เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 107 เบิกสวรรค์อีกครั้ง

ถึงแม้ว่าชายหนุ่มชุดขาวจะรอดจากกระบวนท่าที่เพิ่งจู่โจมเข้ามาของหลงเฉิน ทว่าความน่าหวาดกลัวจากสายลมที่ปกคลุมอยู่รอบตัวของเขาได้สร้างบาดแผลขึ้นจนมีโลหิตไหลออกมา

“เมื่อครู่นี้ยังเอาแต่คุยโวโอ้อวดอยู่ไม่ใช่หรือ แล้วเหตุใดในตอนนี้จึงไม่อาจต้านทานได้แม้แต่พลังของแมลง ช่างน่าทุเรศเสียจริงๆ”

หลงเฉินยกกระบี่หนักชี้ไปยังศีรษะของชายหนุ่มชุดขาวแล้วกล่าวออกไปอย่างเย็นชา

หลังจากที่หลงเฉินไหลเวียนสภาวะพลังของวงแหวนแห่งเทพขึ้นมา ตลอดทั่วทั้งร่างกายก็ได้ปะทุพลังออกมาอย่างบ้าคลั่ง อีกทั้งยังดูดซับพลังลมปราณฟ้าดินเข้ามากักเก็บไว้อย่างต่อเนื่อง ทำให้พลังลมปราณที่เคยเหือดแห้งกลับถูกเติมเต็มมากกว่าแปดส่วนด้วยช่วงเวลาเพียงไม่กี่พริบตา

น่าเสียดายที่พลังลมปราณในบริเวณลานประหารนั้นมีอยู่จำกัด ไม่เช่นนั้นหลงเฉินคงจะสามารถเพิ่มพูนพลังลมปราณให้กลับคืนมาได้อย่างท่วมท้น ทว่าต่อให้มีเพียงเท่านี้ก็ถือว่าน่าพอใจเป็นอย่างยิ่งแล้ว

พลังของวงแหวนแห่งเทพในความเข้าใจของหลงเฉินนั้นช่างมีเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น ทว่าการใช้ออกมาในครั้งนี้เขากลับมีพลังในการต่อสู้เพิ่มสูงขึ้นอีกหลายเท่าตัว จึงถือเป็นพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาแล้วก็ว่าได้

แค่เพียงพลังสภาวะของวงแหวนแห่งเทพที่ไหลเวียนอยู่นี้ก็เป็นที่น่าตกใจมากจนเกินไปแล้ว หากไม่ใช่คราวคับขันที่อาจทำให้ทุกคนตายไป เขาก็ไม่คิดที่จะเปิดเผยมันออกมาอย่างแน่นอน

เพราะบิดาได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงทำให้เขาเป็นความกังวลอย่างไม่เสื่อมคลายจนต้องปะทุพลังที่แท้จริงออกมาจนหมดสิ้น

ประกายแสงจากวังวนที่ปรากฏอยู่ด้านหลังได้ทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าอันกว้างใหญ่ในทันที ในสายตาของผู้คนต่างก็มองเห็นหลงเฉินเป็นดั่งเทพสงครามผู้ยิ่งใหญ่อย่างไรอย่างนั้น

ด้วยพลังการต่อสู้ของชายหนุ่มชุดขาวที่ทุกคนได้เห็นไปเมื่อก่อนหน้านี้นั้น แม้แต่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรวรรดิอย่างหลงเทียนเซียวก็ยังไม่อาจทนรับกระบวนท่าได้สักกระบวนท่าเดียว

ทว่ากระบี่หนักที่พวยพุ่งออกมาจากมือของหลงเฉินกลับทำให้ชายหนุ่มชุดขาวกระเด็นออกไปได้ อีกทั้งยังมีโลหิตไหลรินออกมาจากศีรษะ อันเป็นฉากการต่อสู้ที่น่าหวาดหวั่นเสียจนไม่อาจทนดูได้อีกต่อไป

“พี่หลงแข็งแกร่งยิ่งนัก”

เจ้าอ้วนสูดลมหายใจเข้าออกอย่างรุนแรง พลันก็ได้กล่าววาจาออกมาอย่างยากลำบาก หลงลืมไปแม้กระทั่งอาการบาดเจ็บบนร่างกายของตัวเองไปจนหมดสิ้น

