“ถ้าไม่เกิดเหตุอื่นใดแทรกเข้ามาอีก คาดว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินคงอยู่รอดได้ไม่เกินคืนนี้”
ซูฉินสังเกตเห็นไอพลังของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินในส่วนลึกของอาคารลานโพธิ์ด้วยดวงตาแห่งสัจจะ เขามองอย่างระมัดระวังและคิดตัดสินใจ
“ช่างน่าเศร้านัก”
แม้ซูฉินจะไม่ได้รับการปฏิบัติเป็นอย่างดีภายในวัดเส้าหลิน แต่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็ไม่เคยบังคับกะเกณฑ์ให้ซูฉินทำอะไรเป็นพิเศษ
ขนาดตอนที่หัวหน้าลานจิปาถะมรณภาพไป เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็ตั้งใจเข้ามาพบซูฉินด้วยตนเองเพื่อสอบถามว่าเขาต้องการจะสึกออกไปเป็นฆราวาสหรือไม่
แม้ฮุ่ยเหวินในฐานะของเจ้าอาวาสจะไม่ได้ทำให้วัดเส้าหลินเจริญรุ่งเรือง แต่อย่างน้อยเขาก็รักษารากฐานที่สืบทอดมาไว้ได้และปล่อยให้ซูฉินลงชื่อเข้าใช้ได้อย่างเงียบๆ มานานกว่าสิบปี
“ถ้าฮุ่ยเหวินมรณภาพละก็ วัดเส้าหลินจะตกอยู่ในความโกลาหลอย่างมิอาจเลี่ยง และมันจะทำให้มีสายตาสอดรู้สอดเห็นจากสำนักพรรคภายนอกมองเข้ามาด้วย”
“ถึงตอนนั้นถ้าข้าอยากจะกวาดลานและลงชื่อเข้าใช้อย่างสบายๆ เหมือนดังเดิมคงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว”
ซูฉินครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้
“ก็เท่านั้นเอง”
“ข้าฉันข้าวปลาอาหารจากวัดเส้าหลินมาเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว คงไม่สามารถเพิกเฉยเรื่องนี้ได้”
เมื่อความคิดล่วงไป กายก็ขยับ ซูฉินห่อหุ้มร่างกายด้วยอาณาเขตที่ไม่อาจหยั่งถึง
ภายในอาณาเขตนี้ภาพด้านในมัวไปหมด การหักเหของแสงภายในบิดเบี้ยว มีเพียงร่างคลุมเครือที่กำลังยืนอยู่เท่านั้นที่พอจะมองเห็นได้อย่างเลือนราง
…
ส่วนลึกของลานโพธิ์
หัวหน้าแต่ละตำหนักต่างมารวมตัวกัน สีหน้าของพวกเขาแสดงออกถึงความโศกเศร้าสุดซึ้ง
“เจ้าอาวาสจะไม่รอดจริงๆ เช่นนั้นหรือ”
หัวหน้าลานธรรมมองไปที่หัวหน้าลานโพธิ์แล้วถามกดเสียงต่ำ
เป็นเวลาหนึ่งปีที่เจ้าอาวาสปลีกวิเวกปิดด่านฝึกตนและต้องการจะก้าวหน้าขึ้นไป เรื่องราวภายในของวัดเส้าหลินได้หัวหน้าลานธรรมเป็นผู้ดูแลทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม หัวหน้าลานธรรมไม่ได้คาดหวังให้การตัดผ่านของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจะจบลงด้วยเหตุการณ์แบบนี้!
หัวหน้าลานโพธิ์ส่ายหัว สีหน้าเคร่งเครียด “นอกจากธาตุไฟเข้าแทรกแล้ว กล้ามเนื้อและเส้นเลือดยังสับสนวุ่นวาย แม้แต่ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งก็เพียงแต่ช่วยชีวิตของท่านได้เท่านั้น แต่ถ้าจะให้กลับมาฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์คงทำไม่ได้หรอก…….”
คำที่กล่าวออกมา
ทำให้หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ เงียบสนิท
ความเป็นจริงพวกเขาก็เตรียมใจพร้อมรับกับสิ่งที่หัวหน้าลานโพธิ์กล่าวเอาไว้แล้ว
สิ่งที่ต้องห้ามที่สุดของผู้ฝึกวิทยายุทธคือการเบี่ยงเส้นทางการฝึกฝน เพราะการปล่อยให้ธาตุไฟเข้าแทรกเบี่ยงเส้นทางการฝึกฝนถือเป็นการล่มสลายของกำลังภายใน การโคจรของกล้ามเนื้อและเส้นเลือดก็จะไม่เป็นระเบียบ โดยปกติแล้วก็เหมือนกับเป็นโรคที่รักษาไม่หาย
“เจ้าอาวาส”
หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์กระซิบเสียงแผ่ว มองไปยังเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินที่กำลังนั่งขัดสมาธิ ใบหน้าซีดเซียวราวกับแผ่นกระดาษ
หัวหน้าตำหนักคนอื่นก็ดูโศกเศร้าเช่นกัน
โดยเฉพาะหัวหน้าลานธรรม
ตอนนี้เป็นเขาเองที่เข้ามาดูแลกิจการภายในของวัดเส้าหลินแทนเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน และตระหนักรู้ได้ว่าหากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินมรณภาพไปจะมีผลกระทบมากเท่าใดต่อวัด
แม้ว่าวัดเส้าหลินจะไม่ได้ขาดแคลนยอดฝีมือในสามระดับบน แต่ปรมาจารย์ในระดับชั้นที่สองมีแค่คนเดียวคือเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน
หากเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินไม่คอยอยู่ดูแลวัด ก็เท่ากับว่าวัดเส้าหลินไม่มีปรมาจารย์ระดับชั้นที่สอง
เดิมทีด้วยสุดยอดพรรคอย่างวัดเส้าหลินไม่มียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งอยู่ก็มากเพียงพอจะดึงดูดความสนใจจากภายนอกวัดมากอยู่แล้ว
สาเหตุที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็เพราะวัดเส้าหลินมีมรดกตกทอดอันล้ำค่า ไม่มีใครกล้าจะยั่วยุ
แต่ถ้าวัดเส้าหลินไม่มีแม้แต่ปรมาจารย์ระดับชั้นที่สอง ไม่ว่ารากฐานความเป็นมาของวัดจะลึกซึ้งเพียงใดก็ไม่สามารถสร้างความกลัวเกรงให้กับผู้คนได้
ในเวลานั้นวัดเส้าหลินคงถูกถอดถอนออกจากการเป็นสุดยอดพรรคในยุทธภพ แล้วถูกปิดล้อมด้วยกองกำลังสำนักพรรคต่างๆ
ทั้งสองสิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องที่วัดเส้าหลินจะแบกรับไหว
ในขณะนั้น
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินค่อยๆ ลืมตาขึ้น แล้วพูดด้วยความยากลำบาก “ข้ามีความกังวลอยู่มากมายเกินไป”
ใบหน้าของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินซีดจนมองไม่เห็นร่องรอยของเลือดมาหล่อเลี้ยง
ในตอนนี้กำลังภายในของเขายุ่งเหยิงไปหมด และไม่สามารถขยับตัวเดินเหินไปไหน การที่พูดออกมาแต่ละคำก็ฝืนใช้ความแข็งแกร่งของร่างกายไปมากแล้ว
“เจ้าอาวาสท่านจะต้องไม่เป็นอะไร”
หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์เป็นคนแรกที่เดินหน้าเข้าไปหาเจ้าอาวาสด้วยดวงตาแดงก่ำ
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินส่ายหัวแล้วมองไปที่หัวหน้าลานธรรม “หลังจากที่ข้าจากไปแล้ว ทุกอย่างในวัดเส้าหลินขอมอบหมายให้เจ้าจัดการ”
หัวหน้าลานธรรมพยักหน้า สีหน้าหนักใจ
ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น มรดกของวัดเส้าหลินก็ไม่สามารถถูกทำลายลง ไม่ว่าจะสูญเสียไปมากเท่าไหร่ก็ตาม
ทันใดนั้น
ที่นี่ตอนนี้
มีเสียงดังมาจากด้านนอกลานโพธิ์
“เจ้าเป็นใคร กล้าดียังไงบุกรุกเข้ามาในอาคารของลานโพธิ์?”
เสียงตะโกนเดือดดาลของสงฆ์ดังขึ้น
ด้านนอกอาคารมีภิกษุจำนวนมากคอยเดินตรวจตรา พบเจอร่างเงาคลุมเครือก็ปฏิบัติตัวราวกับเผชิญหน้าศัตรู
เนื่องจากการปิดด่านฝึกตนของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน ลานโพธิ์ทั้งด้านบนและด้านล่างจึงถูกเฝ้าระวังโดยภิกษุสงฆ์จำนวนมากมาเป็นเวลานานแล้ว
“หลีกทางออกไป”
ซูฉินขี้เกียจเกินกว่ามาอธิบายทุกสิ่งอย่าง และรูปลักษณ์ของเขาก็ถูกซ่อนเร้นไว้ด้วยกำลังภายใน เป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครจดจำตัวตนของเขาได้
ฮึบ!!!
ซูฉินไม่ได้เร่งรีบหรือเอ้อระเหย แต่ทุกก้าวที่ก้าวออกล้วนมีแรงกดดันอันน่ากลัวครอบงำทุกผู้คน
ภายใต้แรงกดดันนี้ พระทุกรูปที่มองไปต่างก็รู้สึกว่าตรงหน้าเป็นทวยเทพแล้วพวกเขาเป็นเพียงมดตัวเล็กๆ พลังภายในของพวกเขาหยุดนิ่ง และล้มลงหมดสติ
นี่เป็นเพราะซูฉินไม่ได้มีเจตนาฆ่า
มิฉะนั้นด้วยความแข็งแกร่งของเขา เป็นไปไม่ได้เลยที่พระรูปใดจะรอดชีวิตมาได้ในตอนนี้
ด้วยความรวดเร็ว
ซูฉินก็มาถึงส่วนลึกของอาคารลานโพธิ์
หัวหน้าตำหนักได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกของพระสงฆ์ที่อยู่ด้านนอกอยู่ก่อนแล้ว และเมื่อได้เห็นร่างที่คลุมเครือเดินเข้ามา การแสดงออกของแต่ละคนเปลี่ยนไปในทันที
ด้วยความไวเช่นนี้ พวกเขาเพิ่งจะรู้ตัว ร่างเงาคลุมเครือจู่ๆ ก็บุกฝ่าเข้ามาได้เรียบร้อยแล้ว พวกเขาตระหนักดีว่าร่างตรงหน้าเป็นตัวตนที่น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง
ภิกษุจำนวนมากที่เฝ้าระวังอยู่ด้านนอกลานโพธิ์ล้วนแต่เป็นผู้ฝึกยุทธระดับสูงของวัดเส้าหลิน แม้แต่ปรมาจารย์ระดับชั้นที่สองอย่างเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินก็ยังต้องใช้เวลาสักพักในการบุกฝ่าเข้ามา
แต่ร่างคลุมเครือตรงหน้านี่ล่ะ?
ไม่ใช่ว่าผ่านไปเพียงครู่เดียวเท่านั้นก็เข้ามาแล้ว?
ความแข็งแกร่งที่น่ากลัวขนาดนี้คืออะไรกัน?
“ปล่อยข้าจัดการเอง!”
หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์คำรามลั่น ไอพลังพวยพุ่งขึ้นสูง และฟาดฟันเข้าหาซูฉินอย่างเลือดเดือด
หมัดนี้เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ชีวิตอันยาวนานและความแข็งแกร่งของหัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์ มันเพียงพอที่จะทำให้ปรมาจารย์ระดับชั้นที่สองต้านรับไว้ได้อย่างยากลำบาก
อย่างไรก็ตามท่ามกลางการเฝ้าดูของทุกสายตา เมื่อหมัดของหัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์เข้าไปอยู่ในระยะสิบเมตรรอบตัวร่างเงาคลุมเครือ มันก็เหมือนกับติดอยู่ในหล่ม ถูกสกัดขังอยู่ในพื้นที่นั้นทันที
“อย่าได้สร้างปัญหา!”
ซูฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย และปล่อยลมปราณออกมา
ฉับพลัน
อาณาเขตสนามพลังอันน่ากลัว บดบังท้องนภาและดวงอาทิตย์ ครอบคลุมไปทั่วลานโพธิ์ในทันที
หัวหน้าตำหนักทั้งหมดเมื่อตกอยู่ในอาณาเขตนี้ก็เหมือนกับหนอนที่ติดอยู่ในอำพัน ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้
ไม่เพียงเท่านั้น กำลังภายในของพวกเขาก็ดูเหมือนจะหวาดกลัวบางสิ่งในสักแง่มุม พลันหดตัวกลับเข้าตันเถียนและไม่กล้าที่จะออกมา
ฉากนี้ทำเอาหัวหน้าตำหนักทุกคนตกใจ
พวกเขาเป็นกลุ่มยอดยุทธในสามระดับบนไม่ใช่หรือ? ต่อให้ไปอยู่ในยุทธภพภายนอกก็นับว่าแข็งแกร่งระดับหนึ่ง
แต่ต่อหน้าซูฉินพวกเขาอ่อนแอราวกับเป็นเด็กทารก ฝ่ายตรงข้ามไม่แม้แต่จะยกมือขึ้น พวกเขาก็สิ้นความสามารถในการต่อกรเสียแล้ว
ความแข็งแกร่งระดับนี้ต้องบรรลุได้ถึงระดับไหนกัน?
หัวหน้าลานโพธิ์หนังศีรษะชาวาบ ตัวสั่นมองร่างที่รางเลือนด้วยความตื่นตระหนก
และในตอนนี้เอง
ซูฉินก็เดินผ่านหัวหน้าตำหนักที่ถูกจำกัดการเคลื่อนไหวเอาไว้แล้วไปหาเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวิน