“ข้าเป็นใครกัน? …ข้าคือหลงเฉิน!”
“ผู้ที่มองโลกหล้าด้วยความเย้ยหยัน จักรพรรดิโอสถผู้หยิ่งทรนง—หลงเฉิน? หรือผู้ที่ใครได้พบเจอก็มีแต่จะเกลียดชัง คนขลาดเขลาไร้ความสามารถ ไร้ซึ่งหนทางในการฝึกยุทธ์—หลงเฉิน?”
ทะเลแห่งความคิดอันวุ่นวายต่างหลั่งไหลเข้ามามากมายดุจความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นไปทั่วทั้งร่าง หลงเฉินมิอาจที่จะหยุดความทรงจำที่ผ่านเข้ามาได้ จึงส่งเสียงคร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวด
“เฉินเอ๋อ (ลูกเฉิน) ในที่สุดเจ้าก็ได้สติแล้ว? ดียิ่งนัก มารดาเป็นห่วงเจ้าแทบแย่แล้ว เจ้าอยู่ของเจ้าดีดี เหตุใดเจ้าถึงต้องไปประลองกับชาวบ้านด้วย?”
เสียงอันอบอุ่นเสียงหนึ่งกล่าวขึ้นมา น้ำเสียงนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความยินดีและอบอุ่น แต่ทว่าพอเอ่ยถึงประโยคหลังกลับกลายเป็นเสียงถอนหายใจออกมา
หลงเฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้น สิ่งรอบด้านเลือนราง ไม่นานนักภาพเบื้องหน้าก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ปรากฏเป็นใบหน้าของหญิงสาวนางหนึ่ง
หญิงสาวนางนี้ดูไปแล้วน่าจะมีอายุประมาณสามสิบกว่า แต่กลับงดงามอย่างไร้ที่ติ ทว่าตรงบริเวณขอบตาของนางเต็มไปด้วยรอยเ**่ยวย่นซึ่งไม่เหมาะกับช่วงวัยของนางเอาเสียเลย
ดวงตาของนางเต็มไปด้วยคราบน้ำตา นางจ้องมองไปที่หลงเฉินด้วยดวงตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและความเอ็นดูทำให้หลงเฉินเกิดความอบอุ่นขึ้นอย่างประหลาด
“ลูกเอ๋ย เจ้าทำให้มารดาตกใจแทบแย่” เมื่อกล่าวจบ ดวงตาทั้งคู่ของนางก็แดงก่ำยิ่งกว่าเดิมพร้อมหยาดน้ำตาที่เริ่มไหลรินออกมา
“มารดา?”
หลงเฉินมองดูนางด้วยความรู้สึกเหมือนคุ้นเคย แต่อีกด้านหนึ่งก็รู้สึกเหมือนกับคนแปลกหน้า แล้วก็ขานคำพูดนั้นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสงสัย
“ลูกเอ๋ย อย่าได้ทำให้มารดาของเจ้าตกใจไปมากกว่านี้เลย แม้แต่มารดา…เจ้าก็ยังจำไม่ได้อย่างนั้นหรือ?” บนใบหน้าของหญิงสาวปรากฏอาการตกใจขึ้น
