เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm] Sign in Buddha’s palm 231 (II) วิหารการสงครามถือกําเนิด
Sign in Buddha’s palm 231 (II) วิหารการสงครามถือกําเนิด
“วิชาศักดิ์สิทธิ์นี้ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ”
ซูฉินจมลงไปในส่วนลึกของจิตใจ และเหลือบมองภาพแผ่นหินทั้งสิบสองรูปที่ค่อยๆหมุนอยู่ภายในจิตอีกครั้ง
“แต่เพียงแค่จุดเริ่มต้นของภาพดวงตะวันขนาดมหึมาก็ใช้เวลาในการลงชื่อเข้าใช้ไปกว่าหนึ่งปีแล้ว ส่วนต่อจากนี้ทั้งความสําเร็จระดับเล็กกับความสําเร็จอันยิ่งใหญ่ ข้าควรจะทําเช่นไรจึงจะบรรลุถึงมันได้?”
สีหน้าของซูฉินกลายเป็นหนักอึ้ง
“ในช่วงที่ลงชื่อเข้าใช้ นอกจากจะได้รับโอสถปีศาจธาตุไฟแล้ว ยังได้รับโลหิตเทพเจ้าปีศาจมาหยดหนึ่งด้วยงั้นหรือ?”
จิตใจของซูฉินเคลื่อนไหว ทันใดนั้นเลือดหยดหนึ่งก็ลอยอยู่ตรงหน้าของเขา
เลือดหยดนี้ไม่เหมือนกับโลหิตเทพเจ้าปีศาจที่ซูฉินเคยได้รับมาก่อน เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มาจากเทพเจ้าปีศาจตนเดียวกัน
โลหิตเทพเจ้าปีศาจที่ได้รับจากการลงชื่อเข้าในเมืองอินจีนั้นยังคงมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ก็มองได้ไม่ชัดเช่นเดิม ทว่าสิ่งที่แตกต่างคือมันเต็มไปด้วยพลังของเปลวเพลิงที่ทรงพลังอย่างยิ่ง
พลังของเปลวเพลิงนี้ย่อมด้อยกว่าไฟของดวงตะวันที่แท้จริงจาก อีกาทองคําสามขาที่สลักไว้บนแผ่นหินภาพดวงตะวัน” แต่มันย่อมเหนือกว่าพลังของจ้าวทะเลบูรพาอย่างแน่นอน
“เทพเจ้าปีศาจที่เดินในเส้นทางแห่งไฟ?”
ซูฉินแตะปลายคาง ใบหน้าครุ่นคิด
“ข้ารู้สึกว่าโลหิตเทพเจ้าปีศาจหยดนี้น่าจะช่วยให้ข้าฝึกภาพดวงตะวันขนาดมหึมาได้อย่างดี…..”
ซูฉินมองดูโลหิตเทพเจ้าปีศาจที่อยู่เบื้องหน้าของเขา ร่องรอยความสิ้นหวังก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “แต่ขากลับสัมผัสมันไม่ได้ ”
โลหิตเทพเจ้าปีศาจไม่สามารถใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เข้าถึงได้ สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเท่านั้น เป็นธรรมดาที่จะสัมผัสมันไม่
“ไว้พูดเรื่องนี้ที่หลัง”
ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงนําโลหิตเทพเจ้าเก็บกลับเข้าไปในคลังระบบ
อย่างไรก็ตาม เลือดของเทพเจ้าปีศาจได้ตกมาอยู่ในกํามือของเขาแล้ว อย่างไรมันก็ไม่หนีไปไหนอยู่ดี
หลังจากที่บรรลุความสําเร็จเล็กๆน้อยๆ ในวิชาภาพดวงตะวันขนาดมหึมาแล้ว ซูฉินก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกและไม่ได้อุทิศเวลาทั้งหมดไปกับการฝึกฝนอีกต่อไป เขามักจะออกไปที่วังหลวง เพื่อเดินเล่นไปรอบๆ คอยชี้แนะการฝึกฝนให้กับตระกูลซู
“พี่สาม ข้ารู้สึกว่าตนเองอ่อนวัยลงในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ ” ซูเยวหยุนพูดด้วยความดีใจเมื่อพบเข้ากับซูฉิน
ซูฉินยิ้มและไม่ได้พูดอะไร
แม้ว่าหยดน้ําจิตวิญญาณกําเนิดพฤกษาจะไม่มีผลกับซูฉิน แต่นั่นเป็นเพราะระดับของซูฉินนั้นสูงเกินไป หากเปลี่ยนเป็นตํานานยุทธคนอื่นๆ แม้ว่าจะเป็นผู้เยี่ยมยุทธ แต่ถ้าเป็นหยดน้ําจิตวิญญาณ กําเนิดพฤกษาพวกเขาย่อมปรารถนาแน่นอน ไม่ต้องถึงขนาดช่วยยืดอายุขัย อย่างน้อยการช่วยปรับปรุงสมรรถภาพทางก็เพียงพอ แล้วที่จะทําให้จิตใจของผู้คนสั่นไหว
ซึ่งในฐานะคนธรรมดาอย่างซูเยวหยุนที่ซึมซับหยดน้ําจิตวิญญาณกําเนิดพฤกษาเข้าไป มิใช่จะช่วยฟื้นฟูความอ่อนเยาว์ตลอดไปเลยหรือไร?
“มีหยดน้ําจิตวิญญาณกําเนิดพฤกษาเหลืออยู่อีกสามชั่ง จะให้ตระกูลซูสักหยดดีหรือไม่?”
ซูฉินคิดกับตนเองว่าในตอนนี้เขาก็อยู่ระดับนภาชั้นที่แปดแล้ว และสามารถควบแน่นอาณาเขตได้ด้วย ไม่จําเป็นต้องรออย่างยาวนานเหมือนตอนที่มอบให้ซูเยวหยุนก่อนหน้านี้
เมื่อนึกเรื่องนี้ได้ ซูฉินก็แอบแบ่งหยดน้ําจิตวิญญาณกําเนิดพฤกษาสามหยด กระจายออกไปให้หลอมรวมเข้ากับร่างของคนในตระกูลซู
หลังจากให้ตระกูลซูเรียบร้อยแล้ว ซูฉินก็มอบให้จักรพรรดิถังอีกหยดหนึ่ง อย่างไรเสียหยดน้ําจิตวิญญาณแรกกําเนิดก็มีอีกสองสามชั่ง นอกจากนี้มันยังไร้ประโยชน์กับซูฉิน เขาจึงไม่ได้รู้สึกทุกข์ใจอะไร
จากนั้นซูฉินก็มอบแผ่นไม้ให้กับหลีหว่านอีกครั้ง คราวนี้ซูฉินทิ้งเจตจํานงดาบเพิ่มไว้ให้อีกเล็กน้อย ซึ่งเพียงพอให้หลีหว่านศึกษาไปได้อีกสองสามปี
– CC
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้เจ้าขาดอะไรมากที่สุด”
ซูฉินขมวดคิ้วเมื่อมองไปเห็นหลีหว่านที่กําลังฝึกดาบอยู่ไม่ไกล
“ลุงสาม ข้าขาดอะไร” ใบหน้าของหลีหว่านดูเสียศูนย์
“จิตสังหาร”
ซูฉินพูดออกมาช้าๆ
ทักษะดาบของหลีหว่านเกือบจะถึงขอบเขตสามระดับบนแล้ว แต่ไร้ซึ่งร่องรอยของจิตสังหาร
เดิมที่วิชาดาบเป็นที่รู้จักในด้านการต่อสู้และฆ่าฟัน การที่หลี่หว่านไม่มีจิตสังหารในวิชาดาบเลย มันจะไม่เป็นการวางเกวียนไว้หน้าม้าหรอกหรือ?
“จิตสังหาร
” หลีหว่านมีสีหน้าที่ว่างเปล่า
เมื่อซูฉินเห็นเช่นนี้ ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดบนใบหน้าของเขาเช่นกัน
จิตสังหารจะมีได้ก็ต่อเมื่อผ่านการต่อสู้ดิ้นรนเอาชีวิตรอดมาแล้วเท่านั้น
และหลีหว่านในฐานะองค์หญิงแห่งราชวงศ์ถัง ทั่วทั้งวังหลวงนี้ ใครจะกล้าปล่อยให้หลีหว่านตกอยู่ในการต่อสู้ที่อันตรายถึงตาย?
แม้แต่ขันที่ชุดแดงที่คอยซ้อมมือกับหลีหว่านอยู่บ่อยๆ ก็ไม่กล้าใช้จิตสังหารมองดูหลีหว่านด้วยซ้ํา นับประสาอะไรกับการต่อสู้ที่อันตรายถึงแก่ชีวิต
เมื่อเป็นเช่นนี้ หลีหว่านจึงไม่สามารถสร้างจิตสังหารที่แท้จริงออกมาได้เลย
และหากปราศจากจิตสังหาร วิชาดาบก็เหมือนสูญเสียจิตวิญญาณ ไม่ว่ามันจะงดงามเพียงใด มันก็เป็นเพียงเปลือกที่ว่างเปล่า
“ลุงสาม ข้าควรทําเช่นไรดี…”
หลีหว่านดูเหมือนจะเข้าใจ และถามออกมาอย่างรวดเร็ว
“ทําเช่นไร?”
ซูฉินกําลังจะกล่าวต่อ
ฉับพลัน
ในตอนนั้นเอง
ท่าทีของซูฉินก็เปลี่ยนไป และทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้น มองไปยังทิศทางหนึ่ง
“เขาคุนหลุน..
ซูฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วเบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะพร้อมเรียกใช้วิชาปราณฉีฟ้ากําหนด ก็รู้สึกได้จางๆว่าความผันผวนขนาดใหญ่นั้นมาจากเทือกเขาคุนหลุน
“วิหารการสงครามกําลังจะถือกําเนิดแล้ว……..”