Sign in Buddha’s palm 249 (1) พวกเจ้ากำลังมองหาอะไร?
“นี่คือลูกท้อบ้าน?”
ซูฉินมองดูผลไม้จิตวิญญาณที่เต็มไปด้วยพลังเบื้องหน้าเขาอย่างระมัดระวัง
นับตั้งแต่ที่ได้ลูกท้อบ้านมาจากการลงชื่อเข้าใช้บนยอดเขาคุนหลุนซูฉินก็เพิ่งจะเอามันออกมาจากพื้นที่ระบบเป็นครั้งแรก
แม้แต่ในวิหารการสงครามอย่างมากซูฉินก็ทำแค่ผสานจิตใจเข้าไปในพื้นที่ของระบบเพื่อสังเกตดู สุดท้ายแล้ววิหารการสงครามก็ถูกทิ้งเอาไว้โดยโหวหยาน อาจจะมีบางอย่างภายในนั้นก่อนที่ซูฉินจะปรับแต่งมันอย่างสมบูรณ์ ซูฉินจะไม่เปิดเผยความลับของตนเองมากจนเกินไปเมื่ออยู่ในวิหารการสงคราม
โดยเฉพาะลูกท้อบ้าน ผลไม้เซียนที่สามารถยืดอายุขัยได้นับพัน
รู้หรือไม่ว่าสำหรับผู้ฝึกยุทธที่ทรงพลังอย่างแท้จริง สิ่งที่ล้ำค่าหาใช่เคล็ดวิชาหรืออาวุธวิเศษ
แต่มันคืออายุขัย
เฉพาะตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้เท่านั้นจึงจะมีเวลาไปพิจารณาเสาะหาอาวุธวิเศษต่อไป ไม่เช่นนั้นเมื่อขีดจำกัดของช่วงชีวิตมาถึง ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมจบสิ้น
“พลังชีวิตจากลูกท้อป่านนี้ช่างทรงพลังน่ากลัวยิ่งนัก แต่ก็ไม่น่าแปลกใจ หากไม่มีพลังชีวิตขนาดนี้จะสามารถยืดอายุได้เป็นพันปีได้อย่างไร?”
ซูฉินนั่งขัดสมาธิ มองดูลูกท้อบ้านตรงหน้าอย่างเงียบๆ พลางคิดในใจไปด้วย
“เมื่อใช้ลูกท้อบ้านนี้ นอกจากจะยืดอายุขัยได้หนึ่งพันปีแล้วพลังชีวิตอันไร้ที่สิ้นสุดของลูกท้อป่านนี้ยังจะมีประโยชน์ในการรักษาอาการบาดเจ็บอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็สามารถฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาพดั้งเดิมได้โดยพลัน”
ซูฉินดูประหลาดใจ
แม้จะเป็นมุมมองของซูฉิน เขาก็ยังรู้สึกประทับใจมาก บาดแผลทางกายนั้นรักษาได้ง่าย แต่บาดแผลที่เกี่ยวข้องกับจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์นั้นไร้สภาพ จับต้องไม่ได้ พึ่งพาได้เพียงการฟื้นฟูด้วยตนเองเท่านั้น
การที่ลูกท้อบ้านสามารถซ่อมแซมความเสียหายทั้งหมดในจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ เพียงสิ่งนี้สิ่งเดียวที่เหนือกว่าโอสถวิเศษหรือน้ำอมฤตส่วนใหญ่บนโลกนี้แล้ว
อย่างไรก็ตามผลลัพธ์นั้นไม่ได้สลักสำคัญอะไรเลยเมื่อเทียบกับผลในการยืดอายุขัยของลูกท้อบ้าน
“ข้ามีอายุขัยมากเพียงพอ ดังนั้นจึงยังไม่จำเป็นจะต้องกินลูกท้อบ้านผลนี้ รอจนกว่าจะถึงช่วงที่ทะลวงขั้นเสียก่อนดีกว่า เมื่อถึงตอนนั้นค่อยพิจารณาเรื่องนี้อีกที”
ซูฉันคิดอยู่ในใจ
ไม่มีการย้อนกลับเมื่อก้าวผ่านขอบเขตใหญ่ หากประสบความสำเร็จนั่นก็เป็นสิ่งที่ดี แต่หากล้มเหลว ในกรณีที่รุนแรงที่สุดอาจจะตายทันที หรืออาจจะได้รับบาดเจ็บสาหัสในกรณีที่เบากว่านั้น ซึ่งจะทำให้เลือดเนื้อและพลังชีวิตลดลง จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อาจจะล่มสลาย ความแข็งแกร่งลดฮวบ
