“ มึงคิดว่าน้องมันจะเขียนตามที่ไอขาลมันพูดได้ทุกคำปะวะ “ ป้องกระซิบถามนับวัน เมื่อปีสามทั้งหมดพากันเดินไปที่ห้องประชุม ซึ่งอยู่ที่ชั้นสามของโดมที่ปีหนึ่งอยู่
“ กูก็ไม่แน่ใจวะ แต่ถ้ารุ่นพี่ให้กูทำแบบนี้กูทำไมได้แน่ๆ เผลอๆกูอาจจะเอากระดาษปาใส่หัวไอรุ่นพี่ที่สั่งกูแล้วบอกให้แม่งไปทำเองเถอะไอสัส “ นับวันบอกป้องไปอย่างโมโหนิดๆ
“ ก็มีคนคิดอย่างมึงแบบนี้นี่ไง กูเลยตั้งกฎแบบนี้ขึ้นมา “ ปีขาลหันมาบอกกับเพื่อนที่เดินอยู่ข้างหลังตัวเองเสียงนิ่ง ทิ้งให้นับวันและป้องได้แต่สะดุ้งด้วยความตกใจ
“ กะ..ก็มันจริงนี่หว่า ใครจะไปเขียนตามที่มึงพูดได้หมดวะ ขนาดกูที่รู้กฎก่อนพวกน้องๆมันกูยังเขียนตามที่มึงพูดไม่หมดเลยเหอะ นี่ไอเชี้ยขาลกูถามจริงเหอะ อะไรเข้าสิงมึงให้ตั้งกฎเวรนี่ขึ้นมาวะ “ ป้องถามปีขาลด้วยความข้องใจ
“ ไม่รู้ ไม่มีเหตุผล กูอยากตั้งก็ตั้ง อยากทำอะไรก็ทำ “ ปีขาลพูดจบก็หันไปเดินต่อโดยไม่สนใจเพื่อนทั้งสองที่กรอกตามองบนใส่เขาอยู่
“ มึงเชื่อกูมะว่าพรุ่งนี้พวกน้องๆแม่งมาไม่ถึงร้อยคนแน่ๆ “ ป้องหันไปถามนับวัน
“ จะถึงสิบคนหรือเปล่าเหอะ “ นับวันได้แต่ส่ายหัวอย่างปลงๆ
.
.
.
“ นี่ไอเชี้ยกุน มึงว่าไอรุ่นพี่ขาลอะไรนี่แม่งทำเกินไปปะวะ “ พนาถามเพื่อนสนิทด้วยความสงสัย ถึงแม้ว่าในใจจะรู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองคิดนั้นถูกมากก็ตาม
“ กูว่าพี่มันคงมีเหตุผลที่ทำลงไปนั่นแหละ “ กุนตอบเพื่อนด้วยน้ำเสียงปกติ
ตอนนี้เขาทั้งคู่ได้อยู่ภายในห้องพักของนักศึกษาที่ได้จัดขึ้นมาให้ กุนและพนาเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย ซึ่งพอเข้ามหาลัยก็ดันสอบเข้ามหาลัยเดียวกันอีก มันเลยทำให้เขาทั้งคู่ยิ่งสนิทกันมากกว่าเดิมแต่ก็ไม่ใช่เพียงแค่พนากับกุลเท่านั้น ยังมีอาจ ชาตะและสมายที่สอบเข้าที่เดียวกันและคณะเดียวกันอีกด้วย
“ เหตุผลห่าอะไรของพี่มันวะมึง นี่กูบอกตรงๆนะกูจำคำพูดของพี่มันไม่ได้เลยสักนิด พูดๆๆพูดรัวๆแล้วก็เดินจากไป ทิ้งคำสั่งห่าอะไรไว้มากมายก็ไม่รู้ นี่กูปวดหัวแค่เรื่องเรียนไม่พอยังต้องมาปวดหัวกับไอกฎของรุ่นพี่เวรนี่อีกหรอไงวะ “ พนาบ่นออกมาด้วยความเซ็งๆไม่น้อย
“ ……….. “ กุนนิ่งเงียบไม่ได้โต้ตอบอะไรเพื่อนกลับไป เขาหยิบกระดาเอสี่ในกระเป๋ามาสองแผ่นและยื่นไปให้พนารับไว้หนึ่งแผ่น ส่วนตัวเขาก็นำมาวางไว้ที่โต๊ะของตัวเองหนึ่งแผ่น
“ มึงทำไรของมึงวะไอกุน “ พนาขมวดคิ้วถามเพื่อนด้วยความสงสัย
“ เขียนกฎ “ กุนตอบเพื่อนกลับไปสั้นๆ
“ เดี๋ยวนะ นี่มึงอย่าบอกนะว่ามึงจำคำพูดของพี่มันได้ทุกอย่างเลยอ่ะ “ พนาถามกุนอย่างอึ้งๆ กุนพยักหน้าเป็นคำตอบและลงมือเขียนทันที
“ เชี้ยยย คือกูก็เข้าใจอะนะว่ามึงแม่งความจำดี แต่กูไม่คิดว่ามึงแม่งจะความจำดีขนาดนี้นี่หว่า “ พนาอ้าปากค้างมองแผ่นหลังของเพื่อนสนิทอย่างไม่อยากเชื่อ
“ จะลอกก็มานั่งลอกกูดีดี นั่งพูดมาอยู่ข้างหลังกูอยู่นั่นแหละ “ กุนหันไปบอกเพื่อนสนิทตัวเองนิดๆและหันมาเขียนของตัวเองต่อ
“ กูรอมึงเขียนจบก่อนเดี๋ยวกูค่อยเอาไปลอกทีหลัง แม่งให้เขียนตั้งห้าแผ่น ใครมันจะไปเขียนหมดภายในวันเดียววะ “ พนายังคงบ่นออกมาอีกเล็กน้อย กุนได้แต่ส่ายหัวให้กับความขี้บ่นของเพื่อนแต่เขาเองก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
————————
เช้าวันต่อมา
ปีขาลค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความง่วงไม่น้อย เพราะเมื่อคืนกว่าพวกเขาจะประชุมกันเสร็จก็ค่อนข้างที่จะนานพอสมควรเหมือนกัน
ครืดด ครืดด
โทรศัพท์ของปีขาลสั่นขึ้น ทำให้ปีขาลหยิบโทรศัพท์ที่อยู่บนหัวเตียงขึ้นมาดูทันทีแล้วก็พบว่าเป็นเบอร์ของเพื่อนสนิทอย่างป้องที่โทรเข้ามาหาเขา
“ ว่า “
“ ( ไอคุณขาลครับ วันนี้เรามีประชุมกันก่อนรับน้องนะครับ คุณมึงได้โปรดรีบมาด้วยครับ อย่ามัวแต่นอนแดกบ้านแดกเมืองนะครับผมไม่เช่นนั้นกระผมจะบอกพี่ปีสูงว่าคุณเฮดว๊ากบกพร่องต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายนะครับ ) “ ป้องพูดขู่ เพราะปีขาลมันจะชอบนอนหลับยาวอยู่เสมอ จนพวกเขาต้องมีเวรเพื่อนสลับกันมาปลุกปีขาลให้ไปมหาลัย
“ เออ “ ปีขาลตอบกลับปลายสายไปอย่างเซ็งๆ
“ ( และไม่ต้องหวังว่าคุณเฮดว๊ากมึงจะได้นอนต่อนะครับ เพราะถ้าหากอีกสิบนาทีคุณเฮดว๊ายยังไม่เสด็จอาบน้ำและแต่งตัวแล้วละก็ กระผมนายป้อง นับวัน ฟิว นุและไอ้คุณพอส จะเข้าไปปลุกคุณเฮดว๊ากถึงเตียงด้วยรอยเท้าอันน่ารักๆของพวกกระผมเลยนะขอรับ ) “ ป้องยิ้มเหี้ยมใส่โทรศัพท์ ปีขาลไม่ตอบอะไรกลับไป เขากดตัดสายป้องทันทีด้วยความรำคาญและเขาเองก็รู้ว่าที่ป้องพูดมานั้นไม่ได้พูดขู่หรือพูดเล่นแม้แต่น้อย เพราะป้องนั้นเคยทำมาแล้วและมันทำให้เอวของเขาถึงกับเขียวด้วยความช้ำจากรอยเท้าของเพื่อนๆที่น่ารักของเขาเอง
มหาลัย
คณะวิศวะ/โดมชั้นสาม
“ กว่าจะมาได้นะมึง “ ฟิวเอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นปีขาลเดินหน้านิ่งเข้ามาในห้องประชุม
“ เออ “ ปีขาลพยักหน้าใส่ฟิวนิดๆ
“ นี่ถ้ากูไม่โทรไปขู่มันนะ สี่โมงพวกมึงก็ยังไม่เห็นหัวมันหรอก “ ป้องพูดขึ้นพร้อมกับหยิบเก้าอี้เพื่อเตรียมพร้อมที่จะเริ่มประชุม
“ ฮ่าๆๆๆ กูว่าแล้วไง “ ฟิวหัวเราะอย่างขำๆ
“ เออว่าแต่ไอขาล มึงมีอะไรจะเสนอพวกกูหรือเปล่าวะ “ นุถามปีขาลด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ มี “ ปีขาลนั่งมองเพื่อนคนอื่นๆนิ่งๆ ทั้งหมดจ้องมองไปที่ปีขาลเพื่อรับฟัง
“ คือกู.. “
.
.
.
“ ปีหนึ่งทั้งหมดเงียบ!! เชิญพี่ปีสามครับ “ ต่อพูดกับรุ่นน้องปีหนึ่งเสียงเข้ม พร้อมกับหันมาพยักหน้าใส่รุ่นพี่ปีสามอย่างสุภาพเพื่อให้ร่วมพูดคุยกับพวกน้องๆ
“ ปีหนึ่งทั้งหมดทำความเคารพปีสาม “ ต่อที่ยืนหลบอยู่ด้านข้างปีหนึ่งเอ่ยบอกน้องๆ
“ สวัสดีครับ/ค่ะ! “
“ สวัสดีครับปีหนึ่ง “ ปีขาลพูดเสียงนิ่ง พร้อมกับมองไปที่ปีหนึ่งอย่างเงียบๆ
“ วันนี้ผมมีเรื่องจะมาพูดคุยกับพวกคุณทุกคนครับ “
“ เมื่อวานนี้ที่ผมได้สั่งให้พวกคุณไปเขียนในสิ่งที่ผมได้พูดออกไป ไม่ทราบว่าพวกคุณได้ทำตามที่ผมสั่งหรือไม่ครับ “ ปีขาลถามเสียงเข้มพร้อมทั้งมองใบหน้าของเด็กปีหนึ่งที่หันมองหน้ากันอย่างเลิ่กลั่ก
“ เชี้ยละไอกุน กูลืมเอามาว่ะมึง “ พนาบอกกับเพื่อนสนิทเสียงเครียด กุนหันไปมองแล้วขมวดคิ้วนิดๆ
“ ก่อนออกมากูก็เตือนมึงแล้วนี่ว่าให้หยิบเอามาด้วย “ กุนตอบกลับไป
“ ก็กูลืมนี่หว่า กูนึกว่ากูหยิบใส่กระเป๋ามาแล้วอ่ะ “ พนาปาดเหงื่อของตัวเองนิดๆ
“ มึงนี่นะ “ กุนส่ายหน้าเล็กน้อยด้วยความอ่อนใจ
“ ทำไงดีวะมึง “ พนาพูดกับกุนด้วยความเครียด กุนขมวดคิ้วและหันไปมองใบหน้าของคนที่ขึ้นชื่อว่าเฮดว๊ากอีกครั้ง
“ มึงเอาของกูไปแล้วกัน “ กุนยื่นกระดาษเอสี่จำนวนห้าใบให้เพื่อน
“ เดี๋ยวไอเชี้ยกุน นี่มันของมึงไม่ใช่หรอ “ พนาถามขึ้นด้วยความตกใจ
“ เออไม่เป็นไร มึงเอาของกูไปนั่นแหละที่เหลือเดี๋ยวกูจัดการเอง “ กุนยัดกระดาษใส่มือพนาอย่างเร็ว เพราะขาเห็นว่าปีสูงคนนึงที่ยืนอยู่ข้างเฮดว๊ากกำลังเดินมาทางพวกเขา พนาได้แต่เบิกตากว้างแล้วมองเพื่อนด้วยความตกใจ
“ มีใครยังไม่ได้ทำมั้ยครับ! “ ปีขาลถามเสียงเข้มพร้อมกับไล่มองเด็กปีหนึ่งที่นั่งก้มหน้าอยู่
“ ถ้าไม่มีใครตอบงั้นผม.. “
“ ผมครับ! “ กุนยกมือขึ้นก่อนที่ปีขาลจะพูดจบ