กระบี่หนักพลิ้วไหวประดุจสายน้ำแหวกม่านอากาศออกไปยังเบื้องหน้า บรรยากาศโดยรอบแฝงเอาไว้ด้วยพลังสภาวะอันเยือกเย็นอย่างหนาแน่น ฟาดฟันเข้าไปที่ร่างของชายหนุ่มชุดขาวในทันที
คมกระบี่ที่พวยพุ่งออกไปนั้นไม่ได้เป็นทักษะยุทธ์ชนิดใดเลย ทว่าเป็นเสมือนวิชาเวทมนตร์ชนิดหนึ่งที่รุนแรงราวกับสามารถพลิกฟ้าทลายแผ่นดินให้ราบคาบไปได้ในครั้งเดียว
แววตาของชายหนุ่มชุดขาวสะท้อนประกายกระบี่หนักที่ใกล้เข้ามา กระดองเต่าที่ถืออยู่ในมือก็ได้ลอยออกไปยังเบื้องหน้า ผู้คนที่พบเห็นต่างก็ตกใจขึ้นมายกใหญ่เพราะกระดองเต่านั้นค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นจนมีรัศมีกว่าหนึ่งจั่งเข้ากำบังร่างกายของชายหนุ่มชุดขาวเอาไว้ทางด้านหน้า
“ตูม”
รังสีกระบี่ฟาดไปบนกระดองเต่าอย่างหนักหน่วงจนทอประกายแสงประหลาดสะท้อนไปยังทุกสายตา ช่างเป็นลำแสงที่ชวนพิศวงเป็นอย่างยิ่ง
กร่อบ !
หลังจากที่หลงเฉินฟันคมกระบี่ไปที่กระดองเต่าด้วยกระบวนท่าประหลาด ทว่ากระดองเต่ายักษ์กลับไม่อาจทานรับพลังอันมหาศาลเช่นนั้นได้จึงระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ เศษชิ้นส่วนสีขาวโพลนกระจายไปเต็มท้องฟ้าราวกับเป็นดวงดาวยามราตรี
ชายหนุ่มชุดขาวที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังกระอักโลหิตออกมาหลายคำอย่างรุนแรง เนื่องจากกระดองเต่าไม่อาจต้านทานพลังจากเบิกสวรรค์เอาไว้ได้จึงทำให้ชายหนุ่มชุดขาวต้องแบกรับพลังทำลายอันมหาศาลเช่นนั้นเอาไว้แทน
สายตาของเขามองไปยังเศษชิ้นส่วนของกระดองเต่าที่หล่นลงสู่พื้นดิน อีกทั้งยังมีโลหิตไหลรินออกมามากมายแทบจะหมดทั้งตัว ก่อนที่จะทรุดตัวนั่งลงกับพื้นประดุจร่างที่ไร้เรี่ยวแรง พลันก็ได้เชยคางมองไปยังหลงเฉินด้วยจิตใจที่มีความหวาดผวาอยู่เต็มเปี่ยม
กร่อบ!
ผู้คนหันไปมองยังต้นเสียงอย่างพร้อมเพรียงก็พบว่ากระบี่หนักในมือของหลงเฉินกำลังเกิดรอยแตกร้าวคล้ายกับใยแมงมุม
“ผัวะ”
ทันใดนั้นกระบี่หนักก็ได้แตกสลายเป็นผุยผงล่องลอยไปตามอากาศที่มีสายลมโชยพัดไปมา
หลงเฉินมองไปยังมือใหญ่ที่เคยถือกระบี่เอาไว้ ก็อดถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ไม่ได้ แม้ว่าวัตถุดิบที่สร้างกระบี่หนักเล่มนี้ขึ้นมาจะสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง ทว่าก็ยังไม่อาจแบกรับพลังทำลายจากเบิกสวรรค์ได้เช่นกัน
อีกทั้งเส้นลมปราณภายในร่างกายก็ได้สร้างความเจ็บปวดให้เขาเป็นอย่างยิ่งดั่งถูกเพลิงผลาญอยู่ภายในอย่างไรอย่างนั้น
ถึงแม้ว่าจะเพิ่มพูนพลังจนเข้าสู่ขอบเขตก่อโลหิตได้แล้ว ทว่าก็ยังได้รับผลกระทบจนเส้นลมปราณฉีกขาดเป็นจำนวนมาก อีกทั้งต่อให้ได้รับการขยายเส้นลมปราณจากยอดฝีมือแห่งดินแดนหลิงเจี่ยแล้ว เส้นลมปราณของเขาก็ยังไม่อาจทนต่อพลังทำลายอันน่าหวาดหวั่นเช่นนี้เอาไว้ได้อยู่ดี
แต่หากเปรียบเทียบกับการใช้ออกมาในครั้งก่อนนั้นถือว่าดีกว่ามาก แม้เส้นลมปราณจะทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด ทว่าก็ยังไม่ได้ฉีกขาดอย่างรุนแรงและคงจะสามารถฟื้นฟูกลับมาได้ในเวลาเพียงไม่นาน
อีกทั้งพลังทำลายของเบิกสวรรค์ในครั้งนี้ก็แกร่งกล้าเสียยิ่งกว่าครั้งที่แล้วหลายเท่าตัว จึงถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งแล้ว
การใช้เบิกสวรรค์ในครั้งนี้หลงเฉินได้รวบรวมพลังออกมาจนหมดสิ้นแล้ว ทว่าพลังของเบิกสวรรค์ก็ยังเรียกได้ว่าอยู่ในระดับที่ห่างไกลจากคำว่าสมบูรณ์อยู่ คล้ายกับเป็นห้วงหลุมดำที่กลืนกินพลังได้นับไม่ถ้วน ซึ่งพลังที่เขามีและใช้ออกมานั้นยังเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวหนึ่งของมันเท่านั้นเอง
ในเมื่อไม่อาจสังหารชายหนุ่มชุดขาวลงไปได้ หลงเฉินก็บังเกิดความเสียใจขึ้นมาเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าชายหนุ่มผู้นั้นจะยังมีพลังเพียงพอที่จะรักษาชีวิตเอาไว้ได้อีก
กระดองเต่าชิ้นนั้นคงจะเป็นวัตถุที่ไม่ธรรมดาชิ้นหนึ่งอย่างแน่นอน โลกภายนอกที่ว่านั่นคงจะมีสิ่งที่เหนือธรรมดาอยู่อีกมากมายที่เขายังไม่ได้สัมผัสและรู้จักซึ่งเป็นสิ่งที่ศิษย์มีสำนักจะต้องได้พบเจอ เช่นนั้นเขาจึงไม่อาจทัดเทียมผู้คนเหล่านั้นได้นั่นเอง
ตลอดทั่วทั้งร่างกายของหลงเฉินนั้นแทบจะไม่มีพลังลมปราณหลงเหลืออยู่อีกแล้ว แม้แต่วงแหวนแห่งเทพที่เคยเปล่งประกายอยู่ด้านหลังก็ได้สลายหายไปแล้ว ร่างกายอยู่ในสภาพที่อิดโรยราวกับได้ตายไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น นี่คงเป็นสภาพที่อ่อนแออย่างถึงที่สุดของเขาแล้วนับตั้งแต่กำเนิดมา
และหลงเฉินก็ทราบดีว่าชายหนุ่มชุดขาวผู้นั้นก็คงจะไม่ได้ดีไปกว่าเขามากมายนัก จากโลหิตที่กระอักออกมาอยู่หลายครั้งเนื่องจากได้รับบาดเจ็บไปจนถึงภายในอย่างสาหัสอย่างแน่นอน
ทว่าขุมกำลังของหลงเฉินยังมียอดฝีมือที่มีพลังการต่อสู้ในขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นอีกสองคน มีทั้งเสี่ยวเสว่ยและฉู่เหยาอยู่ ฉะนั้นชายหนุ่มชุดขาวย่อมต้องตายลงไปอย่างไม่ต้องสงสัย
กร่อบ!
เสียงการแตกระเบิดของวัตถุชิ้นหนึ่งดังขึ้นมา ทุกสายตาต่างจ้องเขม็งมาที่หลงเฉินกับชายหนุ่มชุดขาวในทันที ทว่ากลับไม่พบสิ่งที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นแม้แต่น้อย
กร่อบ!
เสียงนั้นยังคงดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทว่าในครั้งนี้เสียงดังชัดเจนจนทุกคนต่างก็ได้ยินและหันไปยังต้นเสียงที่มาจากบริเวณที่ห่างไกลออกไป
“หน้าประตูเมือง” จู่จู่ก็มีเสียงร้องเรียกจากคนผู้หนึ่ง
ผู้คนอื่นรีบหันไปมองยังประตูเมืองอย่างฉับพลัน ซึ่งที่แห่งนั้นเป็นต้นเสียงของงการแตกหักอย่างแท้จริง ประตูเมืองที่สูงนับสิบจั่งเต็มไปด้วยรอยร้าวนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา
“กระบวนท่าของหลงเฉินทำให้กำแพงเมืองเสียหาย”
ผู้คนทั้งลานประลองส่งเสียงฮือฮาด้วยความแตกตื่น พื้นดินหน้าประตูเมืองเกิดร่องลึกขึ้นมาเป็นทางยาวแผ่ออกมาจนไปถึงเบื้องหน้าของชายหนุ่มชุดขาวในทันที
เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มชุดขาวได้ใช้กระดองเต่าเพื่อหักเหพลังการโจมตีส่วนหนึ่งของหลงเฉินจนพุ่งสู่ประตูเมืองอย่างรุนแรงนั่นเอง
เป็นระดับพลังที่มหาศาลถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? ถึงกับทำลายกำแพงเมืองอันสูงใหญ่ได้ นี่ยังเป็นพลังในระดับของเผ่ามนุษย์อยู่อีกอย่างนั้นหรือ?
กร่อบ!
แล้วก็มีเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง กำแพงเมืองแตกร้าวขึ้นเรื่อยๆ รอยแตกก็ขยายใหญ่ขึ้น จนในที่สุด! สิ่งก่อสร้างนั้นก็ได้ทลายครืนลงมาอย่างรวดเร็ว
“ไม่”
ชายหนุ่มชุดขาวทอสีหน้าหวาดกลัวพร้อมทั้งเหม่อมองไปที่ปะตูเมือง แล้วกรีดร้องออกมาเสียงดังด้วยความเจ็บปวดใจ
“ตูม”
“ครืน”
ท่ามกลางรอยแตกร้าวของกำแพงเมืองก็ได้เผยให้เห็นลำแสงขนาดใหญ่หนึ่งจั่งกำลังทอประกายเจิดจ้าขึ้นมาแล้วก็ได้หายลับไปในหมอกควัน
เหล่าผู้คนที่มองเห็นต่างก็มีใบหน้าหวาดผวาไปตามๆ กัน พลันก็ได้จ้องเขม็งไปยังสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าด้วยอาการตกตะลึง
หลงเทียนเซียวมองไปยังลำแสงที่ทอประกาย ทันใดนั้นก็ได้เกิดความเข้าใจบางอย่างขึ้นมาได้ในทันที ความสับสนนับหลายสิบปีก็ได้ถูกคลี่คลายออกจนหมดสิ้นแล้ว
“เหมืองศิลาปราณ ใต้กำแพงเมืองนั้นมีเหมืองศิลาปราณอยู่” คนผู้หนึ่งได้แผดเสียงออกมาด้วยความแตกตื่นเสียยกใหญ่จนดังกระจายไปทั่วทั้งบริเวณลานประหาร
ศิลาปราณนั้นเป็นวัตถุแห่งฟ้าดินชนิดหนึ่ง เป็นสิ่งที่ก่อรวมขึ้นมาโดยใช้เวลานับหลายร้อยล้านปี เมื่อดูดซับพลังปราณเอาไว้เป็นจำนวนมาก สิ่งนั้นจะมีรูปร่างเป็นก้อนศิลาชิ้นหนึ่ง
อีกทั้งศิลาปราณยังเป็นบ่อเกิดของการฝึกยุทธ์อันยิ่งใหญ่ เป็นเสมือนแร่ธาตุสำคัญที่มีอยู่น้อยมากจนแทบจะเรียกว่าหายาก ฉะนั้นศิลาปราณจึงมักจะตกอยู่ในมือของสำนักวิทยายุทธ์ใหญ่ๆ
เมื่อมีศิลาปราณคอยค้ำจุนสำนัก เหล่าศิษย์ของสำนักก็จะสามารถใช้ฝึกปรือได้อย่างไม่จำกัดประดุจติดปีกโบยบินตั้งแต่เพิ่งออกมาจากไข่ ด้วยเหตุนี้ผู้ที่มีสำนักจึงมีรากฐานความแข็งแกร่งที่เหนือของผู้ฝึกยุทธ์ที่ไม่มีสำนัก
หลงเทียนเซียวมองเข้าไปยังองค์ชายสี่ที่อยู่ในบริเวณที่ห่างไกลออกไปด้วยสีหน้าสับสน แล้วส่ายหน้าไปมาก่อนที่จะกล่าวออกมาว่า “ที่พวกเจ้ากระทำก็เพื่อแร่เหล่านี้อย่างนั้นหรือ ที่พยายามจะฆ่าข้าก็เพื่อปิดปากเรื่องราวเช่นนี้เอาไว้ใช่หรือไม่?”
องค์ชายสี่มีใบหน้าตายด้านในทันที นี่คงจะเป็นวันสิ้นสุดของชีวิตแล้วอย่างแน่นอน เมื่อได้ยินคำพูดของหลงเทียนเซียวแล้วก็นึกคำพูดที่สมควรจะตอบกลับออกไปไม่ได้เลย
“องค์ฝ่าบาทรุ่นก่อนเคยเตือนสติข้าเอาไว้ในขณะที่พวกเราร่ำสุรากัน ท่านบอกว่าใกล้ๆ เมืองจักรวรรดิมีแร่ชนิดหนึ่งอยู่ หากขุดออกมาได้ก็จะสามารถทำให้เฟิงหมิงรุ่งโรจน์ขึ้นมาได้อย่างแน่นอน
ในตอนนั้นข้ากลับคิดว่าฝ่าบาทกล่าวถึงแร่เหล็กธรรมดาสามัญที่สามารถนำมาหลอมเป็นเครื่องมืออาวุธต่างๆ จึงได้แต่ยิ้มตอบกลับไปและไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ
ทว่าข้าคิดไม่ถึงเลยว่าพวกเจ้าจะทราบว่าข้านั้นได้ล่วงรู้ความลับเช่นนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว จึงคิดที่จะจัดการข้าให้เร็วที่สุด ช่างเป็นเรื่องที่น่าขบขันเป็นอย่างยิ่ง” หลงเทียนเซียวส่ายหน้าไปมาอย่างอดสู
“อะไรกัน?”
องค์ชายสี่ตกใจขึ้นมาอย่างรุนแรง พร้อมทั้งเบิกตากว้างไปที่หลงเทียนเซียว เขาเองก็ไม่เคยคิดว่าหลงเทียนเซียวจะล่วงรู้เรื่องแร่ชนิดนี้มาก่อนเช่นกัน
แท้ที่จริงแล้วเมื่อยี่สิบปีก่อนทางจักรวรรดิต้าเซี่ยต้องการเลี่ยงการเกิดสงครามระหว่างทั้งสองจักรวรรดิด้วยการมอบองค์หญิงที่งดงามที่สุดของต้าเซี่ยให้อภิเษกสมรสกับองค์จักรพรรดิแห่งเฟิงหมิง ทว่ากลับกลายเป็นการซ้อนแผนเสียได้
ชีวิตขององค์หญิงต้าเซี่ยไม่ได้คงอยู่ด้วยความยุติธรรมมาโดยตลอด นางต้องแบกรับชะตาชีวิตอันยิ่งใหญ่เอาไว้ นั่นก็คือการควบคุมจักรวรรดิเฟิงหมิงเพื่อให้ต้าเซี่ยกลืนกินเข้าไปทีละน้อย
ทว่านางนั้นเป็นคนที่ฉลาดเฉลียวอย่างล้ำลึกเป็นอย่างยิ่ง หลังจากที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเฟิงหมิงแล้วก็ได้ทุ่มเทแรงกายและแรงใจรับใช้องค์จักรพรรดิเป็นอย่างดีมาโดยตลอด เมื่อถึงเวลาร่วมหลับนอนกับองค์จักรพรรดิ นางได้ใช้เคล็ดวิชาอันร้ายกาจทำให้องค์จักรพรรดิทะนุถนอมนางอย่าง ‘ลึกล้ำ’
