Sign in Buddha’s palm 40 พรรคมาร
ด้านนอกวัดเส้าหลิน
ดวงจันทร์แทบหายลับไปแล้ว
ซูฉินเลือกที่จะออกนอกวัดเส้าหลินตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อป้องกันไม่ให้ตนพลาดการลงชื่อเข้าใช้ในแต่ละวัน
ตราบเท่าที่ซูฉินสามารถกลับมาภายในคืนวันพรุ่งนี้ได้ เขาก็จะไม่เสียสิทธิ์การลงชื่อเข้าใช้ของวันพรุ่งนี้ไป
“ข้าละสงสัยเสียจริง ว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวของข้าบ้างในช่วงเวลาสิบห้าปีที่ผ่านมา?”
เขาเริ่มนึกถึงเด็กสาวที่มักจะเดินตามเขาต้อยๆ อีกครั้ง
เด็กหญิงตัวน้อยมีชื่อว่าซูเยว่หยุน อายุน้อยกว่าซูฉินอยู่เจ็ดปี
ซูเยว่หยุนมีอายุเพียงสามขวบตอนที่ซูฉินเข้ามาในวัดเส้าหลิน ตอนนี้ก็ผ่านมาสิบห้าปีแล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้ซูเยว่หยุนก็จะมีอายุได้สิบแปดปี
ผู้หญิงในโลกนี้ส่วนใหญ่จะแต่งงานตอนที่อายุประมาณสิบหกปี และซูเยว่หยุนถือว่า ‘มีอายุมากแล้ว‘ เพราะอายุอานามก็ลากยาวมาถึงวัยสิบแปดปี
“กลับตระกูลซูครานี้ ไม่จำเป็นต้องไปพบปะทักทายกับใคร ขอเพียงแค่แอบไปมองดูสักพักก็พอ”
ซูฉินแอบคิดอยู่เงียบๆ ในใจ
เขาห่างจากตระกูลซูไปเป็นเวลาสิบห้าปี คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตคนเดียวมาเสียนานแล้ว
“อย่างไรก็ตามก่อนที่ข้าจะกลับไป มีบางสิ่งที่จำต้องได้รับการแก้ไข”
ซูฉินชะงักกึก เงยหน้าหันไปมองทิศทางหนึ่ง
เมื่อสิบห้าปีก่อนศัตรูคนสำคัญของตระกูลซูบุกเข้ามาล่าสังหารคนในตระกูล และเพื่อคงสายเลือดของคนในตระกูลไว้บรรดาศิษย์ของตระกูลต่างกระจัดกระจายไปยังที่ต่างๆ
เพราะเหตุนี้เองซูฉินจึงถูกส่งมายังวัดเส้าหลิน
มีเพียงการนมัสการวัดเส้าหลินเป็นที่พักพิงเท่านั้น ซูฉินจึงจะปลอดภัย
เวลาต่อมาแม้ตระกูลซูจะคิดหาวิธีการบางอย่างขึ้นมาได้จนบังคับศัตรูให้ถอยร่น ตระกูลก็ค่อยๆ ฟื้นตัว แต่ศัตรูคนนั้นก็ยังมีชีวิตอยู่
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาซูฉินยุ่งอยู่กับการลงชื่อเข้าใช้เพื่อใฝ่หาความแข็งแกร่งของตนเองควบคู่ไปกับการทราบข่าวคราวว่าตระกูลซูนั้นเป็นไปด้วยดี เขาจึงไม่ห่วงเรื่องศัตรูของตระกูลมากนัก
ส่วนตอนนี้เขาคิดว่าควรจะใช้โอกาสนี้ไปจัดการปัญหาศัตรูของตระกูลเสียให้สมบูรณ์
“ตามจดหมายที่ตระกูลซูได้ส่งมาในช่วงหลายปีก่อน ชื่อของศัตรูก็คือ ‘เหยียนหั่ว‘ มันเป็นศิษย์พรรคมารและเพิ่งจะกลายเป็นผู้คุมกฎของพรรคเมื่อไม่นานมานี้”
ซูฉินคิดเร็วๆ ในใจ
ผู้นำตระกูลซูยังค่อนข้างกังวลในเรื่องนี้อยู่จากที่อ่านในจดหมาย เพราะกลัวว่าศัตรูตัวฉกาจนี้อาจจะกลับมาอีกครั้งในนามของพรรคมาร ซึ่งมากเกินกว่าปัญหาส่วนตัว
“พรรคมาร?”
ดวงตาของซูฉินสาดประกายเย็นชา
…
ยงโจว (ภูมิภาคยง)
อาณาจักรถังครอบคลุมทั้งหมดสิบแปดภูมิภาค ซึ่งยงโจว (ภูมิภาคยง) นั้นเป็นดินแดนของพรรคมาร หางเสือสำคัญของพรรคมารตั้งอยู่ที่นี่
พรรคมารหรือก็คือฝ่ายอธรรม ทั้งฝ่ายอธรรมและฝ่ายธรรมะต่างก็ต่อสู้ห้ำหั่นกันในอาณาเขตราชวงศ์ถังนี้ แต่เนื่องจากจ้าวพรรคมารคนล่าสุดจบชีวิตลงในการต่อสู้กับฝ่ายธรรมะ พรรคมารจึงเสียเปรียบมาตั้งแต่บัดนั้น
หลายทศวรรษก่อน พรรคมารเข้ายึดครองดินแดนไปทั่วทั้งสามภูมิภาค
แต่ตอนนี้ถูกบีบบังคับให้ถอยร่นไปจนเหลือแค่ยงโจวเท่านั้นที่ยังมีกลุ่มพรรคมารเหลืออยู่
การต่อสู้ห้ำหั่นที่เกิดขึ้นนี้ อาณาจักรถังเองก็ทำเป็นปิดตาข้างหนึ่ง ไม่ต้องการจะเข้าไปไกล่เกลี่ยปัญหาแต่อย่างใด
ไม่ว่าจะฝ่ายธรรมะหรือฝ่ายอธรรมก็ตาม ในสายตาของอาณาจักรถังล้วนเป็นพวกหัวขบถไม่ยอมทำตามกฎของทางการ
ยิ่งมีทั้งสองขั้วนี้น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี บางทีพวกทางการยังแอบสุมไฟยุยงให้เกิดการต่อสู้เสียด้วยซ้ำ
และในขณะนี้
ที่เชิงเขาหวู่หนาน ภูมิภาคยง
มีเด็กชายสวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายตัวหนา เงยหน้าขึ้นมองหิมะด้วยความตื่นเต้น
“ท่านปู่ หิมะตกลงมาเยอะมากเลย…..”
เด็กน้อยปั้นก้อนหิมะแล้วมองไปที่ชายชราด้านข้าง
“ใช่แล้ว”
“หิมะแบบนี้ไม่ปรากฏมาหลายสิบปีแล้ว”
ชายชราปล่อยอารมณ์ราวกับกำลังคะนึงถึงความทรงจำบางอย่าง
ในขณะนั้นเอง เสียงที่อ่อนโยนก็ดังขึ้น
“นี่คือภูเขาหวู่หนานใช่หรือไม่?”
ภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งสวมทับด้วยจีวรสีเทามองไปที่คู่ปู่หลานด้วยรอยยิ้ม
ภิกษุหนุ่มรูปนี้ย่อมต้องเป็นซูฉิน
วัดเส้าหลินอยู่ห่างจากยงโจวหลายพันลี้ เป็นคนธรรมดาก็คงใช้เวลาอย่างน้อยสองสามเดือน หรือนานหน่อยอาจจะถึงปีก็ได้
แม้แต่จอมยุทธก็ต้องใช้เวลาเดินทางเกือบเดือนหนึ่ง
แต่สำหรับซูฉินแล้วนั้น จากวัดเส้าหลินเดินทางมายังยงโจวใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง
นี่เพราะซูฉินหยุดพักเป็นบางครั้งระหว่างทางเพื่อดูว่ามีสถานที่รอบๆ ที่สามารถลงชื่อเข้าใช้ได้หรือไม่ ซึ่งทำให้เสียเวลาไปพอสมควร
มิฉะนั้นความเร็วในการเดินทางมายงโจวของซูฉินควรจะเร็วกว่านี้
“ใช่แล้ว”
“มันอยู่ข้างหน้านี่แหละ”
เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมองซูฉิน มีความรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย แต่เขาก็ยังพยักหน้าแล้วพูดว่า “มันมีจุดอากาศที่เป็นพิษหลายที่มากบนภูเขาหวู่หนาน”
“นอกจากนี้ยังมี……”
ยามที่เด็กชายกำลังจะพูดสิ่งนี้ เขาก็หันมองดูรอบตัวอย่างระมัดระวัง ลดเสียงลงแล้วพูดว่า “ปู่บอกข้าว่า มีเทพเซียนอยู่บนภูเขาหวู่หนาน ถ้าไม่มีธุระใดห้ามเข้าไปใกล้เด็ดขาด…”
“เทพเซียน?”
ซูฉินผงะไปชั่วครู่
แต่เขาก็ตอบสนองกลับไปอย่างรวดเร็ว และ ‘เทพเซียน‘ จากปากของเด็กน้อยน่าจะเป็นจอมยุทธฝ่ายอธรรม
ในส่วนลึกของเขาหวู่หนานเป็นพื้นที่หลักของพรรคมารซึ่งจอมยุทธฝ่ายอธรรมมักเข้าออกกันทางนี้
และสำหรับคนธรรมดาอย่างเด็กชายตัวเล็ก จอมยุทธเหล่านั้นย่อมไม่ต่างไปจาก ‘เทพเซียน‘
“วันนี้จะมีหิมะตกหนัก พวกเจ้าจงรีบกลับเสียหน่อยเถิด”
ซูฉินเหลือบมองปู่หลานคู่นี้แล้วเดินไปทางเขาหวู่หนานโดยไม่เร่งร้อนอะไร
“หิมะตกหนัก?”
“เจ้ามิใช่เทพเซียนเสียหน่อย เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าวันนี้หิมะจะตกหนัก?”
เด็กน้อยพูดกระซิบ
แม้ว่าจะยังมีหิมะตกอยู่ แต่มันก็มีขนาดเล็กลงอย่างเห็นได้ชัดและควรจะหยุดตกในตอนกลางวัน
หิมะจะไปตกหนักได้อย่างไร?
“ปู่”
“ปู่เป็นอะไรรึเปล่า?”
“ทำไมถึงไม่พูดอะไรเลย”
ในตอนนี้จู่ๆ เด็กน้อยก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้และหันไปมองชายชราข้างๆ
“อย่าได้กล่าวคำ!”
ใบหน้าของชายชราซีดเป็นกระดาษ มือไม้ของเขาสั่นอย่างไม่อาจควบคุม
“ท่านปู่เป็นอะไรหรือไม่” เด็กน้อยตระหนักได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติและรีบเข้าไปหาชายชรา
“เจ้านี่น้า…”
ชายชรายิ้มหยันและจ้องมองเด็กน้อยด้วยสายตาดุดัน “เจ้ารู้ไหมว่าตัวเจ้ากับปู่น่ะได้เดินเฉียดประตูนรกไปแล้วเมื่อครู่?”
“อ๊ะ?”
“ประตูนรก?”
เด็กน้อยงงงวย “ท่านปู่หมายถึงคนคนนั้นหรือ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นการแสดงออกของชายชราก็เปลี่ยนไปอีกครั้งหนึ่ง และแอบเหลือบมองไปยังทิศทางที่ซูฉินจากไปด้วยความหวาดกลัว “เจ้าไม่เห็นหรือว่ามีอะไรแปลกๆ น่ะ?”
“แปลกๆ?”
เด็กน้อยกะพริบตาปริบๆ
ชายชราถอนหายใจ ยกเท้าขึ้นมาจากหิมะ แล้วหันไปหาเด็กน้อย “เจ้าดูสิว่านี่คือสิ่งใด?”
“รอยเท้า?”
เด็กน้อยตอบรับ
“แล้วทำไมถึงมีรอยเท้าได้ล่ะ?” ชายชรากล่าวถาม
เด็กน้อยกลอกตา “ท่านปู่คิดว่าข้าโง่หรือ ตอนนี้หิมะกำลังตก ทั่วทุกพื้นที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ถ้ามีใครไปเหยียบมันเข้าย่อมต้องมีรอยเท้า…”
“แต่เจ้าลองดูสิว่ามีรอยเท้าบนเส้นทางที่ชายคนนั้นเพิ่งเดินผ่านมาหรือไม่” ชายชราสูดลมหายใจเข้าลึก พูดออกด้วยเสียงสั่นเครือ
เด็กน้อยขมวดคิ้วแล้วหันไปมอง
“เอ๋?”
ใบหน้าของเด็กน้อยเปลี่ยนไป
เพราะสิ่งที่เขาเห็นนั้น เป็นลานหิมะกว้างสุดลูกหูลูกตา
“ไม่…ไม่มีรอยเท้าเลย…”
ทันใดนั้นหน้าของเด็กน้อยก็ซีดเผือดราวกับเห็นผี
รู้หรือไม่ว่าปีนี้หิมะตกหนักมาก และเมื่อไม่กี่วันก่อนหิมะบนพื้นก็สูงขึ้นมาหลายฝ่ามือ ถ้าเป็นคนธรรมดามาเดิน พวกเขาก็ต้องทิ้งรอยเท้าหนักๆ เอาไว้อย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้เด็กน้อยไม่พบรอยเท้าแท้แต่ครึ่งเท้าเลยด้วยซ้ำ
“อีกสิ่งหนึ่ง”
ชายชราสงบลงแล้วพูดต่อ “เจ้าเห็นหิมะเกาะบนตัวชายคนนั้นสักนิดสักหน่อยหรือไม่?”
เมื่อคำนี้กล่าวออกมา
เด็กน้อยก็ตัวสั่นขึ้นมาทันใด
เป็นจริงดังนั้น
เขารู้สึกแปลกๆ อยู่เล็กๆ ตั้งแต่คราแรกแล้วเมื่อพบซูฉิน
แต่ตอนนั้นเด็กน้อยไม่ได้คิดมากแต่ประการใด
ทว่ายามนี้เมื่อชายชรากล่าวเตือนเขาขึ้นมา เขาก็ตระหนักได้ว่าไม่ว่าจะตัวเขาเองหรือชายชราต่างก็มีเกล็ดหิมะปกคลุมกระจายไปทั่วทั้งตัว
มันย่อมเป็นเช่นนั้นอยู่แล้วมิใช่หรือ
หิมะกำลังตก ตัวพวกเขาก็ไม่ได้หลบอยู่ในบ้าน แล้วจะไม่ให้มีหิมะเกาะได้อย่างไร
แต่พระหนุ่มเมื่อครู่กลับแตกต่าง
บนร่างกายของเขา
สะอาดและดูเป็นระเบียบเรียบร้อย
ไม่มีแม้แต่ฝุ่นเกาะเลย