นอนตายแน่นิ่ง
ทุกอย่างเงียบสนิท
จอมยุทธพรรคมารทุกคนที่กำลังเตรียมตัวต้อนรับการออกมาของประมุขพรรค พลันจุกที่ลำคอ ใบหน้าของพวกมันดำคล้ำราวกับขี้เถ้า
พวกมันไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีบุคคลที่ทรงพลังเช่นนี้อยู่บนโลกด้วย เพียงการโจมตีเดียวประมุขพรรคมารที่แสนยิ่งใหญ่ถึงกับกลายเป็นก้อนเนื้อ
ต้องทราบก่อนว่า
หลังจากที่ประมุขพรรคมารออกจากการปิดด่านฝึกตน เขาก็ได้เข้าถึงขอบเขตยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งแล้ว
ตบยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจนแดดิ้น?
มันเป็นไปได้อย่างไร?!!
หากพวกมันไม่ได้เห็นด้วยตาของตัวเอง พวกมันก็คงไม่มีทางเชื่อข้อเท็จจริงนี้แม้ว่าจะถูกทรมานจนตายก็ตาม
บางทีราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวนและนักพรตจางจากเขาหวู่ตั้งคงสามารถทำได้
แต่ไม่ว่าจะเป็นราชครูแห่งเหมิ่งหยวนหรือนักพรตจาง พวกเขาล้วนเป็นบุคคลที่ไม่มีใครสามารถเทียบเคียงมานานหลายทศวรรษมิใช่หรือ?
แล้วซูฉินเป็นใคร?
ในสายตาของจอมยุทธพรรคมาร ซูฉินเป็นเพียงพระหนุ่มรูปหนึ่ง ก่อนหน้านี้พวกมันไม่เคยได้ยินชื่อซูฉินมาก่อนด้วยซ้ำ
“เจ้า?!”
“เจ้าเป็นใครกัน?”
“ข้าไปมีความแค้นอะไรกับเจ้ากัน?”
เหยียนหั่วขยับริมฝีปาก เขาดูสิ้นหวัง
ตอนนี้เหยียนหั่วรู้แล้วว่าเขากำลังจะตาย
ขนาดยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งยังถูกตบจนตาย เหยียนหั่วจะไปต่อต้านอะไรได้?
อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะตาย เหยียนหั่วก็ยังอยากรู้เหตุผลว่าทำไมเขาถึงตาย?
แม้ว่าเหยียนหั่วจะเป็นสาวกของพรรคมาร เข่นฆ่าผู้คนมาก็นับไม่ถ้วน แต่เขาไม่เคยยั่วยุบุคคลที่น่ากลัวเช่นซูฉินมาก่อน
“ที่ข้าฆ่า….”
ซูฉินส่ายศีรษะของตน “ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล”
ในเวลาต่อมา
แสงแห่งชีวิตในดวงตาของเหยียนหั่วก็หรี่ลงอย่างรวดเร็ว ทั้งร่างร่วงลงสู่พื้นทั้งแบบนั้นพร้อมกับเสียงหายใจรวยริน
“บางทีคงต้องสังหารพวกนี้ให้หมด”
ซูฉินมองไปที่จอมยุทธพรรคมารคนอื่นๆ ในห้องโถง
จอมยุทธฝ่ายอธรรมพวกนี้มือของพวกมันแดงฉานไปด้วยเลือด และการลงมือของซูฉินก็ถือได้ว่าเป็นการกำจัดอันตรายให้พ้นไปจากผู้บริสุทธิ์
ถ้าเป็นเหล่าพระผู้ใหญ่รูปอื่นของวัดเส้าหลินมาอยู่ที่นี่ตอนนี้ พวกเขาคงพยายามจะสั่งสอนให้มารร้ายพวกนี้เกิดปัญญาเสียก่อนเป็นอันดับแรก ส่วนที่เลวร้ายเกินจะสั่งสอนก็คงถูกจับไปคุมขังในหอคอยสะกดมาร
แต่ซูฉินขี้เกียจเกินไปที่จะทำเช่นนั้น
แม้ว่าเขาจะอยู่ในวัดเส้าหลินมากว่าสิบห้าปีแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้เรียนรู้แนวความคิดในทุกๆ เรื่องของเส้าหลิน
แม้จะเป็นองค์ยูไล ก็ยังมีปางวัชระแห่งความโกรธามาแทนที่ความเมตตาอย่างหน้ามืดตามัว
หลังจากนั้นไม่นาน
ซูฉินก็เดินออกจากห้องโถงใหญ่นั่น
สาวกพรรคมารคนอื่นที่อยู่ด้านนอกโถงใหญ่ ต่างก็ไม่ได้รู้เรื่องที่ประมุขพรรค รองประมุขพรรค และจอมยุทธในสามระดับบนมากกว่าหนึ่งโหลได้ตกตายลงไปหมดแล้ว
“ข้าคงไม่ต้องกังวลพวกปลาซิวปลาสร้อยพวกนี้”
ซูฉินไม่ได้สนใจจอมยุทธพรรคมารคนอื่นๆ
เหตุผลหลักก็คือพวกระดับสูงของพรรคมารต่างก็ถูกซูฉินกวาดล้างไปหมดแล้วเมื่อสักครู่ และจอมยุทธที่ยังเหลืออยู่ด้านนอกคงไม่สามารถสร้างคลื่นลมใดต่อยุทธภพได้อีก
หลังจากนี้ไม่กี่ชั่วยามหลังเรื่องในห้องโถงถูกแพร่กระจายออกไป เกรงว่าผู้อื่นจะมิต้องกระทำการใด เหล่าจอมยุทธพรรคมารคงกระจัดกระจายหนีกันออกไปเองเสียด้วยซ้ำ
เมื่อสูญเสียยอดยุทธชนชั้นปกครองในสามระดับบนไป พรรคมารก็เปรียบได้กับสูญเสียกระดูกสันหลัง ไม่คุ้มค่าที่จะกล่าวถึงอีกต่อไป
และแน่นอน
จุดสำคัญที่สุดคือมีจอมยุทธพรรคมารหลายพันคนกระจายตัวอยู่ทั่วเขาหวู่หนาน
แม้ว่าซูฉินจะมีดวงตาแห่งสัจจะในการจับตำแหน่งจอมยุทธพรรคมาร แต่ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองถึงสามชั่วโมงในการจับพวกมันทั้งหมดในคราวเดียว
เขาไม่สามารถมาเสียเวลาอยู่ที่นี่ได้ ไม่เช่นนั้นมันจะทำให้การกลับไปตระกูลซูล่าช้าลงกว่าเดิม
ถ้าเป็นเช่นนั้นคงไม่คุ้มกับเวลาที่เสียไป
“ข้างนอกยังมีอันตรายมากกว่าที่วัดเส้าหลินอีกมาก…”
ซูฉินถอนหายใจแผ่วเบา
ในวัดเส้าหลินแม้ว่าซูฉินจะได้พบยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง แต่ยอดปรมาจารย์เหล่านั้นก็เป็นเหมือนกับจิ่วชื่อซานเหรินซึ่งทั้งพลังชีวิตและเลือดเนื้อได้เสื่อมสลายลงไปแล้ว และเพียงรอให้ความชราภาพมาพรากพวกเขาไป อย่างเหล่าสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้วิธีต้องห้ามในการต่อชีวิต
สำหรับยอดปรมาจารย์ที่มีพลังชีวิตและเลือดเนื้อที่แข็งแกร่งกลับไม่เคยพบเจอเลย
แต่ยามนี้เพียงไม่ถึงครึ่งวันหลังจากที่ซูฉินออกจากวัดเส้าหลิน เขาก็ได้พบกับยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งที่เพิ่งก้าวผ่านระดับขั้นมาได้ในทันที…
แม้ว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งคนนั้นจะโดนซูฉินตบจนตาย แต่ซูฉินก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ
ด้านนอกนั้นฟ้าสูงแผ่นดินใหญ่
วันนี้มียอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งโผล่มา บางทีสักวันก็คงมีระดับ‘อรหันต์‘โผล่มาเหมือนกันกระมัง?
“หลังกลับจากการไปเยี่ยมตระกูลซูครั้งนี้ ข้าจะต้องไปให้ถึงระดับอรหันต์ให้จงได้”
ซูฉินตัดสินใจอยู่ภายในความคิด
ด้วยพลังภายในบริสุทธิ์จากการเผาด้วยเพลิงมารผลาญสวรรค์ ไม่ช้าก็เร็วซูฉินจะเข้าสู่การแปรสภาพพลังภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
เมื่อองค์ประกอบทั้งสามนั่นคือ จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ ร่างกาย และกำลังภายในรวมกันเป็นหนึ่งได้อย่างสมบูรณ์ ซูฉินก็พร้อมที่จะท้าทายระดับชั้นอรหันต์
“หนังสือโบราณในศาลาพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า เพื่อที่จะบรรลุสถานภาพอรหันต์ ไม่เพียงแต่จะต้องอาศัยการแปรสภาพของพลังภายใน ร่างกาย และจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามอย่างเท่านั้น แต่ยังต้องเข้าใจถึงกระแสพลังแห่งฟ้าดินด้วย”
ซูฉินคิดเงียบๆ ในใจ
ทั่วยุทธภพแม้ว่ายอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งจะหายากมาก แต่ก็มีจำนวนมากที่กำเนิดขึ้นมาในแต่ละยุคสมัย
แม้แต่ระดับจุดสูงสุดก็ยังมีอยู่ให้เห็น
ตัวอย่างในยุคนี้ก็เช่น ราชครูแห่งอาณาจักรเหมิ่งหยวน นักพรตจางแห่งเขาหวู่ตั้ง และจ้าวกงกงประจำราชวงศ์ถัง ล้วนเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด
แต่ระดับ ‘อรหันต์‘ หรือตำนานยุทธ ยากที่จะหาพบ อาจจะมีอยู่สักหนึ่งคนหลังจากผ่านไปหลายยุค หรือมองหาไปทั่วในหลายพื้นที่
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?
เพราะมันยากเย็นเกินไปน่ะสิ
สำหรับจอมยุทธทั่วๆ ไป ไม่ว่าพวกเขาจะมีความสามารถมากเพียงใด ในการฝึกฝนจนถึงขอบเขตระดับชั้นที่หนึ่งและการแปรสภาพความแข็งแกร่งของร่างกาย กำลังภายใน และจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยก็หนึ่งร้อยหรือเกือบสองร้อยปี
ช่วงชีวิตของยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งอย่างมากสุดก็อยู่ได้ถึงสองร้อยปี
โดยทั่วไปแล้วการจะไปถึงระดับจุดสูงสุดของการแปรสภาพพลังทั้งสามครั้ง หากไม่ได้มีโอกาสอย่างซูฉินที่สามารถหลอมกายเนื้อด้วยพลังจากหยินและหยาง กว่าจะไปถึงจุดนั้นพวกเขาก็คงใกล้ถึงจุดสิ้นสุดของช่วงชีวิตแล้ว
ในเวลานั้นยอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดยังคงต้องใช้ความอดทนในการเข้าใจให้ลึกซึ้งถึงพลังฉีในชั้นฟ้าดินเพื่อที่จะไปถึงขอบเขตระดับที่สูงขึ้น
หากเจ้าไม่สามารถทำความเข้าใจได้ คงเพียงทำได้แต่นอนรอความตายก็เท่านั้น
อย่างไรก็ตามสำหรับซูฉินแล้ว ทั้งหมดนี้หาใช่ปัญหาไม่
ตามการคาดการณ์ของซูฉิน เขาจะสามารถแปรสภาพกำลังภายในของเขาได้อย่างสมบูรณ์ก่อนอายุถึงสามสิบปี
ในเวลานั้นซูฉินยังมีเวลาอีกสามร้อยเจ็ดสิบปีในการทำความเข้าใจกระแสพลังฉีฟ้าดิน
ด้วยเงื่อนไขทั้งหมดทั้งมวลนี้ หากซูฉินยังไม่สามารถเข้าใจมันได้อีก ก็แสดงว่าขอบเขตของระดับ ‘อรหันต์‘ ก็ไม่น่ามีอยู่จริงบนโลกนี้แล้ว
ต้องบอกอีกครั้ง
ดวงตาแห่งสัจจะสามารถทำให้เข้าใจได้อย่างถ่องแท้เกี่ยวกับกลไกพลังฉีทั้งหมด และบางทีรูปแบบพลังฉีที่จำเป็นสำหรับการทะลวงผ่านขั้นไปเป็นระดับ ‘อรหันต์‘ ก็อาจจะอยู่ในขอบเขตความสามารถของดวงตาแห่งสัจจะเช่นกัน
“โอ้ จริงสิ”
“ที่นี่เป็นฐานหลักของพรรคมารในยุทธภพนี่ มันควรจะมีสิ่งที่เรียกว่า ‘เต๋าสะสม‘ อยู่สิ ข้าสามารถลงชื่อเข้าใช้ที่นี่ได้หรือไม่นะ?”
ซูฉินนึกถึงเรื่องบางอย่างได้ในทันใดและพูดในใจเงียบๆ
“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้!”
ในเวลาถัดมา
[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับวิชาต้องห้าม ‘กลมารฟ้า‘]
“กลมารฟ้า?”
ใบหน้าของซูฉินปรากฏความประหลาดใจ
กลมารฟ้าเป็นความลับสุดยอดของพรรคมาร ตามที่ได้ยินข่าวลือมามีเคล็ดวิชาหลายต่อหลายวิชาของพรรคมารที่มีต้นกำเนิดมาจากกลมารฟ้า
นัยหนึ่ง ถ้าไม่มีกลมารฟ้าก็อาจจะไม่มีพรรคมารอยู่ในยุทธภพอย่างปัจจุบันนี้
“มันคือกลมารฟ้า!”
ดวงตาของซูฉินสว่างไสวขึ้นมา