หลงเทียนเซียวเองก็มีสีหน้าแตกตื่นไม่ต่างจากผู้อื่นเลย ดวงตาคมคู่นั้นจ้องมองไปยังบุตรชายของตนด้วยความประหลาดใจ พลังการต่อสู้ของหลงเฉินในเวลานี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าชายหนุ่มชุดขาวที่เป็นศิษย์ของสำนักเลยแม้แต่น้อย

“เป็นไปได้อย่างไรกัน? นี่มันวิชาอันใดของเจ้า?” ชายหนุ่มชุดขาวถามออกด้วยความหวาดหวั่น อีกทั้งยังทำราวกับว่าได้ลืมเลือนอาการบาดเจ็บที่ศีรษะไปแล้ว

เขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาลบนร่างกายของหลงเฉินซึ่งไม่เคยพบเจอมาก่อน ช่างเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นมาได้อย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าโลกหล้าใบนี้จะมีเรื่องที่ไม่ธรรมดาอยู่อีกมากมาย ทว่าจะเป็นไปได้อย่างไรกันที่จะมีอัจฉริยะเช่นนี้ถือกำเนิดขึ้นมาได้

ยอดฝีมือขอบเขตก่อโลหิตตัวเล็กๆ เพียงคนเดียว อีกทั้งยังไม่เคยผ่านการชำระกายเนื้อมาก่อน แล้วเหตุใดจึงมีพลังในการต่อสู้ที่ล้นหลามจนน่าหวาดกลัวได้ถึงเพียงนี้กัน?

“ด้วยพลังของแมลงตัวหนึ่งจะเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกันอย่างนั้นหรือ? น่าสนใจมากถึงเพียงนั้นเลย?” หลงเฉินเหยียดยิ้มเย้ยหยันขึ้นที่มุมปาก

ชายหนุ่มชุดขาวเปลี่ยนสีหน้ากลับในทันที พลันก็ได้เอ่ยวาจาออกมาอย่างเย็นชาว่า “ก็แค่วิชาชั้นต่ำชนิดหนึ่งเท่านั้น ต่อให้เจ้ามีวิชาลับมากมายเพียงใด แล้วจะเป็นประโยชน์อันใดเล่า คนเช่นเจ้าจะสามารถใช้วิชาเหล่านี้ได้นานเพียงใดกัน? สิ่งเหล่านั้นล้วนแต่จะดูดกลืนพลังชีวิตของเจ้า เช่นั้นข้าจะรวบรัดให้เร็วขึ้นก็แล้วกัน”

เมื่อกล่าวจบชายหนุ่มชุดขาวก็ได้สะบัดกระบี่ยาวในมือจนประกายคมกระบี่ได้สาดแสงไปทั่วทั้งผืนฟ้า แล้วมุ่งหน้าเข้าโจมตีไปที่หลงเฉินในทันที

“ตูมตูมตูมตูม”

หลงเฉินพลิกกระบี่หนักไปมากลางอากาศรับการโจมตีของชายหนุ่มชุดขาวอย่างบ้าคลั่ง การปะทะกันของสองคมกระบี่ก่อเกิดเป็นแรงสั่นสะเทือนจนพื้นดินแตกระเบิดกระจุยกระจายอย่างไม่หยุดหย่อน

บริเวณรอบด้านในระยะร้อยจั่งมีเศษดินปลิวว่อนไปมา ฝุ่นละอองฟุ้งกระจายไปทั่วทุกสารทิศจนยากที่จะมองเห็นฉากต่อสู้ได้อย่างเต็มตา

ในตอนนี้วงต่อสู้อันบ้าคลั่งของหลงเฉินและชายหนุ่มชุดขาวได้กินระยะทำลายไปกว่าสิบลี้แล้ว ส่วนบริเวณที่ไม่ไกลมากนักก็เป็นการต่อสู้ของปรมาจารย์หวินฉี เว่ยชาง และหวังลู่หยางที่ร้อนระอุไปด้วยเพลิงกาฬที่ลุกโชติช่วงสูงเสียดฟ้าขึ้นไป

นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้คนธรรมดาสามัญได้พบเห็นพลังการต่อสู้ของผู้หลอมโอสถ เพลิงปราณของพวกเขานั้นทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังสามารถใช้ต่อสู้มาได้นานอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นแล้ว ทว่าพลังของเพลิงกาฬยังไม่มีทีท่าว่าจะลดทอนลงไปเลยแม้แต่น้อย

เพราะตามปกติแล้วในช่วงเวลาที่ผู้หลอมโอสถคิดจะหลอมโอสถขึ้นมาก็จำเป็นจะต้องใช้เพลิงปราณติดต่อกันเป็นเวลาเนิ่นนานอยู่แล้วโดยเฉพาะกับโอสถระดับสูงที่ยิ่งทวีความยาวนานกว่าหลายเท่าตัว บางครั้งอาจจะต้องใช้ต่อเนื่องกันหลายวันเลยทีเดียว

ด้วยเหตุนี้พลังเพลิงปราณของเหล่าปรมาจารย์ย่อมต้องมีอานุภาพอันสูงส่งอย่างแน่นอน พลังเช่นนี้ถือได้ว่าเป็นความสามารถขั้นต่ำสุดของขั้นปรมาจารย์ผู้หนึ่ง และอาจจะกล่าวได้ว่าพลังเพลิงปราณนี้เป็นเสมือนกับพลังการต่อสู้ของผู้หลอมโอสถ หากมีมากก็จะสามารถใช้ออกมาได้อย่างกราดเกรี้ยวนั่นเอง

“หลงเฉินแข็งแกร่งเกินไปแล้ว ครั้งนี้เขาคิดที่จะเย้ยฟ้าจริงๆ หรือ”

ผู้คนส่วนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะกล่าวชื่นชมออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจ จากเจ้าคนไร้ประโยชน์ผู้หนึ่งกลับเจิดจรัสประดุจดวงดาราขึ้นมาได้ นับตั้งแต่วันที่ล้มหลี่เฮ่าไป ชายหนุ่มผู้นี้ก็แกร่งกล้าขึ้นมาอย่างรวดเร็วราวกับก้าวกระโดด

จนมาถึงวันนี้เขายังได้สังหารยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นไปหลายคน อีกทั้งยังปะทุพลังการต่อสู้ในระดับสูงสุดได้ต่อเนื่อง และยิ่งไปกว่านั้นเขาได้กลายเป็นบุคคลที่มีพลังการต่อสู้ระดับปีศาจผู้หนึ่ง ยิ่งทำให้ผู้คนตื่นตระหนกขึ้นมาเป็นอย่างมาก

ส่วนชายหนุ่มที่อยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกันกับหลงเฉินต่างก็กำหมัดแน่นด้วยความฮึกเหิม หวังที่จะพัฒนาความแข็งแกร่งให้ได้สักครึ่งหนึ่งของหลงเฉิน

“ตูม”

ทั้งสองร่างต่างก็ปะทะกันอีกระลอกใหญ่ ต่างฝ่ายต่างก็ถอยออกไปไกลกว่าสิบจั่ง ชายหนุ่มสบตากันอย่างเอาเป็นเอาตาย บริเวณโดยรอบกว่าพันจั่งกลายเป็นสภาพที่ยุ่งเหยิงวุ่นวายอย่างถึงที่สุด พื้นที่ขนาดใหญ่ราบเรียบเป็นหน้ากลอง บางหย่อมเกิดเป็นหลุมลึกจากรังสีกระบี่ที่ตัดผ่านลงไป

“พลังของแมลงแล้วมันเป็นเช่นไรหรือ?” หลงเฉินมองไปที่ชายหนุ่มชุดขาว แล้วเอ่ยถามออกไปอย่างเยือกเย็น

นับตั้งแต่เริ่มจนถึงขณะนี้พวกเขาได้ปะทะกันไปนับพันกระบวนท่าแล้ว หลงเฉินรู้สึกได้ถึงพลังสภาวะที่อยู่ในระดับสูงสุดแล้ว อีกทั้งพลังลมปราณก็เริ่มร่อยหลอ ถึงแม้จะมีวงแหวนแห่งเทพเพิ่มเติมขึ้นมาก็ยังไม่เพียงพอ

เนื่องจากพลังลมปราณฟ้าดินโดยรอบเริ่มเบาบางลงอย่างมากจนแทบจะไม่เพียงพอที่จะให้วงแหวนแห่งเทพดูดซับเข้าไปได้อีก

“ไสหัวไปซะ”

ที่มุมปากของชายหนุ่มชุดขาวได้สลายรอยยิ้มไปตั้งแต่แรก ต่อให้ฝันอยู่เขาก็คิดไม่ถึงว่าใต้โลกหล้าแห่งนี้จะมีสัตว์ประหลาดเฉกเช่นหลงเฉินคงเหลืออยู่อีก ผู้ที่มีพลังอยู่เพียงขอบเขตก่อโลหิตกลับสามารถต่อกรกับศิษย์ที่มีสำนักและยังอยู่ในระดับขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นตอนปลายอย่างเขาได้

ยิ่งทำให้เขาบังเกิดโทสะและความอิจฉาริษยาขึ้นมาภายในส่วนลึกของจิตใจอย่างไร้สิ่งใดมาเทียบเทียมได้ หลงเฉินทั้งเยาว์วัยกว่าและมีระดับพลังที่อยู่ในระดับผู้มีพรสวรรค์อีก เขาจึงไม่อาจยับยั้งจิตสังหารที่พุ่งพล่านออกมาอย่างมหาศาลได้อีกต่อไป

พลันก็ได้ตะโกนออกมาเสียงดังด้วยความขุ่นเคือง พร้อมทั้งกวาดคมกระบี่ยาวในมือออกไปในทันที

กระบี่ยาวเล่มนั้นราวกับว่ามีชีวิตขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น เสียงระเบิดดังขึ้นมาต่อเนื่องพร้อมกับประกายแสงเจิดจ้าที่สาดออกมาเป็นระลอกเข้าไปยังเงาร่างของหลงเฉินอย่างรวดเร็ว

“กระบี่ประกายแสง”

ประกายแสงสายหนึ่งเคลื่อนไหวไปตามการเคลื่อนที่ของชายหนุ่มชุดขาว ทั้งรวดเร็ว ทั้งพลิ้วไหวจนยากที่จะต่อกรได้

หลงเฉินสัมผัสได้ถึงพลังสภาวะจากคมกระบี่ที่ฟันเข้ามาจากด้านหน้าจึงอดสะดุ้งตัวโยนขึ้นมาไม่ได้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นการโจมตีที่รวดเร็วปานสายฟ้าฟาดได้ถึงเพียงนี้

“ตูม”

ประกายกระบี่สายนั้นทอประกายแสงตรงมาเป็นทางยาวหลายสิบจั่ง แล้วกระแทกเข้าไปบนร่างกายของหลงเฉินอย่างหนักหน่วงจนผู้คนที่จ้องมองอยู่ต้องส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด

ตั้งแต่กระบวนท่าถูกใช้ออกมาจนถึงช่วงเวลาที่หลงเฉินต้องเข้ากับคมกระบี่ช่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนไม่ทันได้กระพริบตา กว่าพวกเขาจะมีปฏิกิริยากลับคืนมาทุกอย่างก็ได้สิ้นสุดลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ประกายอันคมกล้าของกระบี่ปกคลุมไปทั่วทั้งผืนฟ้าคล้ายกับกำลังกลืนกินร่างกายของหลงเฉินเข้าไป

หลังจากที่ชายหนุ่มชุดขาวใช้กระบวนท่าเมื่อครู่นี้ออกไป สีหน้าของเขาก็ได้ซีดขาวลงประดุจกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง ทักษะยุทธ์เช่นนั้นคงจะแผงเอาไว้ด้วยรังสีสังหารอย่างรุนแรง อีกทั้งยังฟาดฟันออกมาด้วยพลังทำลายอันน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง

ทักษะที่มีระดับพลังกดดันอันรุนแรงเช่นนี้เป็นสิ่งที่เขาได้หยิบยืมสภาวะของกระบวนท่านี้จนได้ชัยจากการต่อสู้กับศิษย์สายในภายในสำนักมาได้ไม่น้อยเลย

ทว่าการใช้กระบวนท่านี้ออกมาทำให้เขาสูญเสียพลังไปไอย่างมากมายมหาศาลด้วยเช่นกัน และเป็นสภาวะความเจ็บปวดภายในที่เขาไม่อาจทนทานไว้ได้นาน ทว่าขอเพียงสามารถสังหารหลงเฉินได้ในครั้งเดียวก็ถือว่าคุ้มค่ากับความเสี่ยงเช่นนี้แล้ว

ชายหนุ่มชุดขาวพยายามสอดส่องสายตาไปยังหลุมลึกที่อยู่ด้านหน้า ก่อนจะผ่อนลมหายใจอย่างผ่อนคลายออกมาเฮือกหนึ่ง ทว่าทันใดนั้นเองรูม่านตาของเขากลับขยายใหญ่ขึ้นมา

“ตูม”

หลุมดินอันกว้างใหญ่ได้แตกกระจายขึ้นมาอย่างรุนแรง เผยให้เห็นเงาร่างสายหนึ่งที่ลอยขึ้นมาจากก้นบึ้งของหลุมพรางนั้น

“หลงเฉิน”

เสียงแตกตื่นดังระงมไปทั่งทั้งสนามรบ คนผู้นั้นก็คือหลงเฉินนั่นเอง

ตลอดทั้งร่างของหลงเฉินเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน กลางทรวงอกชุ่มไปด้วยโลหิตสีแดงชาด เป็นสภาพที่ดูย่ำแย่ที่สุดเท่าที่เคยพบเจอมา ทว่าโชคยังดีที่เขายังมีชีวิตอยู่

“เป็นไปได้อย่างไรกัน?”

ชายหนุ่มชุดขาวเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง แล้วจ้องเขม็งไปยังเงาร่างของหลงเฉินอีกครั้ง ชายผู้นั้นสามารถรับกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาเอาไว้ได้อย่างนั้นหรือ? อีกทั้งยังมีลมหายใจอยู่ด้วย?

หลงเฉินปัดเศษดินที่ติดอยู่ตามร่างกายไปมา พลันก็ได้คิดอยู่ภายในใจว่ากระบวนท่าเมื่อครู่นี้ช่างน่าหวาดกลัวอย่างแท้จริง ทั้งระดับพลังและระดับความเร็วนั้นยากที่จะต้านทานเอาไว้ได้

หากไม่ได้อยู่ในสภาวะที่คับขันเช่นนี้เขาก็คงไม่ใช้แค่ตัวกระบี่ทานรับอยู่ทางด้านหน้าแล้วใช้พลังปราณทั้งหมดไหลเวียนขึ้นมาคุ้มกันร่างกายเอาไว้ ไม่อย่างนั้นคงจะต้องกลายเป็นศพไปแล้วอย่างแน่นอน ทว่าก็ยังทำให้เขาต้องกระอักโลหิตออกมาถึงสามคำติดต่อกัน

“ในเมื่อเจ้าลงมือถึงเพียงนี้แล้ว มีหรือที่ข้าจะไม่รับน้ำใจของเจ้าเอาไว้”

หลงเฉินสูดลมหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่ง ก่อนจะชี้กระบี่หนักขึ้นฟ้าอย่างช้าๆ ระหว่างที่หลงเฉินกำลังเคลื่อนไหวร่างกายอยู่นั้นทั่วทั้งผืนพิภพก็ได้เงียบสงบลง ไม่มีกระทั่งซุ่มเสียงของลมหายใจของผู้ใด ให้ได้ยิน ราวกับว่าระหว่างผืนฟ้าและแผ่นดินมีแค่หลงเฉินอยู่เพียงผู้เดียวเท่านั้น

ทันใดนั้นบนกระบี่หนักก็ได้ปรากฏรอยสลักของอักขระประหลาดขึ้นมา เสียงร้องระงมอันล้ำลึกดังกึกก้องไปทั่วทั้งท้องนภา อากาศโดยรอบเกิดการสั่นไหวไม่หยุด อีกทั้งยังปกคลุมไปด้วยรังสีสังหารที่ยากจะคาดเดาความหนาแน่นได้ ลำแสงสายหนึ่งทะลวงเมฆหมอกขึ้นไปในทันที

ชายหนุ่มชุดขาวทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรงเมื่อได้เห็นภาพที่เกิดขึ้นอยู่เบื้องหน้า ร่างกายแข็งทื่อราวกับว่าถูกขุมพลังอันน่าหวาดกลัวนั้นตรึงร่างเอาไว้ เจ้าหนูที่อยู่ในขอบเขตก่อโลหิตจะสามารถตรึงยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นผู้หนึ่งเอาไว้ได้อย่างไรกัน

“เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน”

ชายหนุ่มชุดขาวกู่ร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง หากจะสังหารเขาลงไปอย่างน้อยก็ต้องใช้ทักษะยุทธ์ระดับพสุธาขึ้นไปจึงจะสามารถทำได้

สิ่งที่ถูกเรียกขานว่าทักษะยุทธ์ระดับพสุธานั้นต่างก็เป็นเสมือนทรัพย์สมบัติของผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดาสามัญ ทว่าสำหรับพวกเขาแล้วกลับไม่เห็นทักษะเช่นนั้นอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย หรือเรียกได้ว่าเป็นขยะเพียงชิ้นหนึ่งเท่านั้น

แต่ยังมีทักษะยุทธ์ภายในสำนักที่ถือได้ว่ายอดเยี่ยมอย่างถึงที่สุด ถึงแม้ว่าจะจัดอยู่ในระดับพสุธาเหมือนกัน ทว่ากลับมีพลังทำลายที่รุนแรงมากกว่าหลายสิบเท่าตัว ฉะนั้นทักษะยุทธ์ของชายหนุ่มชุดขาวจึงได้น่าหวาดกลัวเสียยิ่งกว่ายอดฝีมือที่ไม่ได้สังกัดสำนักใด

ต่อให้เขาจะมีสถานะเป็นศิษย์ของสำนัก ทว่าก็ยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเรียนทักษะยุทธ์ระดับพสุธาขั้นกลางซึ่งมีให้สำหรับศิษย์สายในได้ฝึกปรือเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นศิษย์สายในจึงสามารถใช้กระบวนท่าได้มากมายมหาศาลกว่าเขามาก แล้วเจ้าหนูที่มีธรรมดาเสียยิ่งกว่าธรรมดาผู้นี้กลับใช้ทักษะยุทธ์ระดับนั้นได้อย่างไรกัน?

หลังจากที่ถูกพลังสภาวะตรึงร่างกายเอาไว้จนไม่อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้ ก็ทำให้ชายหนุ่มชุดขาวเดือดพล่านอย่างบ้าคลั่งขึ้นมา ทำได้เพียงไหลเวียนพลังลมปราณภายในร่างกายออกมาจนหมดสิ้นเพื่อเตรียมพร้อมที่จะรับกระบวนท่าของหลงเฉินที่คงจะจู่โจมเข้ามาในเร็วๆนี้

ในเมื่อไม่อาจหลบหนีได้ก็มีแต่จะทำให้เขาต้องพ่ายแพ้จนร่างดับสลายไปอย่างแน่นอน ทันใดนั้นที่มือข้างหนึ่งของชายหนุ่มชุดขาวก็ได้มีกระดองเต่าขนาดใหญ่เท่าหนึ่งฝ่ามือปรากฏขึ้นมา

กระดองเต่านั้นมีสีขาวโพลนทั้งหมดคล้ายกับถูกสลักขึ้นมาจากหยกศิลาอย่างไรอย่างนั้น บนตัวกระดองมีร่องรอยของอักขระแปลกประหลาด ที่พื้นผิวของมันแฝงเอาไว้ด้วยบรรยากาศอันน่าหวาดกลัวชนิดหนึ่งอยู่

หลงเทียนเซียวมองไปยังปลายกระบี่ชี้ขึ้นเหนือศีรษะของหลงเฉินด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น อีกทั้งยังสัมผัสได้ถึงพลังกดดันอันน่าหวาดกลัวจากหลงเฉินแผ่ซ่านออกมาอย่างหนาแน่น

“เป็นพลังทำลายที่น่ากลัวยิ่งนัก”

ทุกสายตาจดจ้องไปที่หลงเฉินอย่างแน่นิ่ง ความเงียบงันปกคลุมบรรยากาศโดยรอบ ไร้ซึ่งซุ่มเสียง ไร้ซึ่งสภาวะใดใด เพียงแค่มองไปยังกระบี่ของชายผู้นั้นเพียงที่เดียวเท่านั้น

“ฮูม”

ทันใดนั้นกระบี่หนักก็ได้ส่งเสียงดังขึ้นมาครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะเกิดสภาวะเหนี่ยวนำบางอย่างพุ่งทะยานไปยังผืนฟ้าเบื้องบนแล้วแผ่กระจายเป็นวงกว้างนับร้อยลี้อย่างรวดเร็ว

“เบิกสวรรค์”

กระบี่ยาวในมือของหลงเฉินพวยพุ่งออกไปด้านหน้าประดุจอัสนีบาตที่ฟาดลงมาจากท้องนภา..

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset