“ไม่คาดคิดเลยว่า ‘พระสูตรอมิตาภาบรรพกาล‘ จะทรงพลังน่ากลัวขนาดนี้”
ซูฉินดูประหลาดใจ
เขาเพิ่งจะฝึกฝนพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลเพียงครึ่งชั่วโมง แต่รู้สึกว่าความแข็งแกร่งของตนเพิ่มขึ้นเทียบเท่าการฝึกฝนอย่างหนักในสิบวันที่ผ่านมาเลยทีเดียว
“โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำก็หดเล็กลงด้วยเช่นกัน…”
ซูฉินเหมือนจะจับความรู้สึกบางอย่างได้จึงกระซิบกระซาบอยู่กับตนเอง
โดยทั่วไปแล้วโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำหนึ่งเม็ด ซูฉินสามารถดูดซับหมดได้ภายในหนึ่งถึงสองเดือน
เนื่องจากตัวยาที่อยู่ในโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำมีมากเกินไป แม้ซูฉินจะเป็นระดับอรหันต์แล้วแต่ก็ยังต้องใช้เวลาในการย่อยและดูดซึม
แต่เมื่อครู่
เมื่อซูฉินโคจรพลังตามพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลพบว่าโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำที่ท้องน้อยของเขาละลายด้วยความเร็วที่มากจนน่ากลัว
“ไม่เลวไม่เลว”
“อย่างน้อยที่สุดภายในหนึ่งปีข้าก็จะสามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตอรหันต์ระดับนภาชั้นที่สองได้”
ดวงตาของซูฉินเปล่งประกายเจิดจรัส
หากไม่มีพระสูตรอมิตาภาบรรพกาล แม้จะได้โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำช่วยเอาไว้ แต่ซูฉินก็ยังต้องใช้เวลาเกือบสิบปีถึงจะตัดผ่านเขตแดนไปได้
แต่ตอนนี้เวลาสั้นลงเป็นสิบเท่า
นี่เป็นเพราะการพัฒนาตนของระดับอรหันต์ไม่ใช่เพียงแค่สั่งสมตบะ แต่ที่สำคัญกว่ากลับเป็นความเข้าใจในเรื่องฟ้าดิน
ไม่เช่นนั้นความเร็วในการพัฒนาของซูฉินคงจะเร็วกว่านี้ไปแล้ว
“ตามที่เคยได้ยินมา หากผู้ใดเข้าใจคัมภีร์ระดับสูงสุดทั้งสาม ได้แก่ พระสูตรอมิตาภาบรรพกาล พระสูตรปัจจุบันขณะแห่งตถาคต และพระสูตรไร้กำเนิด ผู้นั้นจะได้พบกับอิสรภาพอันยิ่งใหญ่ เข้าถึงสุขอันแท้จริง…”
ซูฉินเหมือนจะใฝ่หาสิ่งนั้นอยู่เล็กน้อย
“น่าเสียดายนักที่วิธีการบ่มเพาะจากพระสูตรอมิตาภาบรรพกาลมีประโยชน์มากเช่นนี้ แต่อัตราการใช้โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำก็เร็วจนเกินไป…”
ซูฉินคิดใคร่ครวญเกี่ยวกับเรื่องนี้
เดิมทีโอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำเม็ดหนึ่งเพียงพอให้ซูฉินดูดซับไปนานหนึ่งถึงสองเดือนเลยทีเดียว แต่ตอนนี้เกรงว่าเขาคงต้องใช้โอสถอายุวัฒนะเคลือบทองคำเม็ดถัดไปเพิ่มอีกในสัปดาห์หน้า
“นี่มันทำให้เกิดเรื่องเกิดราวขึ้นที่ด้านนอกหรือไม่?”
เพียงคิด จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อันทรงพลังของซูฉินก็ปกคลุมไปทั่ววัดอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าการฝึกฝนของซูฉินจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่พายุบริเวณรอบนอกที่ถึงจะเริ่มสลายไปอย่างช้าๆ นั้น อย่างไรก็ยังหลงเหลือร่องรอยที่หายไปไม่หมดในช่วงเวลาสั้นๆ อยู่
…
นอกพื้นที่หวงห้ามภูเขาด้านหลัง
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและเหล่าหัวหน้าตำหนักกำลังลังเลว่าควรจะเข้าไปดีหรือไม่
ท้ายที่สุดแล้วปรากฏการณ์เช่นนี้ถือว่าค่อนข้างใหญ่ทีเดียว แม้ว่าเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินจะพอคาดเดาจากที่เคยอ่านในบันทึกโบราณภายในวัด คาดว่าสิ่งนี้คงเป็นความก้าวหน้าในการบ่มเพาะของซูฉิน แต่เขาก็ยังแอบกังวลอยู่ในใจลึกๆ
ทันใดนั้น
ชั่วขณะนั้น
เสียงอันสงบนิ่งดังก้องที่ข้างหูของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักทั้งหมด
“กลับกันไปเถอะ ไม่มีอะไร”
เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินและหัวหน้าตำหนักต่างก้มลงเล็กน้อยเพื่อคำนับ
“ขอรับ”
…
…
ในเวลาเดียวกัน
ที่ด้านนอกพระราชวังราชวงศ์ถัง
ใบหน้าขององค์ชายหลี่เชิงยังคงแสดงอาการแปลกๆ ออกมาเล็กน้อยในตอนนี้
“เสด็จพ่อแต่งตั้งให้ข้าเป็นองค์รัชทายาทหรือนี่?”
องค์ชายหลี่เชิงกะพริบตาปริบๆ ใบหน้านิ่งค้าง
แม้เขาจะได้รู้เรื่องสถานะที่แท้จริงของตนเมื่อไม่กี่ปีก่อนว่าเขาสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์
แต่หลี่เชิงจะเคยคิดฝันว่าตนต้องกลายมาเป็นองค์รัชทายาทเช่นนี้ได้เยี่ยงไร?
องค์รัชทายาทคือสิ่งใด?
ไม่ว่าจะอาณาจักรหรือราชวงศ์ใด องค์รัชทายาทนั้นเป็นรองก็แต่องค์จักรพรรดิเท่านั้น และหลังจากองค์จักรพรรดิสิ้นพระชนม์เขาก็จะขึ้นแทนตำแหน่งอย่างชอบธรรม
กล่าวได้ว่าหากหลี่เชิงได้เป็นองค์รัชทายาท เขาก็จะเป็นผู้นำอาณาจักรถังในอนาคต
“เหนียงหยุนนี่เป็นเรื่องจริงเช่นนั้นหรือ?”
หลี่เชิงมองไปที่ซูเยว่หยุนที่อยู่ด้านข้างตัวเขา
เมื่อไม่กี่ปีก่อนหลังจากที่เขาตามหลิวกงกงมาที่วังหลวง เพียงไม่นานนักเขาก็ได้พาซูเยว่หยุนเข้ามาด้วย
“อย่าเพิ่งด่วนดีใจไป”
“มันไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นักที่เจ้าได้กลายมาเป็นองค์รัชทายาท…”
ซูเยว่หยุนส่ายหัวแล้วพูดออกมา
“ไม่ใช่เรื่องดีเช่นนั้นหรือ…”
องค์ชายหลี่เชิงก็สงบใจลงเช่นกัน
แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่คาดคิดเลยว่าตนจะได้เป็นองค์รัชทายาท แล้วผู้อื่นมิยิ่งกว่าหรอกหรือ?
และที่สำคัญที่สุดคือ
องค์จักรพรรดิถึงกับแต่งตั้งเขาเป็นองค์รัชทายาท องค์ชายคนอื่นจะคิดเห็นอย่างไร? เหล่าขุนนางข้าราชสำนักจะคิดเช่นไร?
รู้หรือไม่ว่าในช่วงไม่กี่ปีมานี้เหล่าพี่น้องของหลี่เชิงล้วนต่อสู้กันอย่างหนักหน่วงเพื่อหวังจะครองตำแหน่งรัชทายาท เกือบถึงขั้นแตกหักกัน
พวกเขาจะยอมให้ตำแหน่งรัชทายาทหลุดรอดไปถึงมือหลี่เชิงจริงๆ เช่นนั้นหรือ?
นอกจากนี้ยังมีเหล่าขุนนางผู้สนับสนุนองค์ชาย พวกเขาลงเดิมพันทุกสิ่งอย่างกับองค์ชายพระองค์ใดพระองค์หนึ่งไว้อยู่แล้วเพื่อโอกาสในการสืบทอดบัลลังก์
หากองค์ชายคนสุดท้องอย่างเขาได้สิ่งที่พวกนั้นต้องการไป ขุนนางที่รอคอยโอกาสเหล่านั้นจะคิดอย่างไร?
เมื่อคิดได้ดังนั้นองค์ชายหลี่เชิงก็พลันรู้สึกหนังศีรษะชาวาบ เหมือนตัวเองยืนอยู่ตรงทางตัน
“ไม่ต้องเป็นห่วง”
“เนื่องจากฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยเช่นนี้ จะต้องมีเหตุผลอยู่แล้วเป็นแน่”
ซูเยว่หยุนปลอบโยนคนด้านข้างด้วยคำพูดสองสามประโยค
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น” หลี่เชิงพยักหน้าอย่างแข็งแกร่งมั่นคง
ในขณะนั้น
พลันมีคนวิ่งเข้ามาหา
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท มีคนจากวังหลวงมาขอเข้าพบขอรับ…”
“คนจากวังหลวงอยากพบข้า?” องค์ชายหลี่เชิงผงะไปครู่หนึ่งแล้วจึงตอบกลับไปในทันใด “ข้ารู้แล้ว จะรีบไปเดี๋ยวนี้”
ในไม่ช้า
หลี่เชิงและซูเยว่หยุนก็พากันเดินออกไปด้านนอก
ในขณะนี้ที่ด้านนอกประตูถูกห้อมล้อมไปด้วยขบวนจากพระราชวังฝ่ายใน มีขันทีในชุดคลุมสีม่วงยืนอยู่ตรงนั้นใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม
“สีม่วง?”
หลี่เชิงทำได้เพียงร่ำร้องอยู่ในใจของตน
หลังจากมาอยู่ที่เมืองฉางอันเป็นเวลานาน หลี่เชิงก็รู้ว่าชุดคลุมสีม่วงเป็นตัวแทนของตัวตนเช่นไรในวังหลวง
และนั่นก็คือจ้าวกงกง ความเป็นไปทั้งหมดภายในวังหลวงอยู่ในกำมือของขันทีผู้นี้ มีอำนาจมากเสียยิ่งกว่าเหล่าองค์ชายเสียอีก
ในสถานการณ์ปกติเขาจะถวายการรับใช้ต่อองค์จักรพรรดิถังและเป็นไปไม่ได้เลยที่จะออกจากวังหลวง
แต่ตอนนี้จ้าวกงกงดันปรากฏตัวอยู่ที่หน้าประตูที่พักของหลี่เชิง…
พอคิดเรื่องราวต่างๆ ดูแล้ว หลี่เชิงก็เริ่มกังวลขึ้นมา
“ถวายบังคม”
เมื่อจ้าวกงกงเห็นหลี่เชิงเดินออกมาก็โค้งคำนับลงเล็กน้อย
“จ้าวกงกง”
หลี่เชิงตอบรับกลับไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เรียนฝ่าบาท องค์จักรพรรดิมีคำสั่งให้องค์ชายย้ายไปอยู่ที่พระราชวังตะวันออก”
จ้าวกงกงกล่าวคำช้าๆ
“พระราชวังตะวันออก?”
หลี่เชิงผงะไปชั่วขณะแล้วพูดว่า “ข้าจะเก็บของแล้วไปที่พระราชวังตะวันออกพร้อมกับจ้าวกงกงในทันที”
“ไม่จำเป็น”
จ้าวกงกงส่ายศีรษะน้อยๆ แล้วกล่าวว่า “พระองค์สามารถตามเกล้ากระหม่อมไปยังพระราชวังตะวันออกตอนนี้ได้เลย ทุกสิ่งทุกอย่างได้เตรียมพร้อมรับรองเอาไว้ที่นั่นหมดสิ้นแล้ว”
“แต่ว่า…”
หลี่เชิงดูลังเล เขาเหลือบไปมองซูเยว่หยุนที่อยู่ข้างๆ เขาถามออกอย่างไม่แน่ใจ “เช่นนั้นข้าขอไปที่พระราชวังตะวันออกพร้อมกับจ้าวกงกงและเหนียงหยุน”
“เหนียงหยุน?”
จ้าวกงกงหันมาสบตากับซูเยว่หยุนแล้วจึงส่ายหัว “มีเพียงองค์รัชทายาทและพระชายาเท่านั้นที่สามารถอยู่ในพระราชวังตะวันออกได้ ส่วนคนอื่นๆ ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป”
แม้ว่าซูเยว่หยุนจะเป็นคู่สมรสของหลี่เชิง แต่นางก็ยังไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระชายาอย่างเป็นทางการ
สุดท้ายแล้วแม้แต่ตัวหลี่เชิงเองก็เพิ่งได้รับตำแหน่งเป็นองค์รัชทายาทในวันนี้นี่เอง แล้วจะมีเวลาไหนไปแต่งตั้งซูเยว่หยุนกันเล่า
“เจ้าจงไปพระราชวังตะวันออกก่อนเถิด ข้ามิได้รีบร้อนอันใด”
ซูเยว่หยุนพลันกระซิบบอกเมื่อเห็นหลี่เชิงมีอาการลังเล
ตอนนี้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาคือจ้าวกงกง ขันทีชุดม่วง หากจ้าวกงกงไม่พอใจเพราะความลังเลของหลี่เชิงมันจะเป็นปัญหาต่อเนื่องไปยังองค์จักรพรรดิได้
“ฝ่าบาท เร็วเข้าเถอะ”
เมื่อจ้าวกงกงเห็นว่าหลี่เชิงไม่ตอบสนอง เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วมองไปที่ซูเยว่หยุนอีกครั้ง
ด้วยการเหลือบมองนี้จึงทำให้จ้าวกงกงเห็นจี้หยกที่แขวนอยู่บริเวณเอวของซูเยว่หยุน
จี้หยกนี้ดูธรรมดามาก แต่ซูเยว่หยุนกลับห้อยไว้ข้างกายเห็นได้ชัดว่าให้ความสำคัญกับมันมาก
กระนั้นจ้าวกงกงดูเหมือนจะค้นพบบางสิ่งเข้า สายตาของเขาจดจ้องไปที่จี้หยกข้างเอวของซูเยว่หยุน
“นี่คือ?”
ยิ่งมองดูจ้าวกงกงก็ยิ่งใจสั่นขึ้นเรื่อยๆ สีหน้าเริ่มเปลี่ยนไป ความตกใจ ความไม่เข้าใจฉายชัดอยู่บนใบหน้า