นักพรตเฒ่าเคยกล่าวเอาไว้ว่าเป็นเวลาหลายพันปีแล้วที่ตำนานยุทธระดับนภาชั้นที่เก้าจำนวนมากได้กำเนิดขึ้นในต่างดินแดนและตำนานยุทธที่อยู่ในจุดสูงสุดเหล่านี้ก็ได้ควบแน่นอาณาเขตและจิตวิญญาณแรกกำเนิดเพื่อเตรียมพร้อมบรรลุสู่ความสำเร็จ แต่สุดท้ายก็พากันล้มเหลวเมื่อทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี หลังจากนั้นพวกเขาก็ล้วนเงียบหายไป
ซูฉินถือครองทิพยอำนาจกายเนื้อกำเนิดใหม่ สำหรับอาการบาดเจ็บทางกายนั้นเขาไร้ซึ่งความกลัว แต่พอเป็นจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์แล้ว เขาก็อดที่จะปวดหัวไม่ได้
แต่การมีลูกท้อบ้านอยู่กับตัว ทำให้ซูฉินมีหนทางมากขึ้นอีกหนึ่ง
แม้ว่าซูฉินจะล้มเหลวเมื่อพยายามทะลวงขั้น แต่เขาก็ยังมีโอกาสฟื้นตัวกลับมาได้ในระยะเวลาอันสั้น
“การกินลูกท้อบ้านในตอนนี้เท่ากับการสูญเสียผลประโยชน์ในการรักษาอาการบาดเจ็บทั้งหมดไป ยังไม่คุ้มค่าที่จะใช้
ซูฉินสายศีรษะแล้วโยนลูกท้อบ้านกลับเข้าไปในคลังระบบ
“น่าเสียดายที่มีลูกท้อบ้านเพียงผลเดียว หากมีมากกว่านี้ก็สามารถแบ่งปันให้กับพวกน้องเล็กได้”
ซูฉินถอนหายใจเบาๆ
ลูกท้อบ้านนั้นมีค่ามาก แต่ซูฉินรู้ดีว่าความแข็งแกร่งนั้นคือพื้นฐานของทุกสิ่ง ตราบใดที่เขาพัฒนาขั้นต่อไปได้เขาจะยังกังวลว่าจะไม่มีสมบัติที่ช่วยยืดอายุขัยในอนาคตอีกหรือ?
ไม่ว่าจะเป็นซูเยวหยุนหรือตระกูลซู แม้แต่ทั่วทั้งอาณาจักรถัง ทุกสิ่งล้วนขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของซูฉินในการปราบปรามทุกอย่าง และเป็นเพราะซูฉินแข็งแกร่งมากพอ ที่แห่งนี้จึงสงบสุขเหมือนดังปัจจุบัน
“นอกจากลูกท้อบ้านและโอสถจิตวิญญาณกำเนิดพฤกษาแล้ว ยังมีโอสถชนิดอื่นๆ อีกหลายชนิด”
เม็ดยาหลายเม็ดปรากฏขึ้นตรงหน้าของซูฉินอีกครั้ง สายตาของเขากวาดมองไปทั่ว “เม็ดโอสถจิตวิญญาณแรกกำเนิดสามารถช่วยให้ควบแน่นจิตวิญญาณแรกกำเนิดได้ เป็นเม็ดยาที่ควรจะเก็บไว้ใช้ในตอนที่เข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เก้า ส่วนโอสถฮว่าเฉินและโอสถยวเฉินนี้คือสิ่งใดกัน?”
ซูฉินเหลือบมองโอสถอีกสองชนิดที่เหลือ
“ไม่เป็นไร”
“ยังเร็วเกินไปที่จะพิจารณาสิ่งเหล่านี้ ในตอนนี้ข้าควรจะรีบเข้าสู่ระดับนภาชั้นที่เก้าให้ได้เร็วที่สุด”
ซูฉินเก็บเม็ดโอสถกลับคืนไป และจิตใจของเขาก็จมลงสู่การพิจารณาม้วนบันทึกภาพเทพสงครามอีกครั้ง
พูดกันตามจริง ม้วนบันทึกภาพเทพสงครามเป็นผลกำไรที่ใหญ่ที่สุดของซูฉินในครั้งนี้ ถึงขนาดที่ของวิเศษพื้นที่มิติอย่างวิหารการสงครามยังเป็นเพียงแค่สถานที่จัดเก็บม้วนบันทึกภาพเทพสงคราม
สำหรับเม็ดโอสถจิตวิญญาณแรกกำเนิด มันก็มีประโยชน์กับตำนานยุทธในระดับนภาชั้นที่เก้าเท่านั้น เมื่อก้าวข้ามขอบเขตนี้ไปมันก็เหลือประโยชน์เพียงเล็กน้อย
แต่สำหรับม้วนบันทึกภาพเทพสงคราม แม้แต่เจ้าของวิหารการสงครามอย่างโหวหยานก็ยังปรารถนาที่จะได้รับการสืบทอดมรดกศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้
แต่ซูฉินจะไม่รู้ว่าโหวหยานนั้นอยู่ในระดับใด แต่เห็นได้ชัดว่าเหนือกว่าจ้าวทะเลบูรพาที่เป็นถึงจุดสูงสุดของเซียนเทพปฐพีเป็นไปได้มากว่าอยู่ในขอบเขตผู้ที่ทรงพลังอย่างถึงขีดสุด
“ม้วนบันทึกภาพเทพสงครามเป็นกฎเกณฑ์ในวิถีทางหนึ่งแห่งอาณาเขต”
“การฝึกฝนม้วนบันทึกภาพเทพสงครามจะสามารถเปลี่ยนอาณาเขตของตนเองให้กลายเป็นอาณาเขตเทพสงครามได้”
ซูฉินรู้สึกได้ถึงข้อมูลของม้วนบันทึกภาพเทพสงครามผ่านเข้าหัวมาอยู่ตลอดเวลา หลังจากการฝังข้อมูลของระบบ รายละเอียดยิบย่อยทั้งหลายภายในม้วนบันทึกภาพเทพสงครามก็ไหลเวียนอยู่ในจิตใจของเขา ซูฉินไม่ได้รู้สึกสับสนุนงงแม้แต่น้อย หากเจ้าของวิหารการสงครามทราบเรื่องนี้เขาจะต้องโกรธจัดจนอาเจียนออกมาเป็นเลือดอย่างแน่นอน
เขาจ่ายทรัพยากรออกไปมหาศาลแต่ก็ยังไม่สามารถเข้าใจม้วนบันทึกภาพเทพสงครามได้ แต่พอเป็นคราวของซูฉิน มันกับง่ายดายและน่ารื่นรมย์ราวกับกินดื่ม
“ม้วนบันทึกภาพเทพสงครามมีรอยสลักทั้งสิ้นสี่สิบเก้ารูปร้อยเรียงไปตามลำดับ หากฝึกฝนรอยสลักครบทั้งสี่สิบเก้ารูป ทั้งหมดจะถูกรวมกลายเป็นโพรงสวรรค์เทพสงคราม…”
ซูฉินมองไปที่ม้วนบันทึกภาพเทพสงครามอย่างคร่าวๆ ใบหน้าของเขาตกตะลึง
ในที่สุดเขาก็รู้ว่าทำไมเจ้าของวิหารการสงครามผู้มีอำนาจแข็งแกร่งอย่างถึงขีดสุดก็ยังสนใจม้วนบันทึกภาพเทพสงครามจนถึงขนาดใช้สมบัติพื้นที่มิติเพื่อบรรจุมวนบันทึกภาพเทพสงครามเอาไว้
ปรากฏว่าหลังจากฝึกม้วนบันทึกภาพเทพสงครามจนเสร็จสมบูรณ์ มันจะสามารถควบแน่นโพรงสวรรค์เทพสงครามออกมาได้
เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง
โพรงสวรรค์คือสิ่งใด?
เมื่อนำมาเทียบกับอาณาเขตแล้ว โพรงสวรรค์นั้นเสมือนเป็นโลกใบเล็กๆ ใบหนึ่งที่ภายในเต็มไปด้วยพลังชีวิต มีจิตวิญญาณอยู่ทั่วทุกที่ มีแม้กระทั่งกฎเกณฑ์ข้อบังคับที่เป็นเอกเทศ
“น่าเสียดายที่โพรงสวรรค์เทพสงครามอยู่ห่างไกลจากระดับของข้าเกินไป ไม่ต้องพูดถึงโพรงสวรรค์เทพสงครามเลย แม้แต่อาณาเขตเทพสงครามข้ายังฝึกฝนไม่ได้ด้วยซ้ำ…”
ซูฉินส่ายศีรษะ
ตามแนวทางในม้วนบันทึกภาพเทพสงคราม ขั้นแรกก่อนที่จะฝึกฝนม้วนบันทึกภาพเทพสงครามได้นั้นจะต้องมีอาณาเขตขนาดใหญ่
และอาณาเขตขนาดใหญ่นั้นจะมีได้ก็ต่อเมื่อเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่อย่างแท้จริงแล้วเท่านั้น
ส่วนอาณาเขตที่ซูฉินควบแน่นได้นั้น เป็นเพียงอาณาเขตขนาดเล็ก ซึ่งอยู่ห่างไกลจากอาณาเขตขนาดใหญ่ที่สามารถครอบคลุมพื้นที่ได้นับร้อยไปมากโข
“ไม่ต้องรีบเร่ง”
“ใจเย็นๆ เอาไว้”
“ถึงอย่างไรก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยยี่สิบปีก่อนที่ข้าจะทะลวงขึ้นไปได้ จนถึงตอนนั้นค่อยกลับมาฝึกฝนก็ยังไม่สาย”
แม้ว่าซูฉินจะผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไรมากม้วนบันทึกภาพเทพสงครามยังอยู่เหมือนเดิม เมื่อขอบเขตของซูฉันถึงเกณฑ์กำหนด ก็แค่ต้องกลับมาทบทวนมันซ้ำอีกครั้ง”
“ต่อจากนี้ ข้าจะบ่มเพาะเพื่อก้าวเข้าสู่นภาชั้นที่เก้า”
Related