เมื่อกุนนำกระเป๋าขึ้นไปวางแล้ว เขาก็เดินขึ้นรถพร้อมกับพนาที่เดินตามมาทีหลังซึ่งภายในรถนั้นมีรุ่นพี่จำนวนไม่น้อยที่นั่งอยู่ก่อนแล้วและตอนนี้ทั้งหมดก็มองมาที่พวกเขาทั้งคู่นิ่งๆแต่กุนนั้นไม่ได้สนใจสายตาคู่ไหนเลย นอกจากคนที่นั่งอยู่ติดกับกระจกทางด้านหลังสุด กุนค่อยๆเดินไปหาปีขาลช้าๆและนั่งรถข้างๆโดยที่เจ้าตัวก็ยังคงไม่รู้ตัวเพราะดวงตาหวานของปีขาลนั้นได้หลับตาลงพร้อมกับมีสายหูฟังที่เสียบอยู่ทั้งสองข้างทำให้เขาไม่รู้ว่าตอนนี้ได้มีใครบางคนได้นั่งอยู่ข้างๆแล้ว พนาเองก็นั่งลงที่ฝั่งซ้ายซึ่งอยู่ใกล้กับปีขาลและกุนเช่นกันแต่พนานั้นนั่งติดกระจก
“ พวกน้องๆขึ้นรถหมดแล้วหรอมึง “ ปีขาลถามขึ้นทั้งๆที่ยังหลับตาอยู่
“ …….. “ กุนเงียบไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
“ ไปเชี้ยป้อง กูถามว่าพวกน้องๆมันขึ้นรถหมดแล้วหรอ มึงไม่ได้ยินที่กูพูดรึไง “ ปีขาลขมวดคิ้วนิดๆเพราะรู้สึกว่าเพื่อนตัวดีมันกำลังกวนตีนเขาอยู่
“ …….. “ กุนก็ยังนั่งเงียบอยู่เช่นเดิม จนพนาที่นั่งอยู่ใกล้ๆและเห็นทุกอย่างเริ่มใจไม่ดี เพราะกลัวว่าไอเพื่อนของเขามันจะโดนรุ่นพี่ขาโหดกินหัวเอา
“ กูถามว่า… “ ปีขาลชะงักไปนิดด้วยความตกใจ เพราะเมื่อเขาลืมตาขึ้นมาก็ต้องพบกับใบหน้าของเด็กปีหนึ่งที่นั่งมองเขาอยู่ ปีขาลถอดหูฟังที่เขากำลังฟังอยู่ออกทันที
“ นี่คุณมาอยู่ที่นี่ได้ไง!! “ ปีขาลขมวดคิ้วถามด้วยความตกใจ
“ พวกรุ่นพี่ให้ผมมาครับ เขาบอกว่ารถไม่พอเลยให้ผมขึ้นมารวมกับพวกพี่ปีสามเลย “ กุนตอบนิ่งๆและจ้องมองไปที่ดวงตาหวานที่มองเขาอยู่
ปีขาลอ้าปากค้างด้วยความตกใจและรู้สึกงงไม่น้อยเพราะเขาเองไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้เลยสักนิดทั้งๆที่จริงเขาเองที่เป็นคนจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง
“ ใครเป็นคนบอกพวกคุณสองคนว่าให้มาที่นี่ “ ปีขาลขมวดคิ้วแล้วถามกลับไป
“ พี่ฟิวครับ “ กุนพูดขึ้น แต่ใบหน้ายังคงเรียบนิ่งอยู่เช่นเดิม
“ ไอฟิวเนี้ยนะ!? “ ปีขาลมองหน้ากุน กุนพยักหน้านิดๆ
“ พี่เป็นอะไรรึเปล่าครับ “ กุนถามในสิ่งที่สงสัยออกมาทันทีเพราะสิ่งที่ฟิวบอกมันยังรบกวนจิตใจของเขาตลอด
“ ผม? “ ปีขาลชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง
“ ใช่ครับ ปกติพี่จะลงไปอยู่กับพวกพี่เขาข้างล่างไม่ใช่หรอครับ แต่ทำไมพี่ถึงขึ้นมาข้างบนคนเดียวละ “
“ ผมไม่ได้เป็นอะไร “ ปีขาลตอบปฎิเสธ
“ ถ้าผมบอกว่าไม่เชื่อ..และอยากจะถามว่าพี่เป็นอะไรอีกครั้ง…พี่จะพอตอบผมได้มั้ยครับ “ กุนถามเสียงนุ่มพร้อมกับมองหน้าปีขาลด้วยแววตาที่จริงจัง ปีขาลจ้องมองสายตาที่จริงจังคู่นั้นและความรู้สึกบางอย่างมันเริ่มที่จะกลับมาอีกครั้ง ซึ่งเขาเองก็ยังไม่สามารถที่จะตอบได้ว่าความรู้สึกครั้งนี้มันคืออะไรแต่ที่เขารู้ๆก็คือเขาไม่ค่อยชอบความรู้สึกที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไรของตัวเองตอนนี้เท่าไหร่นัก
“ ……… “
ยังไม่ทันที่กุนหรือปีขาลจะได้พูดอะไรกันอีก เสียงคนจำนวนไม่น้อยก็เดินขึ้นรถมาเสียก่อนทำให้การสนทนาของทั้งสองจำเป็นต้องหยุดลง
“ อ้าว นี่มึงตื่นแล้วหรอ เห็นไอนุขึ้นมาหามึงตอนแรกเห็นยังหลับอยู่เลยนี่ “ ป้องเอ่ยทักขึ้นเมื่อขึ้นมาบนรถและเจอปีขาลกับกุนกำลังนั่งมองหน้ากันอยู่ ปีขาลหันไปมองหน้าป้องนิดๆและพูดขึ้นอย่างนึกได้
“ ใครเป็นคนบอกมันสองคนว่าเด็กหนึ่งนั่งรวมกับเด็กปีสามได้ “
ป้องและคนอื่นๆหันขวับมองหน้ากันทันที
“ ฉิบล่ะ “ ฟิวกัดฟันพูดกับนุเสียงเครียด
“ อะ..เอ่อ.. “ ป้องอึกอักเล็กน้อย มองหน้าของกุนและพนาสลับกับใบหน้าของเพื่อนสนิทที่มองเขาอยู่เหมือนกัน
“ ผมคิดว่ายังไงผมกับไอนิ่ง…เอ่อ..ไอกุนหนะครับจะขึ้นรถคันไหนมันก็คงไม่เป็นอะไรมากหรอกมั้งพี่ ถึงยังไงเราก็คณะเดียวกันอยู่แล้ว จะนั่งคันไหนก็ต้องถึงเหมือนกันอยู่ดีและที่สำคัญรถคันอื่นมันก็เต็มหมดแล้วอ่ะ ถ้าพี่จะไล่ให้พวกผมไปนั่งคันอื่นผมคงต้องเกาะล้อกันไปแล้วละครับ แหะๆ “ พนายิ้มแห้งๆใส่ปีขาลที่มองหน้าเขานิ่งๆ
“ ทำเป็นพูดดี “ เสียงของพอสลอยมาจากทางด้านหลังของนุ ซึ่งพนานั้นก็หันไปมองขวางคนที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากเขามากนักด้วยความรู้สึกโมโหนิดๆ พอสหันไปเลิกคิ้วใส่พนาอย่างกวนๆ
“ แล้วพูดได้แบบนี้มั้ยละครับคุณรุ่นพี่ ว่าแต่คนอื่นอย่าลืมมองตัวเองบ้างนะครับ “ พนายักคิ้วใส่อีกฝ่ายพูดกลับไปอย่างไม่ยอมเช่นกัน
“ นี่คุณ! “ พอสถลึงตาใส่พนาอย่างดุดุและทำท่าจะเข้ามาหาเรื่องรุ่นน้องตัวสูงแต่ติดที่ป้องดึงแขนห้ามเอาไว้ก่อนเพราะยังไม่อยากให้เพื่อนมีเรื่องกับรุ่นน้องในตอนนี้
“ ใจเย็นก่อนมึง นั่นน้องนะเว้ย..และเรายังรับน้องกันไม่เสร็จเลย..ใจเย็นดิวะเพื่อน “ ป้องกระซิบบอกพอสเสียงแผ่วเพื่อย้ำเตือน พอสถอนหายใจออกมาหนักๆและนิ่งเงียบไม่ได้พูดอะไรต่อ พนาเองก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน จนฟิวที่เห็นว่าบรรยากาศเริ่มกลับมาเหมือนเดิมแล้วเขาเลยพูดขึ้น
“ เอออันนี้กูเห็นด้วยกับน้องมันนะไอขาล ถ้าจะไล่ให้มันไปเกาะล้อรถเนี้ยมันก็ดูจะใจร้ายไปหน่อยนะมึง ถึงยังไงน้องมันก็นั่งมาคันนี้แล้วก็ปล่อยๆมันเหอะว่ะ “
“ นั่นดิมึงไอขาล ถึงยังไงไอพวกน้องสองคนนี้มันก็ต้องไปที่เดียวกับเราอยู่แล้วนะมึง กูว่ามึงอย่าพึ่งโมโหดีกว่า..เดี๋ยวพวกน้องๆมันจะเครียดมากกว่าเดิมนะเว้ย “ ป้องพูดขึ้นพร้อมกับส่งรอยยิ้มแห้งๆให้กับเพื่อนสนิทที่มองเขาอยู่
“ กูก็ไม่ได้จะให้พวกมันไปเกาะล้อมั้ยละพวกมึง “
“ และถ้าน้องคนอื่นๆรู้ พวกมึงจะทำยังไงกัน จะแก้ตัวกันว่ายังไงเพราะยังไงไอพวกนี้มันก็ยังอยู่ปีหนึ่ง การที่มันมาอยู่บนรถของปีสามมันไม่ดูได้อภิสิทธิ์มากเกินไปหรอ พวกมึงไม่คิดกันหน่อยรึไงถึงทำอะไรไม่ปรึกษากูกันแบบนี้ “ ปีขาลไล่มองหน้าเพื่อนสนิททีละคนด้วยความโมโห
“ ก็บอกได้นี่ครับว่ารถเต็ม “ กุนพูดขึ้นพร้อมกับมองไปที่ใบหน้าของปีขาลนิ่งและพูดต่อ
“ และถึงยังไงเพื่อนคนอื่นๆก็คงไม่มีใครสงสัยอะไรกันมากหรอกมั้งครับ เพราะแค่จะเข้าใกล้พวกพี่ๆพวกผมยังไม่มีใครกล้าเลยสักนิด มีแต่จะดีใจมากกว่าที่ไม่มีใครต้องมาขึ้นรถคันนี้ “
“ กูเห็นด้วยกับที่ไอน้องนี่มันพูดนะไอขาล มึงเองก็รู้ว่าตอนนี้พวกน้องๆมันไม่ค่อยอยากยุ่งกับพวกเราเท่าไหร่ มึงอย่าพึ่งคิดมากห่าอะไรตอนนี้เลยวะ เชื่อพวกกูเหอะ “ ป้องพูดขึ้น ปีขาลขมวดคิ้วไล่มองหน้าของเพื่อนสนิทแต่ละคนและถอนหายใจออกมาเบาๆด้วยความเหนื่อยใจ
“ ถ้าอย่างนั้นอยากทำอะไรก็ทำกันไปแล้วกัน ส่วนคุณสองคน.. “
“ ถ้าไม่อยากเดือดร้อนก็อย่าพูดอะไรที่มันทำให้พวกผมดูเสียหายไม่อย่างนั้น..อย่าหาว่าผมใจร้ายก็แล้วกัน “
ปีขาลมองใบหน้าของรุ่นน้องทั้งสองคนสลับกันนิ่ง กุนกระตุกยิ้มมุมปากนิดๆแล้วมองใบหน้าของปีขาลนิ่งๆโดยไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
“ เอาละๆแยกย้ายกันไปนั่งประจำที่กันได้ละ เดี๋ยวรถจะออกกันแล้วมึง “ ป้องพูดขึ้นและเดินไปนั่งข้างๆนุที่ด้านหลังของปีขาล ส่วนฟิวนั้นก็ไปนั่งกับเพื่อนในห้องของตัวเองอีกคนนึงซึ่งเขาเองก็สนิทกันพอสมควรเพียงแค่ไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนด้วยกันเท่านั้น เหลือเพียงแค่พอสที่ยืนนิ่งมองไปที่พนาอยู่ ส่วนพนานั้นก้มองตอบกลับไปเช่นกัน
“ ยืนทำห่าอะไรไอพอส รถจะออกแล้วมึง เดี๋ยวก็หน้าคว่ำหรอก “ ป้องขมวดคิ้วแล้วเอ่ยทักเพื่อนสนิทที่ยืนอยู่นิ่งๆด้วยความสงสัย
“ กูต้องนั่งกับ… “ พอสปลายตาไปยังพนานิดๆ พนาเชิดหน้าขึ้นทันที
“ นั่งกับผมแล้วมันทำไมหรอครับคุณรุ่นพี่ปีสามปากมอม “
“ พูดให้มันดีดีนะคุณ ใครเป็นรุ่นพี่ปากมอมไม่ทราบ “ พอสถลึงตาถามอีกฝ่ายอย่างหาเรื่อง
“ ก็ไม่รู้สิครับว่าใคร ใครอยากจะรับก็รับไปสิ “ พนาแกล้งลอยหน้าลอยตาพูดขึ้น พอสขมวดคิ้วและเดินเข้าไปนั่งใกล้กับพนาทันทีอย่างแรง
“ เป็นรุ่นน้องแต่ไม่เคารพรุ่นพี่แบบนี้ระวังจะอยู่ที่นี่ยากนะคุณ “
“ ก็อยากทำตัวไม่น่าเคารพทำไมล่ะ “ พนาลอยหน้าลอยตาพูดขึ้น ถึงแม้ว่าจะเข้าใจในสิ่งที่รุ่นพี่ตรงหน้าบอกแต่ด้วยความที่เขารู้สึกหมั่นไส้อีกฝ่ายเสียเหลือเกินมันเลยทำให้เขาไม่สามารถที่จะพูดดีดีหรือพูดขอโทษอีกฝ่ายได้
“ ก็มีรุ่นน้องที่ปากเสียแบบนี้ไงครับ แล้วจะไม่ให้มีรุ่นพี่ปากแบบผมได้ไงละ “
“ แสดงว่าพี่ก็ยอมรับแล้วละสิว่าพี่เองก็ปากเสียเหมือนกัน “ พนาแกล้งเน้นคำและเลิกคิ้วใส่อีกฝ่ายเป็นเชิงถาม
“ ถ้าคุณทำตัวดีดีเป็นรุ่นน้องที่เชื่อฟังรุ่นพี่แบบผม ผมก็คงไม่อารมณ์เสียใส่คุณแบบนี้หรอกครับ และที่สำคัญผมเองก็เป็นฝ่ายที่โดนก่อกวนก่อน ไม่ใช่คุณ “ พอสยักคิ้วกลับไปอย่างกวนๆ
“ รุ่นพี่เอาแต่ใจไม่น่าเคารพใครเขาจะอยากฟัง “ พนาลอยหน้าลอยตาอย่างกวนๆ
“ ก็มีรุ่นน้องดื้อและเอาแต่ใจแบบนี้ไง รุ่นพี่แบบผมก็เลยต้องปรามกันบ้างแล้วจะมาว่ากันได้ยังไง “
“ ก็พี่เริ่มก่อนปะ “ พนาเถียงอย่างไม่ยอมแพ้
“ คุณนั่นแหละที่เริ่มก่อน “ พอสเดินเข้ามานั่งข้างๆอีกฝ่ายทันทีและมองหน้าอย่างไม่ยอม
“ พี่นั่นแหละที่เป็นคนเริ่ม “
“ มึงว่ามันจะตีกันไปยันทะเลเลยปะวะ “ ป้องกระซิบถามนุด้วยความสงสัยเพราะเขานั่งมองดูคู่นี้ที่เถียงกันมาสักพักแล้ว
“ กูว่าทั้งทริปแน่ๆ อาจจะยันกลับเลยก็ได้ “ นุอมยิ้มพลางส่ายหน้าเล็กน้อยและมองไปยังทั้งสองคนที่ยังเถียงกันโดยไม่มีทีท่าว่าจะจบ
ทางด้านปีขาลและกุน
“ ตกลงพี่ยังไม่ได้บอกผมเลยนะครับว่าพี่มีปัญหาอะไรรึเปล่า ถึงไม่ยอมลงไปยืนอยู่ข้างล่าง“ กุนถามขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกคนกำลังจะใส่หูฟังและเอนตัวพิงไปทางกระจก
“ ผมไม่จำเป็นต้องบอกคุณเพราะนี่มันเรื่องของผม “ ปีขาลบอกเสียงนิ่งและใส่หูฟังทันทีพร้อมกับหลับตาลงเพื่อบอกเป็นนัยๆว่าเขาไม่อยากที่จะคุยอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก
“ ใช่ครับมันเรื่องของพี่…แต่ที่ผมเป็นห่วงพี่ มันก็เรื่องของผมเหมือนกัน ผมเลยถามพี่ไงครับเพราะผม..เป็นห่วง “ คำพูดสั้นๆของกุนทำให้ปีขาลที่กำลังหลับตาและฟังเพลงอยู่นั้นลืมตาขึ้นมาทันทีและหันไปมองใบหน้าของกุนอย่างช้าๆเพราะไม่คิดว่าอีกคนจะพูดอะไรที่มันจริงจังแบบนี้
“ คุณจะมาห่วงผมทำไม ตอนนี้พวกคุณมีหน้าที่อะไรก็ทำไปอย่ามายุ่งกับผม ปัญหาของผม ชีวิตของผมคุณไม่ต้องเข้ามายุ่ง “ ปีขาลพูดแค่นั้นก็หลับตาลงต่อโดยไม่สนใจอะไรเด็กหนุ่มตรงหน้าอีก
“ ถ้าเลิกเป็นห่วงพี่มันง่ายนัก ผมไม่ห่วงพี่ตั้งแต่แรกหรอกครับ..อย่ามาห้ามในสิ่งที่ผมทำไม่ได้เลยนะ “ กุนถอนหายใจออกมานิดๆเมื่อคนอายุมากกว่าเขายังคงดื้อดึงที่จะไม่เปิดใจรับฟัง
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
เสียงหัวใจของปีขาลเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆจนเขาเองก็กลัวว่าตัวเองจะเป็นโรคอะไรหรือเปล่าเพราะมันช่างเต้นแรงเหลือเกิน
“ มึงเป็นอะไรของมึงอีกปี น้องมันก็แค่ห่วงในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกันก็เท่านั้น มึงอย่าคิดไปเอง “ ปีขาลพยายามห้ามใจตัวเอง เพราะเขามีความหลังที่เจ็บปวดไม่น้อยในเรื่องของความรักมันเลยทำให้เขาไม่เคยกล้าเปิดใจรับใครเข้ามาอีกเลย
“ ผมรู้ว่าพี่ได้ยินที่ผมพูด ถ้าพี่ไม่อยากเล่าในตอนนี้ก็ไม่เป็นไรนะครับผมไม่อยากบังคับพี่ให้พูดในสิ่งที่พี่ไม่อยากพูด แต่ผมอยากให้พี่รู้ว่าผมยินดีที่จะรับฟังเรื่องที่พี่ไม่สบายใจเพราะผมไม่อยากให้พี่เก็บเรื่องนี้เอาไว้คนเดียว “ กุนพูดจบก็มองหน้าบางนิ่งๆด้วยความเป็นห่วง
ย้อนกลับไปก่อนกุนและพนาจะเดินมาหาพวกของป้อง
“ กูว่ากูมีวิธีว่ะ “ ฟิวพูดขึ้นเมื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ทั้งหมดหันไปมองทางฟิวด้วยความสงสัย
“ อะไรวะ “ ป้องถามขึ้น
“ กูว่ากูจะชวนพวกไอน้องกุนและไอน้องพนาขึ้นมาที่รถเราด้วย
“ ถ้าจะเอามาก็เอามาแค่ไอเด็กที่ชื่อกุนก็พอ อีกคนไม่ต้องเอามา “ พอสขมวดคิ้วและบอกอย่างไม่พอใจเท่าไหร่นัก
“ มึงอย่ามาทำเป็นไม่อยากให้น้องมันมาไอห่าพอส กูรู้นะว่ามึงคิดอะไรอ่ะ “ ฟิวพูดดักอย่างรู้ทัน พอสหันหน้าหนีฟิวนิดๆและไม่ได้พูดอะไรต่อเพราะกลัวว่าเพื่อนสนิทจะพูดอะไรออกมามากกว่านี้ซึ่งเขาเองยังไม่อยากยอมรับมันเท่าไหร่
“ ต่อดิ๊ “ นุหันไปทางฟิวและพูดขึ้น
“ ไอป้องมึงไปบอกรุ่นพี่ที่ดูแลน้องสองคนนั้นว่าเดี๋ยวให้พวกน้องมันนั่งรถกับพวกเราทั้งไปและกลับ “
“ ทำไมมึงถึงอยากให้พวกน้องๆมันมารถเราวะ มึงเองก็รู้ไม่ใช่หรอว่าไอขาลมันไม่ถูกกับไอน้องกุนอะไรนี่อ่ะ ถ้ามึงเอามันมามันจะไม่ตีกันตายเลยรึไงวะ “ นุพูดขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ
“ มึงคิดแบบนั้นจริงๆหรอว่าไอขาลมันไม่ชอบน้องมัน “ ฟิวกระตุกยิ้มมุมปากแล้วมองหน้าเพื่อนแต่ละคน
“ กูคิดเหมือนมึงวะไอฟิว กูว่าไอขาลมันอาจจะรู้สึกกับน้องมันมากกว่ารุ่นน้องคนอื่นๆแต่มันยังไม่รู้ตัวเองก็แค่นั้น “ ป้องพยักหน้าอย่างเห็นด้วยเพราะเขาเองก็สังเกตุอาการของเพื่อนสนิทมาสักพัก
“ แล้วไอขาลมันจะยอมหรอวะ เพราะมีแค่ไอเด็กสองคนนั้นเองนะที่มานั่งรถคันเดียวกับเราอ่ะ “ นุถามขึ้น
“ ถึงตอนนั้นค่อยว่ากัน และที่กูให้ไอเด็กนั่นมันมานั่งที่รถเราก็เพราะกูอยากให้มันหาเรื่องทะเลาะกับไอขาลบ้างเผื่อมันจะลืมเรื่องเหี้ยๆนั่นไปบ้าง พวกมึงเองก็รู้ไม่ใช่หรอว่าสิ่งที่ไอขาลเจอมันไม่ใช่ใครที่จะรับได้ง่ายๆ “ ฟิวมองหน้าเพื่อนทุกคนอย่างจริงจัง คนอื่นๆก็เข้าใจในสิ่งที่ฟิวต้องการจะสื่อดี
“ เออ เอางั้นก็ได้มึง “
.
.
ทะเล/เสม็ด
“ ตื่นได้แล้วครับ ถึงที่ทะเลแล้ว “ กุนค่อยๆเขย่าแขนของปีขาลที่นอนซบอยู่ทีไหล่เขา
ป้อง นุ พอสและฟิวรวมถึงคนอื่นๆมองมาทางปีขาลและกุนนิดๆแต่ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมา ทุกคนต่างพากันลงไปข้าล่างเพื่อที่จะได้อธิบายกฎและกติกาในการอยู่ที่นี่
“ ไอนิ่ง “ พนาหยุดเดินและเรียกกุนเสียงเบาเพราะกลัวว่าจะทำให้คนที่หลับอยู่ตื่นขึ้น
“ หื้ม? “
“ กูลงไปอยู่กับพวกไอบอลข้างล่างนะ มึงปลุกพี่เขาเสร็จก็ตามลงมาละกัน “ พนาบอก กุนพยักหน้ารับรู้และก้มไปมองคนที่ซบไหล่ตัวเองอยู่ พนาเห็นแบบนั้นก็ได้แต่ส่งยิ้มบางๆให้กับเพื่อนและเดินลงไปข้างล่างทันทีโดยมีพอสยืนกอดอกจ้องหน้าเขาอยู่ก่อนแล้ว
“ จ้องขนาดนี้จะกินหัวกันรึไงก็ไม่รู้ “ พนาบ่นกับตัวเองเบาๆและเดินผ่านพอสไปหาเพื่อนร่วมห้องของตัวเองที่ยืนอยู่ไมไกลมากนัก
“ ปีขาลครับ ตื่นได้แล้วคนอื่นเขาลงกันหมดแล้วนะ “ กุนลูบหัวเล็กด้วยความอ่อนโยน
“ อื้ออ “ ปีขาลขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ลืมตาขึ้นมาแต่อย่างใด
ฟอดดดด
กุนก้มลงไปหอมผมนุ่มของร่างบางที่อยู่ตรงหน้า
“ ตื่นได้แล้วครับ เขารอเราอยู่ข้างล่างนะ “ กุนลูบแก้มนิ่มเบาๆเพื่อปลุก ปีขาลขมวดคิ้วและค่อยๆลืมตาขึ้นมาช้าๆ ดวงตาหวานสบตาเข้ากับดวงตาคมของกุนนิ่ง
“ คุณ! “ ปีขาลผละหน้าออกด้วยความตกใจเมื่อเจอกุนระยะประชิดแบบนี้
“ ผมปลุกพี่ตั้งนานแล้วนะแต่พี่ไม่ยอมตื่นเองนะครับและพี่ก็ซบที่ไหล่ของผมเองด้วย ผมไม่ได้จับแก้มนิ่มๆของพี่มาซบผม เพราะฉะนั้น..พี่ห้ามว่าผมนะ “ กุนบอกยิ้มๆเพราะรู้ทันทีเลยว่าอีกฝ่ายกำลังจะโวยวายเขาเรื่องอะไร ปีขาลเลิ่กลั่กเล็กน้อยพร้อมกับกลืนน้ำลายลงคอนิดๆเพราะจู่ๆก็รู้สึกเขินขึ้นมาซะอย่างนั้นยิ่งร่าตัวเองเป็นคนเอาหัวไปซบอีกฝ่ายก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกเขินมากกว่าเดิม
“ แล้วนี่..ถึงนานแล้วหรอ “ ปีขาลถามอย่างอึกอัก กุนอมยิ้มแล้วตอบกลับไป
“ สักพักแล้วครับ “
“ ถึงแล้วคุณทำไมไม่ลงละ มาอยู่ทำอะไร “ ปีขาลหันไปถามอีกฝ่ายอย่าหาเรื่อง
“ ก็มีคนน่ารักนอนซบอยู่นี่ครับ แล้วจะให้ผมลุกไปได้ยังไงละ “ กุนถามยิ้มๆแล้วมองดวงตาคู่หวานด้วยความรู้สึกเอ็นดู
“ ไร้สาระ หลบสิคุณ ผมจะลงไปข้างล่าง “ ปีขาลแกล้งโวยวายเพื่อกลบความเขินที่มีอยู่ในใจ
“ หึหึ ครับผม “ กุนยืนขึ้นเพื่อให้อีกฝ่ายได้เดินออกมา ปีขาลมองกุนที่หางตานิดๆและเดินลงไปข้างล่างทันทีโดยไม่อยู่รอ