ที่ด้านข้างของหญิงสาวในตอนนี้ได้ปรากฏร่างของชายชราผู้หนึ่งขึ้น เขามองไปที่หลงเฉินแล้วกล่าว “ฮูหยินหลง คุณชายหลงเฉินได้รับการกระทบกระเทือนที่ท้ายทอย เป็นไปได้ที่อาจจะมีผลกระทบต่อสมองจึงจำเป็นที่จะต้องให้เวลาพักฟื้นอีกสักระยะ ท่านอย่าได้ร้อนรนไปเลย เมื่อครู่ข้าได้ให้ยาแก่นายน้อยแล้ว ฤทธิ์ยาคงยังไม่ออกฤทธิ์ ฉะนั้นให้นายน้อยพักผ่อนสักครู่เถอะ”
ฮูหยินหลงมองหลงเฉินด้วยความห่วงใยอย่างเต็มเปี่ยม นางพยักหน้าน้อยๆอย่างไม่เต็มใจ และไม่อาจปฏิเสธที่จะต้องติดตามชายชราออกจากห้องไป
หลงเฉินได้ยินวาจาของชายชราผู้นั้นกล่าวอยู่ห่างๆ ต่อหญิงสาวผู้นั้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ฮูหยินหลง ในครั้งนี้นายน้อยหลงได้รอดพ้นวิกฤติจนมีชีวิตกลับมาได้ ถือได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์นับหมื่นแล้ว”
ฮูหยินหลงถามกลับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ความหมายของท่านหมอคือบุตรข้า เขา…”
ชายชราที่ถูกเรียกว่าเย่าซื่อได้ถอนหายใจออกมาแล้วกล่าว “คุณชายได้รับการกระทบกระเทือนที่ท้ายทอยอย่างรุนแรง หากกล่าวตามตรง ที่สามารถกลับมามีสติได้ก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์นับหมื่นแล้ว แต่ทว่าภาวะแทรกซ้อนกลับสาหัสยิ่งนัก ถึงกับทำให้สูญเสียความทรงจำ หรืออาจจะเป็นไปได้ว่าอยู่ในช่วงการพักฟื้นนั่นเอง…”
จากนั้นทั้งสองคนก็ได้เดินห่างออกไปเรื่อยๆ หลงเฉินไม่อาจฟังแล้วจับใจความได้อีก เขาได้ยินเพียงเสียงสะอึกสะอื้นของฮูหยินหลงเท่านั้น
หลงเฉินมองไปที่เพดานเหนือศีรษะ เขาสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างโดยเฉพาะบริเวณท้ายทอยที่เจ็บปวดขึ้นเป็นระยะ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ข้าคือหลงเฉิน ฮูหยินหลงก็คือมารดาบังเกิดเกล้าของข้า เหตุใดข้าจึงได้รู้สึกกับนางราวกับเป็นคนแปลกหน้าได้?”
ความทรงจำอันแสนวุ่นวายเหล่านี้มาจากที่ใดกัน? ข้าคล้ายกับเป็นบุคคลที่ร้ายกาจยิ่ง หาสิ่งใดเปรียบมิได้ เหตุใดถึงได้เกิดความรู้สึกขลาดเขลาไร้ความสามารถเช่นนี้ได้?
จักรพรรดิโอสถหลงเฉิน? เจ้าคนไร้ประโยชน์หลงเฉิน? แท้จริงแล้วสิ่งใดคือตัวตนที่แท้จริงของข้า? เป็นจักรพรรดิโอสถชิงร่างกลับมาเกิดใหม่ หรือว่าเป็นเจ้าคนไร้ประโยชน์ที่ได้รวมเข้ากับจิตวิญญาณของจักรพรรดิโอสถกันแน่?
ภายในสำนึกความทรงจำของหลงเฉินก็ได้เกิดคำถามมากมาย “แต่ก็ช่างมันเถอะ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ตัวข้าก็คือหลงเฉิน จะเป็นเจ้าคนไร้ประโยชน์หลงเฉินก็ดี จะเป็นจักรพรรดิโอสถก็ช่าง ท้ายที่สุดแล้วในตอนนี้ข้าก็ยังมีชีวิตอยู่”
ในเมื่อสองความทรงจำได้รวมเข้าด้วยกันและไม่อาจจะแบ่งแยกได้ ดังนั้นข้าจะไปนึกถึงคำถามโง่เขลาเหล่านี้ไปทำไมกัน สิ่งที่ต้องทำในตอนนี้คือกลับมาแข็งแกร่งให้ได้โดยเร็วที่สุด
เมื่อได้ลองสำรวจร่างกายของตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พบว่ากระดูกทั่วทั้งร่างแตกหัก กระดูกซี่โครงหักไปสามซี่ บริเวณหัวไหล่หักเป็นสองส่วน โดยเฉพาะบริเวณท้ายทอย กระดูกกะโหลกก็ยังทรุดลงไป เรียกได้ว่าเป็นฝีมือที่โหดเ**้ยมอย่างแท้จริง
“ในเมื่อข้าไม่สามารถที่จะรวมพลังได้ แต่พลังแห่งจิตวิญญาณของข้ากลับดูแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก สามารถรับรู้บริเวณโดยรอบในระยะสิบฟุตได้”
หลงเฉินไม่อาจเก็บความยินดีเหล่านี้เอาไว้ได้ จากความทรงจำที่ยุ่งเหยิงของเขา เขาทราบว่าพลังแห่งจิตวิญญาณเป็นสิ่งที่ล้ำค่าอย่างยิ่งกับผู้หลอมโอสถ
ช่างเถอะ ช่างเถอะ ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิโอสถกลับมาเกิดใหม่ หรือว่าจะเป็นเจ้าคนไร้ประโยชน์ที่รวมเข้ากับความทรงจำของจักรพรรดิโอสถ ยังไงเสียข้าก็มีแต่ได้กับได้
ต่อให้เป็นผู้อาวุโสชิงร่างกลับมาเกิดก็ดีแค่ไหนแล้วที่ยังสามารถกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง นับจากนี้ไปข้าก็เหมือนกับผู้ที่มีจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งเพิ่มเข้ามา นี่มันเป็นเรื่องที่สุดยอดขนาดนี้เชียวหรือ
แต่ทว่าในช่วงเวลาที่กำลังตรวจสอบร่างกายของตัวเองอย่างละเอียด สีหน้าของหลงเฉินก็เปลี่ยนไป
“รากปราณ (灵根) ถูกชิงไป กระดูกปราน (灵骨) ตรงทรวงอกก็หายไป แล้วเหตุใดหัวใจถึงมีรูอยู่ด้วย? ผู้ใดที่โหดเ**้ยมถึงเพียงนี้ ปราณจิต กระดูกปราณ ปราณโลหิต (灵血) ทั้งหมดก็ได้ถูกชิงไป ไม่แปลกใจเลยที่ข้าทำการฝึกยุทธ์ไม่ได้?” หลงเฉินเกิดความโกรธแค้นขึ้น
จิตวิญญาณของเขาตอนนี้ถือได้ว่าแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก สามารถมองเข้าไปดูภายในร่างได้เลย เพียงแค่ครู่เดียวตัวเองก็ได้กลายเป็นสิ่งลี้ลับของเจ้าคนไร้ประโยชน์
ปราณจิตถือเป็นรากฐานของพลังกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในจุดตันเถียน (丹田ท้องน้อย) และเป็นรากฐานของการฝึกยุทธ์ หากไม่มีปราณจิตก็แทบจะไม่สามารถสัมผัสถึงพลังจิตแห่งฟ้าดินได้ ยิ่งไปกว่านั้นการจะดูดซับพลังปราณมาเพื่อฝึกยุทธ์ก็จะยิ่งเป็นเรื่องยาก
ปราณโลหิตถือเป็นต้นกำเนิดมาจากโลหิตแห่งฟ้าดิน ผู้คนโดยส่วนมากต่างก็มีอยู่กัน เพียงแต่ผู้ฝึกยุทธ์โดยส่วนมากไม่ทราบกันเท่านั้น
จิตกระดูกนั้นอยู่ในตำแหน่งทรวงอกของมนุษย์เรา เป็นบริเวณที่เกิดการนูนขึ้นมา หากเป็นคนปกติจะไม่มีจิตกระดูก แต่เป็นสิ่งที่ผู้ฝึกยุทธ์ควรจะมีเพราะจะเกิดขึ้นเพียงหนึ่งในหมื่นเท่านั้น นั่นถือเป็นเครื่องบ่งชี้ของการมีพรสวรรค์อันสูงส่ง
บริเวณจิตกระดูกตรงทรวงอกของหลงเฉินเห็นได้ชัดว่าหายไปซีกหนึ่ง นั่นก็เป็นสิ่งที่บอกได้แล้วว่าถูกช่วงชิงไปอย่างอำมหิต
สีหน้าหลงเฉินดูตกใจเป็นอย่างมาก ถ้าหากไม่ใช่ความทรงจำถูกหลอมรวมเข้าด้วยกันแล้ว เขาก็คงไม่อาจทราบได้ว่าร่างกายของตนเองถูกผู้คนลงมือทำร้ายมาก่อน
กล่าวตามเหตุและผลทั้งสามสิ่งนี้ ถึงแม้จะมีค่ามากมายมหาศาล แต่เมื่อถูกนำออกไปจากร่างกายแล้วก็ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะต้องมานั่งคิดมากเกี่ยวกับมัน คิดไปก็มีแต่จะทำร้ายตัวเอง และยังเสียเวลาทำการใหญ่อีกมิใช่หรือ?
ภายใต้ความโกรธโมโหนั้นก็ไม่ได้นำพาให้ทั้งสามสิ่งกลับมา จะโมโหไปก็ไม่มีประโยชน์
“ทางที่ดีอย่าให้ข้ารู้ว่าผู้ใดเป็นคนทำ”
หลงเฉินกัดฟันกรอดและอดคิดไม่ได้ว่าหากตนเองมีปราณกระดูกจะต้องเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน
ที่เป็นเฉกเช่นทุกวันนี้ก็เพราะเจ้าเลวทรามบัดซบผู้นั้นที่ทำให้ตนเองกลายเป็นคนไร้ประโยชน์และไม่อาจที่จะทำได้แม้แต่การฝึกยุทธ์ มีแต่สร้างอัปยศและถูกดูแคลน
ในขณะที่ความโกรธของหลงเฉินปะทุขึ้นมาไม่หยุด ที่ประตูห้องก็มีเสียงเปิดออกเบาๆ จากนั้นก็ปรากฏร่างของเด็กสาวหน้าตาดีคนหนึ่งอายุสิบสามสิบสี่ปีเดินเข้ามา นางคือสตรีรับใช้ข้างกายของหลงเฉิน มีนามว่าเป่าเอ๋อ
“นายน้อย ได้เวลาทาโอสถแล้ว”
“โอสถ? ในมือของเจ้าถือโอสถอะไรเอาไว้รึ?” หลงเฉินสูดหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ แล้วจึงถามออกไป
“นี่เป็นโอสถที่ฮูหยินใช้เงินก้อนโตเพื่อให้ได้มา เป็นโอสถกระดูกพยัคฆ์สามารถบรรเทาพิษบาดแผลภายนอกของคุณชายให้หายเร็วขึ้น” เป่าเอ๋อตอบ
เมื่อกล่าวจบ นางก็ได้เปิดกล่องอันสวยงามที่อยู่ในมือออก เผยให้เห็นโอสถที่อยู่ด้านใน “กล่าวกันว่าโอสถเม็ดนี้มาจากปรมาจารย์ผู้หลอมโอสถ อาจารย์หวินฉีลงมือหลอมขึ้นมาด้วยตนเอง ฤทธิ์โอสถจึงแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ให้เป่าเอ๋อทาให้ท่านนะนายน้อย”
หลงเฉินมองไปยังสิ่งที่อยู่ในมือของเป่าเอ๋อด้วยความประหลาดใจ ของชิ้นนี้ก็สามารถเรียกว่าโอสถได้ด้วยอย่างงั้นหรือ? แลดูแล้วไม่ต่างอะไรจากลูกชิ้นเนื้อเลย
ในส่วนของรูปลักษณ์ภายนอกยิ่งไม่ต้องพูดถึง ผิวของมันเป็นสีดำอีกทั้งยังไม่มีประกายทอออกมาแม้แต่น้อย ถ้าหากไม่ใช่เป็นเพราะยังคงสาดกลิ่นหอมของสมุนไพรออกมาอย่างเข้มข้น หลงเฉินก็คงจะสงสัยว่าเป็นมูลแพะก้อนหนึ่งแล้ว
เมื่อได้ดูอยู่ครู่หนึ่ง หลงเฉินก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา ความสามารถที่พอจะเรียกได้ว่าโอสถที่มีคุณสมบัติที่ดีได้สูญไปแล้วอย่างน้อยก็แปดส่วน นี่ยังเรียกว่าเป็นสิ่งที่ถูกหลอมขึ้นมาจาก ‘ชนชั้นปรมาจารย์’ ได้อีกหรือ หลงเฉินพยายามสูดดมว่าแท้จริงแล้วมันถูกหลอมขึ้นมาได้อย่างไร? มันเหมือนกับเน่าเสียแล้วยังไงอย่างนั้น
โอสถถูกแบ่งเป็นห้าระดับ : ระดับล่าง ระดับกลาง ระดับสูง ระดับขีดสุด และระดับชั้นเลิศ ซึ่งเจ้าลูกชิ้นที่อยู่ในมือชิ้นนี้ไม่น่าจัดอยู่ในหมวดหมู่ทั้งห้าเลย หลงเฉินบอกได้ทันทีว่าความจริงแล้วโอสถชิ้นนี้ก็คือโอสถไร้ประโยชน์ ตามปกติแล้วผู้หลอมโอสถย่อมไม่นำโอสถเช่นนี้มาปล่อยขายแน่นอนเพราะมีแต่จะขายหน้า และจะนำโอสถนี้ไปบดให้ละเอียดจนกลายเป็นยาเหลวหรือไม่ก็ทิ้งไป
“นายน้อยอย่าได้สงสัยอีกเลย กว่าจะได้โอสถล้ำค่าชิ้นนี้มาฮูหยินได้นำเครื่องประดับของท่านเองไปขายเพื่อซื้อมันมา ท่านรีบใช้เถอะ” เป่าเอ๋อกล่าวขึ้นมาอย่างรีบเร่ง
หลงเฉินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาในใจ ในความทรงจำของเขา มารดาทั้งรักและเอ็นดูเขายิ่งกว่าสิ่งอื่นใด นางตามใจเขามาโดยตลอด ไม่ว่าเขาจะทำอะไร มารดาของเขาก็ไม่เคยบอกปัดและปฏิเสธเลย
ในช่วงที่ฮูหยินหลงยังอยู่ในวัยสาวสะพรั่งถือได้ว่าเป็นหญิงงามแห่งยุคเลยทีเดียว และเวลานี้ที่นางพึ่งจะมีอายุได้เพียงสามสิบกว่า แต่บริเวณขอบตากลับเปรอะไปด้วยริ้วรอยเ**่ยวย่น แค่นี้ก็พอจะทราบได้แล้วว่านางได้ทุ่มเทสิ่งต่างๆ ให้แก่หลงเฉินมากมายเพียงใด
เมื่อมองไปที่ก้อนโอสถในมือ ถึงมันจะจัดอยู่ในระดับไร้ประโยชน์ แต่ตัวสมุนไพรก็ถือว่าไม่เลวร้าย แม้จะมีสิ่งปนเปื้อนไปแล้วกว่าแปดส่วน แต่เพียงเพื่อใช้รักษาอาการบาดเจ็บของเขาก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร
เมื่อได้ทาโอสถแล้ว หลงเฉินก็ได้กำชับเป่าเอ๋อว่าอย่าบอกใครเรื่องที่ตนเองกล่าวออกมา รวมทั้งมารดาของเขาด้วย
ถึงแม้เป่าเอ๋อจะค่อยไม่เข้าใจในการกระทำเหล่านั้น แต่ด้วยความเชื่อมั่นที่มีต่อหลงเฉิน นางก็พยักหน้าไปมาอย่างว่าง่าย
ถึงแม้ตอนนี้หลงเฉินไม่อาจที่จะใช้พลังในการหลอมโอสถได้ แต่เขาก็สามารถใช้พลังจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งที่ตนมีอยู่ช่วยดูดซับฤทธิ์โอสถเข้าไปสู่บริเวณที่บาดเจ็บทำให้การฟื้นฟูเพิ่มพูนอย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
ในวันที่สอง เมื่อหลงเฉินได้ลืมตาขึ้นมาช้าๆ มุมปากของเขาก็ได้ปรากฏรอยยิ้มขึ้นเมื่อเขาได้ลองขยับเคลื่อนไหวร่างกายอยู่ครู่หนึ่ง
ยอดมาก ถึงเจ้าโอสถก้อนนั้นจะไม่ค่อยสมบูรณ์เท่าไหร่ แต่ตัวสมุนไพรก็ถือได้ว่าเป็นของที่มีคุณภาพไม่น้อย นอกจากท้ายทอยแล้ว อาการบาดเจ็บทั่วร่างก็ได้ฟื้นคืนไปกว่าครึ่งหนึ่งเลย
หลงเฉินค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่หน้ากระจก เขามองเห็นใบหน้าที่มีขนคิ้วคมเข้มดุจกระบี่ ดูไปคล้ายกับเด็กหนุ่มที่กล้าหาญไม่ธรรมดาเลยทีเดียว หลงเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้า…หลงเฉินจะไม่ใช่หลงเฉินคนก่อนอีกแล้ว ข้าจะลุกขึ้นสู้”
ถึงแม้ตามร่างกายจะยังมีส่วนที่โทรมอยู่บ้าง แต่การเดินเหินกลับไม่มีปัญหาแต่อย่างใด หลงเฉินเดินออกไปจากห้อง ที่ด้านนอกนั้นมีแสงยามรุ่งอรุณสาดส่องเข้ามาจากทิศตะวันออก
หลงเฉินครุ่นคิดกับตนเองอยู่ครึ่งชั่วยาม ก่อนจะเรียกเป่าเอ๋อให้เข้ามา เขาให้นางจดรายชื่อสมุนไพรที่ต้องการเอาไว้เพื่อให้นางไปจับจ่ายซื้อมา
แต่ทว่าสีหน้าของเป่าเอ๋อกลับแสดงออกถึงความลำบากใจอยู่ไม่น้อย จู่จู่หลงเฉินก็เกิดความคิดหนึ่งวูบเข้ามา ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจขึ้นมาได้ว่าตระกูลหลงในเวลานี้เรียกได้แร้นแค้นเป็นอย่างยิ่ง เป่าเอ๋อจึงไม่มีทางนำเงินมาจากห้องเสมียนได้
หรือไม่เช่นนั้น มารดาของเขาก็คงจะต้องนำเครื่องประดับของตนเองไปทอดขายอีกแน่ ซึ่งถือได้ว่าเป็นสินสอดที่นางได้รับเมื่อยามที่แต่งเข้ามา ตระกูลหลงในตอนนี้ถือได้ว่าแร้นแค้นจนเกินไป
เมื่อเขาลูบมือไปที่กระเป๋าหน้าอกและพบว่าภายในยังมีเหรียญเงินอยู่แปดสิบกว่าเหรียญ ถึงแม้มันจะไม่มากแต่คงจะเพียงพอสำหรับซื้อสมุนไพรได้แน่นอน
เป่าเอ๋อเองก็ขยันยิ่งนัก หลงเฉินหลับไปไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม นางก็ซื้อสมุนไพรกลับมาแล้วเรียบร้อย ทันทีที่เขาได้สมุนไพรก็ลงมือใช้มันกับส่วนผสมต่างๆ ผสมเข้าด้วยกัน แล้วก็นำไปบดเพื่อใช้ต้ม
หลังจากผ่านไปสามชั่วยาม โอสถเหลวอันเข้มข้นก็โชยกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่ว เมื่อหลงเฉินมองไปที่โอสถเหลวชามนั้น มุมปากของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นอีกครั้ง
“ข้า…หลงเฉินจะลุกขึ้นสู้ เริ่มต้นจากยาถ้วยนี้นี่ล่ะ”