปลงกายเป็นดวงตะวันขนาดมหึมา แผดเผาท้องฟ้าและผืนดิน พื้นดินที่เหยียบย่างยังถูกเผา นับประสาอะไรกับสิ่งมีชีวิต

 

“อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ของนายท่านกับอีกาทองคําสามขาควรเก็บเป็นความลับสุดยอด ไม่ควรเปิดเผยออกมา”

 

ความคิดของชิงชิวเฉียนเฉียนผันผวน นึกอยู่ในใจอย่างรวดเร็ว

 

เวลาค่อยๆผ่านเลยไปอย่างช้าๆ

 

พริบตาก็ผ่านไปหลายเดือน

 

เหนือพระราชวังอันสูงตระหง่านใต้ผืนดิน

 

หลังจากฝึกฝนอย่างหนักมาหลายเดือน กลิ่นอายของซูฉินลึกซึ้งเสียยิ่งกว่าหลายเดือนก่อน โดยเฉพาะแผ่นหินขนาดใหญ่ด้านหลัง จุดแสงบริเวณขอบสองสว่างออกมา

 

ฉับพลัน

 

ในตอนนี้เอง

 

ดูเหมือนว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพบางอย่างเกิดขึ้นแล้ว

 

จุดแสงที่ขอบของแผ่นหินพลันสว่างวาบ เห็นเหมือนอีกาทองคําสามขาที่ดูร้อนแรงราวดวงตะวันกําลังสยายปีก พลังไฟอันน่าสะพรึงกลัวเกือบจะหลอมละลายโถงพระราชวังสูงตระหง่าน

 

“เกือบหนึ่งปีในการฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมาอย่างหนักหน่วง ในที่สุดก็เข้าสู่จุดเริ่มต้นได้แล้วเสียที…”

 

ซูฉินค่อยๆลืมตาขึ้น เครื่องหมายจางๆรูปเปลวเพลิงปรากฏขึ้นตรงกลางหว่างคิ้วของเขา

 

หลังจากกลับมาที่เมืองฉางอันเป็นเวลาหลายเดือน รวมกับเวลาหลายเดือนบนเกาะหยิงโจวเป็นเวลาเกือบหนึ่งปี แล้วที่ซูฉินใช้สิทธิ์ลงชื่อเข้าใช้ทั้งหมดไปในเมืองอินจี๋โลกถ้ําปีศาจ เพื่อรับโอสถปีศาจธาตุไฟมาใช้กับภาพดวงตะวันขนาดมหึมา

 

“ร่างกายของข้า หลังจากถูกหล่อหลอมด้วยเปลวไฟ ดูเหมือนว่าได้แปรสภาพเป็นครั้งที่หกแล้ว…”

 

ซูฉินดูมีความสุข ในตอนนี้ร่างกายของเขาได้เพิ่มระดับขึ้นไปอีกครั้ง ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะเป็นมือหรือเท้าของเขาก็สามารถฉีกอากาศออกจากกันได้ ซูฉินเชื่อว่าถ้าชิงชิวชิงหลิงยังอยู่และมายืนอยู่เบื้องหน้าของเขาในตอนนี้ เขาไม่จําเป็นต้องพึ่งห้าหมัดสายฟ้าเทพเจ้าอีกต่อไป สามารถใช้กายเนื้อล้วนๆบดขยี้ได้โดยตรง

 

แต่นี่ไม่ใช่ผลประโยชน์ใหญ่สุดที่ซูฉินได้รับ

 

เขาค่อยๆ เหยียดมือขวาออกมา และในฝ่ามือสีขาวนวลของเขา นอกจากประกายแสงสีทองแล้ว ยังมีแสงสีแดงที่ร้อนแรงราวกับเปลวไฟอยู่ด้วย นี่แสดงให้เห็นว่าร่างกายของซูฉินในยามนี้ใกล้เคียงกับพลังแห่งไฟโดยกําเนิดแล้ว เมื่อใดที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาหรือใช้ทักษะธาตุไฟ ความก้าวหน้าจะมีมากกว่าปกติเป็นพันเท่าอย่างแน่นอน

 

“ในเวลานี้ ร่างกายของข้าแข็งแกร่งพอที่จะป้องกันการโจมตีประเภทไฟได้เกือบทั้งหมด แม้ว่าจ้าวทะเลบูรพาจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาแล้วโจมตีข้าด้วยเปลวไฟ เกรงว่าพลังก็จะอ่อนแอลงกว่าครึ่ง”

 

ซูฉินดูประหลาดใจ กระซิบกระซาบอยู่กับตนเอง

 

หลังจากที่เข้าสู่จุดเริ่มต้นของภาพดวงตะวันขนาดมหึมา ซูฉินก็รู้สึกว่าโลกทั้งใบนั้นเปลี่ยนไป แม้ว่าซูฉินจะยังคงสามารถควบคุม ดิน น้ํา ลม ไฟทุกอย่างได้ด้วยพลังของอาณาเขต

 

แต่นั่นก็การบังคับด้วยพลังอํานาจ แต่ตอนนี้ซูฉินรู้สึกว่า แม้เขาจะไม่ได้ใช้พลังจากแก่นแท้แห่งพลัง จิตสัมผัสศักดิ์สิท ธิ์ และอาณาเขต ก็ยังสามารถควบคุมพลังแห่งไฟได้

 

| การควบคุมนี้เป็นการควบคุมได้โดยธรรมชาติ คล้ายๆกับเป็นสัญชาตญาณ

 

“นี่เพิ่งขั้นเริ่มต้น แล้วถ้าฝึกฝน “ภาพดวงตะวัน” จริงๆ มันจะเป็นอย่างไรกันหนอ?”

 

หลังจากที่ซูฉินคุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงของตนเองแล้ว ใบหน้าของเขาก็ดูปลื้มใจอยู่เล็กๆ

 

“วิชาศักดิ์สิทธิ์นี้ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ”

 

ซูฉินจมลงไปในส่วนลึกของจิตใจ และเหลือบมองภาพ แผ่นหินทั้งสิบสองรูปที่ค่อยๆหมุนอยู่ภายในจิตอีกครั้ง

 

“แต่เพียงแค่จุดเริ่มต้นของภาพดวงตะวันขนาดมหึมาก็ใช้เวลาในการลงชื่อเข้าใช้ไปกว่าหนึ่งปีแล้ว ส่วนต่อจากนี้ทั้งความสําเร็จระดับเล็กกับความสําเร็จอันยิ่งใหญ่ ข้าควรจะทําเช่นไรจึงจะบรรลุถึงมันได้?”

 

สีหน้าของซูฉินกลายเป็นหนักอึ้ง

 

“ในช่วงที่ลงชื่อเข้าใช้ นอกจากจะได้รับโอสถปีศาจธาตุไฟแล้ว ยังได้รับโลหิตเทพเจ้าปีศาจมาหยดหนึ่งด้วยงั้นหรือ?”

 

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

บทนำ ซูฉินเที่ยวท่องไปในยุทธภพอันกว้างใหญ่ เป็นโลกที่ชาวยุทธครองพิภพ เป็นสถานที่ที่ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนอยู่เหนือใต้หล้า เป็นที่ที่ผู้สืบทอดหมัดเก้าตะวันออกหาประสบการณ์ต่อสู้ไปตามแนวสายธารอันทอดยาวและภูเขาสูงชัน ทั้งยังมีเสียวหลี่ที่ขี่กระบี่โบยบินสู่นภากาศอันเวิ้งว้างว่างเปล่า เนื่องจากซูฉินไม่มีพรสวรรค์ด้านวิชายุทธ เขาจึงเป็นได้เพียงพระกวาดลานแห่งตำหนักลานจิปาถะ ในเวลานั้นเอง ระบบแห่งการลงชื่อเข้าใช้ก็ถูกกระตุ้นเปิดออก! ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าพระประธานสีทองอร่าม ได้รับ [ฝ่ามือยูไล] ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าลานสงฆ์ ได้รับ [กายแกร่งวัชระ] ลงชื่อเข้าใช้ที่ภูเขาหลังวัด ได้รับ [กายาโพธิสัตว์ปีศาจทองคำ] สมบัติแทบจะแทรกอยู่ทุกหย่อมหญ้าในวัดเส้าหลินให้ได้ลงชื่อรับของรางวัลมา ซูฉินจึงไม่คิดลงจากภูเขาอันเป็นที่ตั้งของวัดเส้าหลินไปที่ไหนแน่หากยังไม่ได้ลงชื่อรับของรางวัล และตัวเขาก็ลงชื่อเข้าใช้อยู่แบบนั้นมาตลอดยี่สิบปี ยี่สิบปีผ่านไป เส้าหลินเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรม เหล่ามารเข้าโจมตีวัดเส้าหลินอย่างมิเกรงฟ้าดิน มาทั่วทุกสารทิศมุ่งเข้าสู่ศาลาพระคัมภีร์ อย่างดุร้าย! และทรงพลัง! จนกระทั่งพวกมันเจอเข้ากับศิษย์วัดนามซูฉินกำลังกวาดลาน… แปลจากงานเขียนเรื่อง Sign in Buddha’s palm ผู้แต่ง : หุยเต้าหยวนชู ปล.เนื้อหาภายในเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ผู้แปลเพียงนำเสนอผลงานในรูปแบบที่เข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset