เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล – ตอนที่ 252 ปิดด่านฝึกตน! นภาชั้นที่เก้า!

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล [Sign in Buddha’s palm]

Sign in Buddha’s palm 252 ปิดด่านฝึกตน! นภาชั้นที่เก้า!

บรรพบุรุษชีหยวน!

นี่คือตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวติดหนึ่งในห้าอันดับแรกอย่างแน่นอนในแง่ของความแข็งแกร่ง ในนิกายเฮยหยวนตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นมาเกรงว่าจะมีอีกเพียงสองสามคนเท่านั้นที่สามารถเอาชนะบรรพบุรุษหยวนได้

แต่มหาอํานาจน่าสะพรึงกลัวชื่อก้องยุทธภพในต่างแดนกลับสิ้นใจลง

หากบอกว่าชายผมหงอกและตํานานยุทธคนอื่นๆ ที่ซุ่มอยู่รอบเมืองฉางอันนั้นตกใจมากแล้ว บรรพบุรุษเฉวซินและบรรพชนพรรคหมื่นดาบเรียกได้ว่าตื่นตระหนกกันโดยสมบูรณ์

“เป็นไปไม่ได้!”

“บรรพบุรุษชีหยวนตายได้อย่างไร เขาตายได้อย่างไร?”

บรรพชนพรรคหมื่นดาบดูหมดสิ้นความหวัง เสียงของเขาสั่นเทา

ความคิดหนึ่งเดียวในหัวของบรรพชนพรรคหมื่นดาบมีเพียงบรรพบุรุษชีหยวนตายไปแล้วเช่นนี้ พวกเขาควรจะทําเช่นไรดี?

แม้แต่บรรพบุรุษชีหยวนก็ไม่สามารถหยุดยั้งซูฉินได้ ดังนั้นพวกเขาทั้งคู่จะเอาอะไรไปเผชิญหน้ากับซูฉิน?

ไม่ว่าจะเป็นบรรพชนพรรคหมื่นดาบหรือบรรพบุรุษเฉวซินต่างก็ไม่มีความคิดว่าซูฉินจะปล่อยพวกเขาไปแม้แต่แวบเดียว

“ชีหยวน..”

ใบหน้าของบรรพบุรุษเฉวซินกลายเป็นซีดเทาราวกับศพ

ซูฉันมองไปยังจุดที่บรรพบุรุษชีหยวนเคยอยู่ก่อนโดนเผาจนสิ้นใบหน้าของเขายังคงสงบนิ่ง

บรรพบุรุษชีหยวนแข็งแกร่งมากจริงๆ

แต่เขานั้นตัดสินใจได้โง่เขลาอย่างยิ่ง ด้วยการใช้ศาสตร์แห่งความตายอันชั่วร้ายและพลังธาตุหยินมาจัดการกับซูฉิน

เมฆมรณะสีดําที่บรรพบุรุษชีหยวนเรียกมานั้นแปลกประหลาดมากพอที่จะจัดการตํานานยุทธธรรมดาได้อย่างสมบูรณ์ แต่ในสายตาของซูฉินมันไม่นับเป็นสิ่งใดเลย

ซูฉินลงชื่อเข้าใช้มานานหลายสิบปี มีเคล็ดวิชามากกว่าพันชนิดจะไม่มีวิธีกําจัดพลังเหล่านี้เลยหรือ? หลายวิชาที่มีฤทธิ์ยับยั้งความชั่วร้ายและทักษะแปลกๆ

โดยเฉพาะหลังจากซูฉันเริ่มต้นฝึกฝนภาพดวงตะวันขนาดมหึมาที่มีกลิ่นอายของอีกาทองคําสามขา สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีธาตุไฟ แข็งแกร่งที่สุดซึ่งทําให้พลังของเก้าสุริยันแข็งแกร่งขึ้นไปอีกหลายระดับ

เพลิงศักดิ์สิทธิ์ของดวงไฟทั้งเก้าที่ก่อกําเนิดมาจากเคล็ดเก้าสุริยันเป็นดวงไฟที่รุนแรงมากแล้ว ควบคู่ไปกับกลิ่นอายของอีกาทองคําสามขาแม้ว่าจะด้อยกว่าดวงตะวันที่ร่ําลือกันอยู่มาก แต่การเผาพลังแห่งความตายเผาพลังธาตุหยินนั้นง่ายพอๆ กับการกินดื่ม