หลังจากนั้นนางก็ได้ให้กำเนิดองค์ชายแก่องค์จักรพรรดินั่นก็คือองค์ชายสี่ องค์หญิงต้าเซี่ยเป็นผู้ที่จัดการเรื่องราวทุกอย่างเป็นการลับ ไม่รังเกียจแม้แต่ตำแหน่งสนมของตัวเอง และอดทนอดกลั้นมาตลอดหลายสิบปีจนได้รับความไว้วางใจจากไทเฮา
เดิมทีแล้วแผนการของต้าเซี่ยก็คือการโค่นล้มเฟิงหมิง ทว่าวันหนึ่งมารดาขององค์ชายสี่ก็ได้ยินความลับอันน่าตกใจเรื่องหนึ่งโดยบังเอิญ
นั่นก็คือช่วงเวลาที่องค์จักรพรรดิได้ร่ำสุราจนเมามายแล้วได้บอกกล่าวต่อนางว่าจักรวรรดิเฟิงหมิงจะกลายเป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ นางจึงเริ่มระแคะระคายขึ้นมาจึงได้หลอกถามออกไปในช่วงเวลาที่หลับนอนอยู่หลายครั้งจนทราบถึงความลับที่น่าตกใจว่ามีการค้นพบเหมืองศิลาปราณ เดิมทีองค์จักรพรรดิแห่งเฟิงหมิงต้องการจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ แม้จะเป็นถึงองค์จักรพรรดิก็ยังต้องการที่พึ่งทางใจเช่นเดียวกัน
ครั้งหนึ่งองค์จักรพรรดิได้ออกไปยังหน้าผาแห่งหนึ่ง ที่ไม่ว่าจะเจาะลงไปยังไงก็ยิ่งแข็งขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังมีศิลากู่ซือ (钴石) ปรากฏขึ้นมาอีก
ศิลากู่ซือคือแร่ที่เกิดขึ้นจากศิลาปราณ หากสถานที่ใดมีศิลากู่ซืออยู่ก็แสดงว่าที่แห่งนั้นจะต้องมีศิลาปราณอย่างแน่นอน สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นจึงทำให้องค์จักรพรรดิเกิดการลิงโลดจนแทบคลั่ง
หลังจากนั้นองค์จักรพรรดิก็ได้สั่งประหารเหล่าผู้คนที่ทราบความลับนี้ทั้งหมดเพื่อให้ความลับยังคงเป็นเพียงความลับ ทว่าฝ่าบาทกลับไม่อาจรักษาความลับจากคนใกล้ชิดได้ หลังจากนั้นจึงถูกลอบ ‘ปลงพระชนม์’ เสียเอง
อีกทั้งยังถูก ‘ปลงพระชนม์’ อยู่บนเตียงของไทเฮาอีกด้วย และช่วงเวลาที่ได้ถูก ‘ปลงพระชนม์’ ก็เป็นช่วงเวลาที่ไทเฮาได้เข้าร่วมประชุมสำคัญอยู่
ฉะนั้นไทเฮาจึงเรียกได้ว่าแตกตื่นจนวิญญาณแทบจะหลุดลอยออกจากร่างไปเลย อันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะเจาะกับการปรากฏตัวของมารดาขององค์ชายสี่อีกด้วย
สิ่งที่ตามมาก็คือมารดาขององค์ชายสี่คิดจะลวงองค์ไทเฮาที่อยู่ในช่วงสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไปด้วยการเป็นที่ปรึกษาที่ดี อีกทั้งยังออกอุบายว่าองค์จักรพรรดิได้เก็บตัวขึ้นมา
ไทเฮาที่อยู่ในสภาวะแตกตื่นก็เข้าไปอยู่ภายใต้เงื้อมมือของมารดาขององค์ชายสี่อย่างว่าง่ายมาโดยตลอดและอย่างหมดจด จึงเอาแต่รับสั่งว่าฝ่าบาทนั้นได้เก็บตัวมาตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
และไทเฮาก็ไม่ทราบเรื่องเหมืองศิลาปราณเช่นเดียวกัน เมื่อมีปัญหาที่ยากลำบากในการติดสินใจ ไทเฮาก็ได้ขอความช่วยเหลือจากมารดาขององค์ชายสี่ทุกครั้งไป
หลังจากนั้นมารดาขององค์ชายสี่ก็ได้ส่งข่าวสารเรื่องเหมืองศิลาปราณกลับไปบอกกับบิดาของตัวเอง ทว่าผลลัพธ์กลับทำให้เรื่องราวหนักหนากว่าเดิม นางจึงไม่กล้าเคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้าได้อีกต่อไป
ประจวบกับในเวลานั้นที่นางต้องการจะเป็นศิษย์ที่แท้จริงของสำนักแห่งหนึ่ง จึงได้ส่งข่าวนี้กลับไปที่สำนัก ทว่ามีอยู่วันหนึ่งทางสำนักได้แอบส่งคนมาตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่าสถานที่แห่งนั้นมีเหมืองศิลาปราณอยู่จริง
ทว่าการขุดเหมืองนั้นช่างสะเพร่าเป็นอย่างยิ่ง ทำให้เกิดการเปิดเผยพลังลมปราณออกมาสู่ภายนอกจนกลายเป็นกระตุ้นขุมกำลังอื่น เช่นนั้นพวกเขาจึงวางแผนอย่างรัดกุมอีกครั้งด้วยการสร้างค่ายกลกักเก็บปราณขึ้นมาแห่งหนึ่ง ก่อนที่จะสร้างเหมืองศิลาปราณขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ค่ายกลกักเก็บปราณนี้ก็คือสิ่งที่อยู่ในแต่ละชั้นของกำแพงเมืองในตอนนี้นั่นเอง สิ่งนี้มีไว้เพื่อปกปิดบรรยากาศอันแรงกล้าของเหมืองศิลาปราณให้อยู่ภายในได้อย่างหมดจด
เมื่อเห็นเช่นนี้เหมืองศิลาปราณก็จะกลายเป็นความลับไปตลอดกาล ทว่าในฐานะที่เป็นคนในสำนักจึงไม่อาจเปิดเผยเรื่องนี้ออกไปได้อย่างโจ่งแจ้ง อีกทั้งยังเป็นการหลบเลี่ยงการตรวจสอบจากขุมกำลังอื่นๆ ด้วย ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงต้องจัดการทุกอย่างอย่างลับๆ รอคอยเพียงช่วงเวลาที่จักรวรรดิต้าเซี่ยจะได้ยึดครองจักรวรรดิเฟิงหมิงอย่างเป็นทางการ และไม่เป็นที่ดึงดูดความเคลื่อนไหวจากขุมกำลังแห่งอื่นอีกด้วย
ทว่าความผิดพลาดเดียวแต่ยิ่งใหญ่นั่นก็คือเรื่องนี้ล่วงรู้ไปยังหลงเทียนเซียวได้อย่างไร จึงเป็นสิ่งที่สร้างความเจ็บปวดใจให้พวกเขาเป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้นจึงได้เกิดเรื่องตามมาในภายหลังทั้งหมดอย่างที่เป็นอยู่
“อา……พวกเจ้าสมควรตาย……จงตายไปเสียเถิด”
น้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชังดังก้องไปในทุกโสตประสาท ชายหนุ่มชุดขาวจ้องมองไปยังหลงเฉินและพวกพ้องประดุจสัตว์ร้ายกาจตนหนึ่งที่หมายปองเหยื่อ ภายในดวงตาของเขามีเพลิงโทสะลุกโชนขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ….