เรื่องที่จักรพรรดิถังมีอายุมากแล้วไม่ได้เป็นความลับใด
หากไม่มีขันทีชุดม่วงอันทรงเกียรติคอยปราม เกรงว่าขณะนี้วังหลวงคงจะเต็มไปด้วยความโกลาหลเสียแล้ว
แต่กระนั้นเหล่าองค์ชายก็ยังคงต่อสู้กันอยู่ทั้งที่ลับและที่แจ้ง ทุกคนต่างมีความคิดแตกต่างกัน
เหล่าเชื้อพระวงศ์ต่างก็เลือกข้างเดิมพันสนับสนุนองค์ชายสักพระองค์
เดิมทีจากสายตาของผู้คนมากมาย จักรพรรดิถังคงจะเลือกองค์ชายสักพระองค์ในวังหลวงที่ทรงสง่าราศีมาแต่งตั้งเป็นรัชทายาท
ที่สุดแล้วในบรรดาทายาทหลายคนขององค์จักรพรรดิถัง บางคนก็มีความสามารถไม่น้อย ต่างจากคนอื่นที่เก่งเพียงแต่การดื่มกินเที่ยวเล่น รอคอยความตายไปวันๆ
อย่างไรก็ตาม
สิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดคือในที่สุดองค์จักรพรรดิถังก็เลือก เลือกองค์ชายหลี่เชิงเป็นองค์รัชทายาท?
องค์ชายหลี่เชิงเป็นทายาทที่องค์จักรพรรดิถังทรงทิ้งไว้ภายนอกวัง และเพิ่งได้รับการยอมรับให้กลับเข้าวังเมื่อไม่กี่ปีก่อนนี่เอง
เหล่าขุนนางและองค์ชายหลายคนรู้เรื่องนี้อยู่บ้างเหมือนกัน เพียงแต่พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งองค์ชายหลี่เชิงจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาท
เนื่องจากรากฐานเบื้องหลังขององค์ชายหลี่เชิงตื้นเขินเกินไป
…
ณ วัดเส้าหลิน
บางคราซูฉินก็จะใช้จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขากวาดไปรอบๆ วัด และมีอยู่ครั้งหนึ่งเขาได้ยินศิษย์วัดพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาในรั้วในวัง เรื่องรัชทายาทพระองค์ใหม่แห่งอาณาจักรถัง
“โอ้?”
“จริงเสียด้วย เขาถูกแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาทเรียบร้อยแล้ว”
ซูฉินแตะปลายคาง ดวงตาของเขาเหม่อลอยครุ่นคิด
เมื่อเขาพบเข้ากับหลี่เชิงครั้งแรกที่คฤหาสน์ตระกูลซู เขาก็รู้ได้ว่ามีโชคชะตาบ้านเมืองแห่งอาณาจักรถังอยู่ในตัวชายคนนั้นถึงหนึ่งในสิบส่วน
ตัวตนเช่นนี้ตราบใดที่ไม่ตกตายไปเสียก่อน ในอนาคตก็คงเป็นเรื่องของเวลาก่อนที่เขาจะขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์
“อาณาจักรถัง…”
“เมืองฉางอัน…”
หัวใจของซูฉินขยับวูบ
อาณาจักรราชวงศ์ถังก่อตั้งมานานถึงห้าร้อยปี แต่เมืองหลวงของอาณาจักรถังซึ่งก็คือฉางอัน เป็นเมืองหลวงเก่าแก่ที่ผ่านยุคสมัยมากว่าสิบราชวงศ์ มีประวัติศาสตร์ยาวนานหลายพันปี
ในเวลาหลายพันปีมานี้รอบนอกของเมืองฉางอันอาจจะถูกบูรณะซ่อมแซมใหม่นับครั้งไม่ถ้วน แต่เมืองหลวงของอาณาจักรไม่เคยแปรเปลี่ยนไป
แม้แต่ปราสาทหยกที่ประดับประดาไปด้วยเพชรนิลจินดาและพระราชวังที่สูงตระหง่านก็เหมือนเดิม เหมือนกับเมื่อหลายพันปีก่อน
อีกนัยหนึ่ง เมืองหลวงฉางอันได้อยู่เคียงคู่การเกิดดับของราชวงศ์นับสิบ ยืนหยัดอยู่บนผืนแผ่นดินเดิมมานับพันปี
“เมืองหลวงอันเก่าแก่ยาวนานนับสิบราชวงศ์…”
“ ‘เต๋าสะสม‘ นับพันปีที่อยู่ภายในเมืองฉางอัน น่าจะใกล้เคียงกับของวัดเส้าหลิน…”
ดวงตาของซูฉินสดใส หัวใจของเขาเต้นถี่รัว
แม้ว่าซูฉินจะไม่เคยไปที่เมืองฉางอันมาก่อน แต่เขาก็เดาได้ว่า ‘เต๋าสะสม‘ ภายในเมืองคงสะสมมายาวนานหลายพันปี
คงจะมากพอให้ซูฉินลงชื่อเข้าใช้ได้เป็นเวลานาน
“เมื่อ ‘เต๋าสะสม‘ ของวัดเส้าหลินหมดลง ถึงเวลาแล้วที่จะไปยังเมืองฉางอัน”
ความคิดของซูฉินพลิกตลบ
“เมื่อพูดถึงการลงชื่อเข้าใช้ สิทธิ์ในการลงชื่อของวันนี้ก็ยังไม่ได้ใช้เลยนี่นา”
ทันทีที่ซูฉินคิดออก ร่างเขาก็หายวับไปและปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่ด้านนอกศาลาพระคัมภีร์
“ในช่วงหลายสิบครั้งที่ผ่านมา ข้าลงชื่อเข้าใช้ที่ลานโพธิ์จนมีโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำอยู่มากพอสมควรแล้ว วันนี้ข้าจะลงชื่อเข้าใช้ที่ศาลาพระคัมภีร์แทน”
ซูฉินพูดกับตนเองในใจ
“ระบบ ลงชื่อเข้าใช้”
[ขอแสดงความยินดี โฮสต์ลงชื่อเข้าใช้สำเร็จ ได้รับ ‘พระสูตรอมิตาภาบรรพกาล‘]
เสียงจักรกลเย็นยะเยือกดังก้องอยู่ภายในหูของซูฉิน
“พระสูตรอมิตาภาบรรพกาล?”
สีหน้าของซูฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย
พระสูตรอมิตาภาบรรพกาลเป็นหนึ่งในคัมภีร์ระดับสูงที่สุดของวิทยายุทธทางสายพุทธ
ระดับนั้นสูงส่งมาก แม้ว่าจะไม่สามารถเทียบเท่าฝ่ามือยูไล แต่เกรงว่ามันจะไม่ห่างไกลกันมากนัก
กล่าวเพียงแค่ในประวัติศาสตร์ของวัดเส้าหลินกว่าพันปีและแม้แต่ ‘ปรมาจารย์โพธิธรรม‘ ที่เชี่ยวชาญศาสตร์วิชาหลายแขนงก็ยังไม่เข้าใจในพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลเลย นับประสาอะไรกับคนอื่นๆ
ราวกับพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลไม่ได้มีไว้ให้ปุถุชนได้เรียนรู้
ซูฉินเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าการลงชื่อครั้งนี้ของเขาจะได้รับสุดยอดคัมภีร์เช่นนี้มา
“คราวนี้ได้กำไรมาเต็มๆ”
ซูฉินมีความสุขมากเห็นได้จากรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา จากนั้นจึงหันหลังกลับไปที่เขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง
สำหรับคนอื่นๆ แม้ว่าจะได้รับต้นฉบับพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลไปก็ไม่มีประโยชน์ใด
เพราะยังไงก็คงไม่สามารถเข้าใจความละเอียดอ่อนของเนื้อหาภายในได้
ดังนั้นในสายตาของคนส่วนใหญ่ จึงเห็นว่าพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลไม่ได้ใช้งานง่ายเหมือนกับหมัดอรหันต์
อย่างน้อยๆ หากศึกษาหมัดอรหันต์อย่างเพียรพยายาม แม้แต่คนธรรมดาก็ยังสามารถเข้าใจหลักการของมันได้ภายในไม่กี่เดือน
แต่กับพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลนั้น?
ไม่ว่าจะมีความสามารถแค่ไหน ไม่ว่าจะเก่งแค่ไหน ถ้าหากไม่เข้าใจ จะเอาไปใช้งานได้เยี่ยงไร?
แต่ซูฉินแตกต่างจากผู้อื่น
ไม่ว่าทักษะมหัศจรรย์ใดที่ได้รับมาจากระบบ จะถูกปลูกฝังเข้าไปในจิต และจะเชี่ยวชาญศาสตร์นั้นได้โดยอัตโนมัติ
ความยากของพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลคือการไม่สามารถแม้แต่จะก้าวข้ามประตูด่านแรกในการศึกษาได้เลยด้วยซ้ำ
หรือกล่าวได้ว่า ส่วนที่ยากที่สุดในพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลคือส่วนที่ง่ายที่สุดในสายตาของซูฉิน
ตอนที่ซูฉินกำลังคิดถึงเรื่องนี้
ข้อมูลอันลึกซึ้งเกี่ยวกับพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลก็ถาโถมเข้ามาในจิตของซูฉิน
ภาพทุกอย่างสับสนวิงเวียนไปหมด ในส่วนลึกของจิตใจซูฉินได้กลั่นตัวออกมาเป็นยูไลองค์ใหญ่ที่อยู่ในห้วงอดีต กำลังจ้องมองมาที่ปัจจุบันขณะและมองต่อไปยังอนาคต
ตูม!!!
จิตวิญญาณของซูฉินสั่นสะเทือน ตกใจจนลืมตาตื่นขึ้นมาในทันที
“พระสูตรอมิตาภาบรรพกาลสมควรแล้วที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในวิทยายุทธระดับสูงสุดของสายพุทธ”
ซูฉินพยักหน้าเล็กน้อย แม้แต่ขอบเขตอรหันต์เช่นเขาก็อดไม่ได้ที่จะนั่งจมอยู่ในความคิด ใคร่ครวญถึงพระสูตรอมิตาภาบรรพกาล
“พระสูตรอมิตาภาบรรพกาลเป็นกลวิธีบ่มเพาะจิตวิญญาณที่ใช้แก่นแท้แห่งพลังในการขับเคลื่อน”
เมื่อความคิดของซูฉินเคลื่อนไป แก่นแท้แห่งพลังในกายของเขาก็เริ่มไหลเวียนโคจรอย่างต่อเนื่องไปตามเส้นทางการโคจรพิเศษเฉพาะ
ก่อนที่จะได้รับพระสูตรอมิตาภาบรรพกาล ที่ผ่านมาซูฉินควบคุมจิตวิญญาณของตนด้วย‘วิชาบ่มเพาะอรหันต์ชั้นยอด‘
‘วิชาบ่มเพาะอรหันต์ชั้นยอด‘ เป็นกลวิธีบ่มเพาะจิตวิญญาณระดับอรหันต์ซึ่งสามารถเร่งความเร็วในการบ่มเพาะได้ดีทีเดียว ช่วยเพิ่มการรับรู้และควบคุมพลังฟ้าดิน
นับได้ว่าวิชาบ่มเพาะอรหันต์ชั้นยอดเป็นกลวิธีบ่มเพาะจิตวิญญาณในระดับอรหันต์ที่ยอดเยี่ยมวิธีหนึ่ง
แต่ในขณะนี้หลังจากที่ได้รับพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลซึ่งเหนือกว่าวิชาบ่มเพาะอรหันต์ชั้นยอดไปมาก ซูฉินก็เปลี่ยนมาบ่มเพาะวิชาใหม่แทนวิชาบ่มเพาะอรหันต์ชั้นยอดโดยไม่มีความลังเลเลย
หวู่!
ชี่!
ซูฉินนั่งลงขัดสมาธิ แก่นแท้แห่งพลังไหลเวียนไปตามแนวทางของพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลอย่างรวดเร็ว
ฟู่ว
ระหว่างดำเนินการบ่มเพาะพระสูตรอมิตาภาบรรพกาล ทั่วพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลังก็เกิดลมพายุก่อตัวจากพลังฟ้าดินขนาดใหญ่กว่าปกตินับสิบเท่า วิ่งวนรวมกันเป็นทรงกรวยขนาดใหญ่พุ่งเข้าใส่ร่างของซูฉินอย่างบ้าคลั่ง
เวลาผ่านเลยไป
ลมพายุจากพลังฟ้าดินยังคงรวมตัวกันที่เขตหวงห้ามภูเขาด้านหลัง ไม่เพียงไม่สลายหายไป แต่กลับกระจายพื้นที่สูบพลังฟ้าดินจากทั่ววัดเส้าหลิน
ไม่นานจากนั้น
ท้องฟ้าเหนือวัดเส้าหลินก็เหมือนถูกพายุเข้าปกคลุม
“นั่นมันอะไรกัน?”
ศิษย์วัดเส้าหลินหลายคนเงยหน้าขึ้นมองอย่างตื่นตะลึง
ขณะนั้นพวกเขากำลังทำกิจธุระของตนอยู่ บ้างฝึกฝน บ้างทำงาน พวกเขาไม่คาดคิดว่าสภาพอากาศจะผันแปรไปอย่างรุนแรงแบบนี้ พลังฉีฟ้าดินมารวมตัวกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุดคลุมไปทั่วทุกพื้นที่
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักรีบมารวมตัวกัน
“พลังฉีฟ้าดินมารวมตัวกันราวกับเมฆฝนเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเหล่าอรหันต์สำเร็จความก้าวหน้าในการบ่มเพาะ…”
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินพึมพำกับตัวเองด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หัวหน้าตำหนักมองหน้ากันต่างพากันกลืนน้ำลายลงคอทีละคนสองคน
ในสายตาของพวกเขาผู้ทรงสมณศักดิ์อันสูงส่งเปรียบเสมือนเทพเจ้าที่ยืนอยู่เหนือโลกหล้า พวกเขานึกไม่ออกเลยว่าหากผู้ทรงสมณศักดิ์ฯ ยังคงทะลวงขั้นต่อไปมันจะเป็นเยี่ยงไร?
พื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง
ซูฉินที่นั่งขัดสมาธิอยู่ ได้เปิดเปลือกตาขึ้น