หากบรรพบุรุษชีหยวนไม่ได้ใช้พลังแห่งความตายมาจัดการซูฉินตัวมันก็คงไม่ตายอย่างน่าอนาถในเวลาอันสั้นเช่นนี้คงจะสามารถประมือกันได้สองสามกระบวนท่า แต่เมื่อมันริเริ่มจะโอบล้อมซูฉินด้วยพลังแห่งความตาย เมื่อนั้นพลังแห่งความตายที่คุมขังซูฉินไว้ก็ถูกเพลิงเก้าสุริยันที่แฝงกลิ่นอายอีกาทองคําสามขาเผาจนกลายเป็นความว่างเปล่า

แน่นอนว่าเพลิงเก้าสุริยันนั้นทรงพลัง แต่นั่นก็เป็นในกรณีที่สามารถแตะต้องร่างของคู่ต่อสู้ได้เท่านั้น แต่พฤติกรรมของบรรพบุรุงชีหยวนที่อ้าแขนรับเพลิงจากเคล็ดเก้าสุริยันเช่นนี้ก็สมควรแล้วที่จะต้องตายไปด้วยสภาพเช่นนั้น

“หนี!”

เมื่อซูฉินกําลังคิดถึงเรื่องนี้

บรรพบุรุษเฉวซินและบรรพชนพรรคหมื่นดาบที่อยู่ตรงนั้นก็ล่าถอยออกไปเผาผลาญพลังชีวิตเลือดเนื้อและจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์หนีไปด้วยความเร็วที่น่าหวาดกลัว

ตอนนี้บรรพบุรุษชีหยวนได้ตกตายไปแล้ว ไม่ว่าทั้งสองคนจะโง่เพียงไหนพวกเขาก็คงไม่คิดว่าตนจะต่อต้านซูฉินได้แน่ดังนั้นบรรพบุรุษเฉวซินและบรรพชนพรรคหมื่นดาบจึงหนีออกไปไกลกว่าร้อยลี้แทบจะภายในเวลาเดียวกัน

และเพื่อที่จะคว้าแสงแห่งความหวังเอาไว้ บรรพบุรุษเฉวซินและบรรพชนพรรคหมื่นดาบถึงกับหนี้ไปในทิศทางตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิงเพียงแค่ต้องการให้ซูฉินเสียเวลามากขึ้นในการไล่ตามตน

ไม่ว่าจะเป็นบรรพบุรุษเฉวซินหรือบรรพชนพรรคหมื่นดาบพวกเขาค่อนข้างที่จะแน่ใจในความสามารถของซูฉินแล้วจากการสังหา รบรรพบุรุษชีหยวนเมื่อโดนตามล่าพวกเขาคงมิอาจเอาชีวิตรอด

แต่ถ้าทั้งสองกระจายตัวกันหนี แม้ว่าซูฉินจะไล่ล่าสังหารแต่เขาก็คงเลือกได้เพียงทิศทางเดียวเท่านั้น ซึ่งเท่ากับซื้อเวลาให้อีกคนหนึ่งได้มากโข

“พวกเจ้าหนีไม่พ้นหรอก”

ซูฉินขยับมือขวาอยู่กลางอากาศ ดึงคมมีดเทพเจ้าปีศาจออกมาอีกครั้งแล้วตวัดมีดสองครั้งไปยังทิศทางที่บรรพบุรุษเฉวซินและบรรพชนพรรคหมื่นดาบกําลังหนีไป

หวิ่ง!!

ประกายคมมีดอันน่าสยดสยองหายวับไปในทันทีราวกับมันทะลุผ่านช่องว่างมิติไป

ในขณะนั้น เมื่อความแข็งแกร่งของซูฉินปะทุออกมาพลังของคมมีดเทพเจ้าปีศาจก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี ทรงพลังยิ่งกว่าตอนที่ซูฉันเคยฟาดฟันคมมีดออกไปในโลกถ้ําปิศาจเสียอีก

“ไม่!!”

ไม่คาดคิด บรรพบุรุษเฉวซินอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองพลันได้เห็นประกายคมมีดตามติดตนเองมา

ในชั่วพริบตา

สติสตั้งของบรรพบุรุษเฉวซินพลันเตลิดไปหมด

นางจําได้ว่าตอนที่ซูฉินฟันเข้าใส่อาณาเขตของบรรพบุ รุษชีหยวนแม้แต่อาณาเขตก็ไม่สามารถหยุดยั้งประกายคมมีดเล่ม นี้ได้

“ถอนตัว!”

จิตใจของบรรพบุรุษเฉวซินผันผวน ในที่สุดจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เริ่มสั่นไหวละทิ้งกายเนื้อของตน และพุ่งหายไปด้วยความเร็วที่น่าสะพรึงมากยิ่งขึ้นไปอีก

บรรพบุรุษเฉวซินได้สลายพลังชีวิต และเลือดเนื้อไปจนเกือบจะหมดและตอนนี้ที่นางละทิ้งร่างกาย แม้ว่าจะรอดชีวิตไปได้สุดท้ายนางก็คงอยู่ได้เพียงไม่กี่เดือน แต่บรรพบุรุษเฉวซินก็ยังคงเลือกที่จะทําเช่นนั้น

เพราะนางต้องการนําข่าวเรื่องความแข็งแกร่งของซูฉินกลับไปบอกตําหนักเทพเจ้าหิมะ

น่าเสียดาย

แม้ว่าบรรพบุรุษเฉวซินจะละทิ้งร่างของนาง แต่ก็ยังมิอาจจะหลบหนีคมมีดเทพเจ้าปีศาจไปได้ บริเวณขอบชายฝั่งทะเลบูรพาจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของบรรพบุรุษเฉวซินก็ได้ถูกทําลาย และผลกระทบจากประกายคมมีดที่ทะลุทะลวงออกไปก็ถึงกับทําให้เกิด คลื่นยักษ์ขนาดมหึมาขึ้นในทะเล

ส่วนบรรพชนพรรคหมื่นดาบเองก็เช่นเดียวกัน เขาถูกตัดออกเป็นสองส่วนโดยตรงด้วยคมมีดเทพเจ้าปีศาจ

บรรพบุรุษเฉวซินตกตาย

บรรพชนพรรคหมื่นดาบก็ไม่รอดเช่นกัน

เมื่อนับรวมบรรพบุรุษชีหยวนที่ตายไปก่อนหน้าบรรพชนทั้งสามคนที่เดินทางมายังแผ่นดินใหญ่ในครั้งนี้ ล้วนตกตายจนหมดสิ้นไม่มีเหลือ

นอกเมืองฉางอัน

ชายผมสีดอกเลาตัวสั่นเทา แม้ว่าซูฉินจะไม่เคยเบนสายตามามองพวกเขาเลยตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้แต่ชายผมหงอกก็ยังรู้สึกเย็นวาบไปถึงกระดูก

“ตํานานยุทธทั้งสามตายกันจนหมด และนั่นยังรวมไปถึงตํานานยุทธขั้นสูงสุดที่ควบแน่นอาณาเขตได้แล้วอย่างบรรพบุรุษชีหยวนด้วยนี่มันกลายเป็นเรื่องใหญ่แล้ว

ชายผมหงอกรู้สึกว่าฟันของเขาสั่นกระทบกัน

เมื่อตํานานยุทธคนอื่นๆ ได้ยินสิ่งนี้ หัวใจของเขาก็พลันดิ่งวูบในฉับพลัน

ไม่ว่าจะเป็นบรรพบุรุษชีหยวน บรรพบุรุษเฉวซิน หรือบรรพชนพรรคหมื่นดาบ ทุกคนล้วนเป็นตํานานยุทธที่โด่งดังในต่างแดนและตอนนี้กลับมาตกตายพร้อมกันที่นี่ สําหรับพวกเขาแล้วนี่มันราวฟ้าผ่าลงมากลางวันแสกๆ ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสก็มิปาน

“แผ่นดินแห่งพลังยุทธอันยิ่งใหญ่แห่งนี้อันตรายเกินไปแล้ว”

ชายผมหงอกกระซิบกับตนเอง ใบหน้าซีดเซียว

แม้แต่ในยุทธภพต่างแดนที่มีตํานานยุทธอยู่มากมายการตายของตํานานยุทธขั้นสูงสุดยังถือเป็นเหตุการณ์ที่หาได้ยากยิ่งในรอ บร้อยปีมันต้องเป็นการที่สองนิกายใหญ่หักหน้ากันจนต้องยอมเสีย เลือดเนื้อกันไปข้างไม่ต้องพูดถึงการตายพร้อมกันของตํานานยุทธขั้นสูงสุดถึงสามคน

กล่าวได้เลยว่าถ้าไม่ใช่ยุคสมัยที่มีบรรพชนมากมายต่อสู้กันอย่างไม่รู้จบหรือเป็นยุคที่มีเซียนเทพปฐพีกําเนิดขึ้นมาเรื่องเช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นเลยในยุคสมัยอื่นๆ

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดเป็นตัวตนเช่นไร? เพียงพอที่จะเป็นรากฐานให้กับนิกายใหญ่ไปได้หลายร้อยปี ถึงแม้จะก้าวเข้าสู่จุดจบของชีวิตก็ยังสามารถใช้วิธีลับในการยืดชีวิตต่อไปได้อีก

ดังนั้นในต่างดินแดนนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสูญเสียตํานานยุทธไปถึงสามคนในช่วงเวลาสั้นๆ

แต่ตอนนี้

พวกเขาเห็นฉากนี้เกิดขึ้นทันทีที่มาถึงแผ่นดินแห่งพลังยุทธฯด้วยสถานการณ์เช่นนี้ ยังจะกล่าวว่าแผ่นดินแห่งพลังยุทธไม่อันตรายอีกหรือ มันไม่อันตรายตรงไหน?

วันนี้เป็นคราวของตํานานยุทธขั้นสูงสุดสามคนตกตายไปพรุ่งนี้อาจจะเป็นวันล่มสลายของนิกายใหญ่ที่สืบทอดมรดกยาวนานมากว่าพันปีสักนิกายหนึ่งก็เป็นได้

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ชายผมหงอกและตํานานยุทธคนอื่นๆก็ยอมศิโรราบกลับไป

กลับไปยังดินแดนโพ้นทะเล ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขา ตราบใดที่ไม่ยั่วยุนิกายใหญ่ อย่างน้อยก็คงจะไม่บาดเจ็บล้มตายกันไป

แตทน.

แม้แต่บรรพบุรุษชีหยวนก็ตกตายไปเรียบร้อยแล้ว ใครจะรับประกันได้ว่าพวกเขาจะรอดชีวิตต่อไปได้หากยังรั้งรออยู่?

ในเวลาเดียวกัน

เหนือกําแพงพระราชวัง

นักพรตเฒ่าสํานักเอกะวิถีดูตื่นตะลึงยิ่ง

“นี่มันอะไรกัน?”

นักพรตเฒ่าแทบไม่อยากจะเชื่อ

เดิมที่เขาคิดว่าบรรพบุรุษชีหยวนและซูฉินจะต่อสู้กันฟาดฟันกันด้วยพลังของอาณาเขต ใช้ความพยายามมากมายหลายต่อหลายครั้งต่างฝ่ายต่างต้องเลือดตกยางออก แต่แล้วตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นเล่า?

นักพรตเฒ่าไม่สามารถตอบสนองอะไรได้ทัน บรรพบุรุษชีหยวนตายแล้วอย่างนั้นหรือ?

จากนั้นก็เป็นคราวของบรรพบุรุษเฉวซินและบรรพชนพรรคหมีนดาบ

จักรพรรดิถังมองดูนักพรตเฒ่าด้วยสีหน้าประหลาด คําพูดก่อนหน้านี้ทําให้ตัวของเขากลัวจริงๆ แต่เมื่อเห็นฉากที่เกิดขึ้น จักรพรรดิถังก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก

สีหน้าของหร่วนชิงและเหยียนให้ก็คล้ายคลึงกันกับนักพรตเฒ่าจักรพรรดิถังไม่เคยไปยังต่างดินแดนและไม่อาจทราบความน่าเกรงขามของเหล่าบรรพชน แต่พวกเขานั้นแต่เดิมก็เป็นตํานานยุทธจากต่างแดนทําไมจะไม่ทราบความนี้กันเล่า?

“นายท่าน….นายท่านแข็งแกร่งเกินไปแล้ว…” เหยียนให้กลืนน้ําลายลงคออดไม่ได้ที่จะกล่าวคําออกมา

“ใช่….”

หร่วนซิงที่อยู่ข้างๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วย

พวกเขายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้อย่างรวดเร็ว แม้บรรพชนเหล่านั้นจะแข็งแกร่งไม่ต่างไปจากเทพเจ้า แต่ซูฉินนั้นแข็งแกร่งกว่าเมื่อคิดได้แบบนี้ทั้งหร่วนชิงและเหยียนไร่ก็ผ่อนคลายมากขึ้น

มีเพียงนักพรตเฒ่าที่ยังคนบ่นพึมพําอยู่คนเดียว

“เป็นไปไม่ได้….บรรพบุรุษชีหยวน….นิกายเฮยหยวน…”

ในที่สุดนักพรตเฒ่าก็ถอนหายใจออกมา “นิกายเฮยหยวนเอ๋ยในครานี้ข้าเกรงว่าพวกเขาจะต้องประสบกับการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่แล้วจริงๆ ”

สําหรับนิกายใหญ่อย่างนิกายเฮยหยวน แม้ว่าผู้นํานิกายจะตายไปแต่มันก็จะตกต่ําอยู่เพียงครู่เดียวเท่านั้น สุดท้ายก็ไม่ได้ทําลายรากฐานของนิกาย

อย่างไรก็ตาม การสูญเสียบรรพบุรุษชีหยวนไปนับเป็นความเสียหายขั้นรุนแรงแม้แต่รากฐานเบื้องหลังก็สลายหายไปเช่นนี้ จะไม่นับเป็นการสูญเสียร้ายแรงได้เช่นไร?

และในตอนนี้

หลังจากที่ซูฉินได้สังหารบรรพบุรุษเฉวซินและบรรพชนพรรคหมื่นดาบด้วยความราบรื่น เขาก็มองไปยังทิศทางอื่นด้วยแววตาที่แฝงความนัยลึกซึ้ง

“มีสามตํานานยุทธขั้นสูงสุดอยู่อีก….”

ซูฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเพิกเฉยมันไป

ตํานานยุทธขั้นสูงสุดทั้งสามคนนี้ซูฉันรู้สึกไม่ค่อยจะคุ้นเคยนักทั้งยังไม่ได้มาจากตําหนักเทพเจ้าหิมะ พรรคหมื่นดาบ หรือนิกาย

เฮยหยวน

เมื่ออยู่ต่อหน้าตํานานยุทธที่ไม่ได้มีความแค้นความเกลียดชังต่อกันตราบใดที่อีกฝ่ายไม่เริ่มลงมือก่อน ซูฉินก็ขี้เกียจเกินกว่าจะไปยุ่งวุ่นวาย

“ได้เวลากลับแล้ว”

เพียงแค่คิด ท่ามกลางสายตาตื่นตกใจของทุกคนร่างของซูฉินก็กลับมาภายในวังเป็นที่เรียบร้อย

“พี่สาม”

จักรพรรดิถังเดินเข้าไปหา

นักพรตเฒ่า เหยียนไร่ หร่วนชิง รวมถึงคนอื่นๆก็เดินล้อมวงกันเข้ามา

“เรียบร้อยแล้วแหละ”

“ช่วงไม่กี่ปีต่อจากนี้ ข้าจะปิดด่านฝึกตนยาวนานสักระยะหนึ่งถ้าไม่มีเรื่องราวอะไรก็อย่าได้มารบกวนข้า”

หลังจากพูดคุยเรื่องราวทั่วๆ ไปนิดๆ หน่อย ซูฉินก็ประกาศเรื่องราวนี้ออกมา

ตอนนี้ไอพลังที่เขารวบรวมใกล้จะสมบูรณ์แล้วได้เวลาก้าวเข้าสู่นภาชั้นที่เก้าเสียที

และเมื่อยามที่ซูฉินก้าวเข้าสู่นภาชั้นที่เก้า ด้วยเม็ดโอสถจิตวิญญาณแรกกําเนิดจํานวนมากก็เพียงพอที่จะเปลี่ยนจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ให้กลายเป็นจิตวิญญาณแรกกําเนิดได้ในเวลาอันสั้น

การมีจิตวิญญาณแรกกําเนิดเพียงหนึ่งส่วน พลังในการต่อสู้ของซูฉินก็จะก้าวกระโดดอีกครั้ง และเมื่อรวมกับไพ่ลับในมีอีกมากมายหลายชนิดเกรงว่าตัวของเขาจะเทียบเคียงได้กับเซียนเทพปฐพี่แล้วจริงๆ

“ปิดด่านฝึกตน?”

นักพรตเฒ่าตกตะลึง

ด้วยความแข็งแกร่งที่ซูฉินได้แสดงให้เห็นเมื่อครู่มันแทบจะสั่นสะเทือนโลกได้แล้ว แม้แต่ในโลกยุทธภพต่างแดน ก็มีคนไม่มากที่เทียบชั้นกับซูฉินได้ ขนาดเป็นเช่นนี้แล้ว ซูฉินยังจะปิดด่านฝึกตนอีกครั้ง?

โดยทั่วไปแล้วการปิดด่านฝึกตนหมายถึงการพัฒนาการบ่มเพาะจนเข้ามาใกล้จุดเปลี่ยนผ่าน และในสายตาของนักพรตเฒ่าเมื่อดูจากความแข็งแกร่งในปัจจุบันของซูฉิน หากยังพัฒนาระดับต่อไปเป็นไปได้ไหมว่าขั้นต่อไปเป็นการก้าวเข้าสู่ขอบเขตเซียนเทพปฐพี่?

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

Status: Ongoing
บทนำ ซูฉินเที่ยวท่องไปในยุทธภพอันกว้างใหญ่ เป็นโลกที่ชาวยุทธครองพิภพ เป็นสถานที่ที่ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนอยู่เหนือใต้หล้า เป็นที่ที่ผู้สืบทอดหมัดเก้าตะวันออกหาประสบการณ์ต่อสู้ไปตามแนวสายธารอันทอดยาวและภูเขาสูงชัน ทั้งยังมีเสียวหลี่ที่ขี่กระบี่โบยบินสู่นภากาศอันเวิ้งว้างว่างเปล่า เนื่องจากซูฉินไม่มีพรสวรรค์ด้านวิชายุทธ เขาจึงเป็นได้เพียงพระกวาดลานแห่งตำหนักลานจิปาถะ ในเวลานั้นเอง ระบบแห่งการลงชื่อเข้าใช้ก็ถูกกระตุ้นเปิดออก! ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าพระประธานสีทองอร่าม ได้รับ [ฝ่ามือยูไล] ลงชื่อเข้าใช้ที่หน้าลานสงฆ์ ได้รับ [กายแกร่งวัชระ] ลงชื่อเข้าใช้ที่ภูเขาหลังวัด ได้รับ [กายาโพธิสัตว์ปีศาจทองคำ] สมบัติแทบจะแทรกอยู่ทุกหย่อมหญ้าในวัดเส้าหลินให้ได้ลงชื่อรับของรางวัลมา ซูฉินจึงไม่คิดลงจากภูเขาอันเป็นที่ตั้งของวัดเส้าหลินไปที่ไหนแน่หากยังไม่ได้ลงชื่อรับของรางวัล และตัวเขาก็ลงชื่อเข้าใช้อยู่แบบนั้นมาตลอดยี่สิบปี ยี่สิบปีผ่านไป เส้าหลินเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรม เหล่ามารเข้าโจมตีวัดเส้าหลินอย่างมิเกรงฟ้าดิน มาทั่วทุกสารทิศมุ่งเข้าสู่ศาลาพระคัมภีร์ อย่างดุร้าย! และทรงพลัง! จนกระทั่งพวกมันเจอเข้ากับศิษย์วัดนามซูฉินกำลังกวาดลาน… แปลจากงานเขียนเรื่อง Sign in Buddha’s palm ผู้แต่ง : หุยเต้าหยวนชู ปล.เนื้อหาภายในเป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียน ผู้แปลเพียงนำเสนอผลงานในรูปแบบที่เข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset