ทันทีที่ปรมาจารย์หวินฉีกล่าวจบ เพลิงกาฬทั่วทั้งร่างกายก็ได้ปะทุขึ้นมาอย่างดุเดือด นิ้วมือทั้งสองข้างที่ผสานเข้าด้วยกันสะท้อนประกายออกไปปกคลุมร่างของชายหนุ่มชุดขาวประดุจกรงขังสัตว์อย่างไรอย่างนั้น “เพลิงกาฬคุกสวรรค์”
ความเร็วที่ไม่อาจหาสิ่งใดมาเทียบได้ทำให้ชายหนุ่มชุดขาวไม่ทันที่จะมีปฏิกิริยากลับคืน ร่างของเขาถูกปิดผนึกเอาไว้ จากนั้นก็ค่อยๆ ถูกบีบแน่นขึ้นเรื่อยๆ อย่างช้าๆ
“อา”
ชายหนุ่มชุดขาวถูกเพลิงกาฬตรึงเอาไว้จนไม่อาจดิ้นให้หลุดได้ แม้แต่เว่ยชางและหวังลู่หยางที่เป็นผู้หลอมโอสถก็ยังไม่อาจทนความเจ็บปวดเช่นนี้ได้จึงถูกสังหารจนสิ้นชีพไปภายในพริบตาเดียว
ถึงแม้ว่าปรมาจารย์หวินฉีจะอยู่ในการต่อสู้ ทว่าสายตาของเขาก็ได้สอดส่องมาที่หลงเฉินโดยตลอด เมื่อเห็นว่าหลงเฉินตกอยู่ในช่วงวิกฤต เขาจึงต้องปะทุพลังเช่นนี้ออกมา
เพลิงกาฬของผู้หลอมโอสถนั้นเป็นพลังที่ใช้ออกมาได้อย่างยาวนาน ถึงแม้ว่าปรมาจารย์หวินฉีจะได้เปรียบอยู่ ทว่าก็ไม่สามารถเอาชนะได้ภายในเวลาอันสั้น
และช่วงเวลาที่คับขันเช่นนี้เขาจึงไม่อาจเก็บออมพลังเอาไว้ได้อีกต่อไป จึงได้ปะทุพลังที่เพิ่งจะบรรลุได้ไม่กี่ปีมานี้ออกมาทั้งหมด
อีกทั้งยังใช้พลังแห่งชีวิตหล่อหลอมจนเป็นเพลิงกาฬขึ้นมาเพื่อให้พลังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งอย่างสมบูรณ์ ซึ่งเขาเองก็ยังสามารถเข้าสู่ขอบเขตต่อไปอย่าง——ราชาโอสถได้
เดิมทีเขาจะใช้เพียงกระบวนท่าเพลิงแห่งเส้นลมปราณหลักออกมาเท่านั้น เพียงแค่นั้นพลังการต่อสู้จึงก็เรียกได้ว่ามีเหลือล้นจนไร้ที่เปรียบแล้ว อีกทั้งยังสามารถเผาผลาญได้นับหมื่นสรรพสิ่ง ทว่าในตอนนี้กลับต้องผลาญพลังแห่งชีวิตของเขาไปด้วย
ชายหนุ่มชุดขาวที่ถูกกักขังเอาไว้พยายามดิ้นรนอย่างสุดแรงเกิด แต่ไม่ว่าจะสลัดให้หลุดอย่างไรก็ไม่บังเกิดผลอันดีเลยแม้แต่น้อยจึงส่งเสียงกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
ที่ทำให้ผู้คนตกใจก็เพราะว่าแม้แต่เว่ยชางและหวังลู่หยางที่เป็นผู้หลอมโอสถกลับไม่อาจทานรับเพลิงกาฬจากจุดหลักเอาไว้ได้จนต้องตายลงไป ทว่าเพลิงกาฬเดียวกันกลับไม่อาจสังหารชายหนุ่มชุดขาวลงไปได้
“อนิจจา”
ปรมาจารย์หวินฉีถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้าไปมาแล้วกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ชราแล้วยังไร้ประโยชน์อีก ต้องขอโทษเจ้าด้วยจริงๆ หลงเฉิน……”
ในขณะที่ปรมาจารย์หวินฉีกล่าวออกมาช้าๆ พลันก็ได้สลายร่างกายไปทีละน้อย ทำให้ผู้คนที่มองอยู่แตกตื่นขึ้นมายกใหญ่ คำพูดที่กำลังกล่าวออกมาในช่วงสุดท้ายกลับหลงเหลือไว้แต่เพียงสายลมและสภาวะอันว่างเปล่าเท่านั้น
“ปรมาจารย์หวินฉี……”
หลงเฉินหลั่งน้ำตาอาบสองแก้ม นับตั้งแต่ได้รู้จักปรมาจารย์หวินฉีมา ชายชราผู้นี้ทั้งรักและดูแลเขามาตลอด เป็นผู้อาวุโสที่ควรค่าแก่การเคารพนับถืออย่างถึงที่สุด และในตอนนี้ชายชรายังสละชีวิตของตัวเองเพื่อเขาอีก ภายในจิตใจของหลงเฉินจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชังชายหนุ่มชุดขาวขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง
“อา……”
หลังจากที่ร่างกายของปรมาจารย์หวินฉีได้สลายหายไปกับอากาศ เพลิงกาฬที่กักขังชายหนุ่มชุดขาวก็ได้หายวับไปด้วย ชายผู้นั้นจึงตะเบ็งเสียงคำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราดเสียยิ่งกว่าเดิม
ทว่าในบัดนี้ชายหนุ่มชุดขาวกลับไม่อาจเรียกว่า ‘ชุดขาว’ ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะผิวหนังทั่วร่างกายได้กลายเป็นสีดำทมิฬไปทั้งหมดประดุจไม้ฟืนในร่างมนุษย์อย่างไรอย่างนั้น แต่บรรยากาศบนร่างกายของเขายังคงแผ่รังสีสังหารออกมาอย่างท่วมท้น
“พวกเจ้าสร้างความเจ็บปวดให้กับข้า ฉะนั้นข้าจะต้องส่งคืนกลับไปนับพันเท่า”
ทันใดนั้นเองชายหนุ่มชุดขาวก็เร่งฝีเท้าเข้ามาหมายจะจู่โจมมาที่หลงเฉิน พลันก็ได้พลิกฝ่ามือขึ้นมาหนึ่งกระบวนท่า หลงเทียนเซียวที่อยู่ไม่ไกลก็เกิดอาการสั่นเทาขึ้นมาคล้ายกับถูกขุมพลังอันน่าหวาดนั้นดูดกลืนเข้าไป
“ผัวะ”
ชายหนุ่มชุดขาวใช้มือที่ดำสนิทบีบรัดไปที่คอของหลงเทียนเซียวจนแน่น พลางก็หันไปกล่าววาจาเยาะเย้ยหลงเฉินว่า “เจ้าหนู เจ้าทำให้ข้าโกรธ ข้าจะไม่ให้เจ้าไปตายไปในทีเดียวหรอก เพื่อเป็นการชดใช้ให้กับข้า ก็จงมองดูคนข้างกายของเจ้าตายไปทีละคนก็แล้วกัน ฮาฮาฮา!”
“ปล่อยบิดาของข้านะ”
หลงเฉินอยากจะพุ่งร่างออกไปในทันที ทว่าร่างกายของเขากลับไม่เชื่อฟังและไม่ยอมขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย
“ฮาฮา เจ็บปวดอย่างนั้นหรือ? ยอดมาก รู้สึกเช่นนั้นย่อมถูกแล้ว นี้เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น มาค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปกันเถิดนะ” ชายหนุ่มชุดขาวหัวเราะขึ้นมาด้วยความสะใจอย่างถึงที่สุด
“เฉินเอ๋อ เจ้าเป็นลูกผู้ชายอกสามศอก อย่าได้ไปอ้อนวอนฟ้า อย่าได้ไปเกรงกลัวดิน เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นเรื่องธรรมดา จงอย่าได้ลำบากใจไปเลย” หลงเทียนเซียวพยายามเค้นเสียงพูดออกมาด้วยความยากลำบาก ทว่าใบหน้าและจิตใจของเขากลับไม่มีความหวาดกลัวเลยเพียงเสี้ยวเดียว
เมื่อเห็นบิดาถูกบีบคอจนใบหน้าเขียวคล้ำ หลงเฉินจึงเค้นพลังปราณขึ้นมาด้วยโทสะอันแรงกล้า ก่อเกิดเป็นรังสีสังหารอันรุนแรงแผ่กระจายออกมา จุดดารากักวายุที่ใต้ฝ่าเท้าไหลเวียนพลังขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งโดยที่หลงเฉินไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย
ยิ่งโทสะปะทุมากขึ้นที่จุดดารากักวายุก็ยิ่งไหลเวียนอย่างคลุ้มคลั่งด้วยเช่นกัน จากนั้นเพลิงโทสะของหลงเฉินก็ได้พุ่งพล่านขึ้นมาจนถึงขีดสุด ที่จุดดารากักวายุกลับหยุดลงอย่างกะทันหัน
“ไม่กลัวตายหรือ? ยอดมาก เช่นนั้นก็ขอประเดิมร่างของเจ้าเป็นคนแรกก็แล้วกัน จงตายไปซะ” ชายหนุ่มชุดขาวหัวเราะออกมา พลันก็ได้ออกแรงที่มือข้างขวาหมายจะบีบคอของหลงเทียนเซียวให้แหลกคามือไปเสียเลย
“ไปตายซะ”
เสียงตะโกนดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นมาราวกับก้องกังวานมาจากสวรรค์ชั้นเก้า คล้ายกับเป็นสัญญาณความเกรี้ยวกราดของอัสนีบาต ทำให้ผู้คนที่ได้ยินต่างก็ต้องยกมือขึ้นมาปิดหูไปตามๆ กัน
ชายหนุ่มชุดขาวที่อยู่ไม่ไกลก็ถูกเสียงดังสะท้อนเข้าไปยังโสตประสาทราวกับว่าภายในนั้นมีคลื่นมหาสมุทรซัดเข้ามาอย่างรุนแรง
ปัง!
ชายหนุ่มชุดขาวรู้สึกถึงความเจ็บปวดขึ้นมาตามร่างกาย ร่างของเขากระเด็นไปกลางอากาศ แล้วไปกระแทกลงสู่พื้นอย่างรุนแรง เมื่อตั้งสติได้เขาก็มองไปยังเบื้องหน้าสายตาด้วยความแตกตื่น
ดวงสุริยันที่เคยสาดแสงอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าก็ได้ถูกเมฆสีหม่นบดบังไปจนหมด สายอัสนีบาตสาดแสงหลายสายจนนับไม่ถ้วน บรรยากาศอึมครึมปกคลุมไปทั่วบริเวณนับหมื่นลี้ ความน่าหวากลัวเช่นนี้ราวกับกำลังจะเกิดภัยธรรมชาติที่แทบจะพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินได้เลย
จากนั้นสายตาก็ได้มองไปเห็นเงาร่างสายหนึ่งที่ทอประกายแสงสว่างอันเข้มข้นขึ้นมาโดยรอบ พลังแห่งชีวิตอันมหาศาลแผ่ซ่านไปทั่วทั้งฟ้าดิน
“นี่มันอะไรกัน?”
ชายหนุ่มชุดขาวสะดุ้งตัวโยนเมื่อเห็นเงาร่างที่คุ้นตาของหลงเฉิน ทว่าหลงเฉินในตอนนี้กลับเสมือนราชาแห่งมารผนวกกับเทพสวรรค์ลงมาจุติ ตลอดทั่วทั้งร่างปกคลุมด้วยแรงกดดันอันน่าหวาดกลัวอยู่หลายขุมที่แม้แต่เขาเองยังต้องหวาดผวาจนขนหัวลุกชัน
“กร่อบ”
หลงเฉินปะทุพลังจากจุดดารากักวายุขึ้นมาจนเกิดเป็นแสงเจิดจ้าครอบคลุมเป็นชั้นๆ เปล่งประกายออกมาจากร่างกาย
เมื่อเปลือกชั้นนอกถูกสร้างขึ้นมาจนสมบูรณ์แล้ว ภายในนั้นก็คล้ายกับมีชั้นดวงดาราปรากฏขึ้นมาหนึ่งดวงที่สามารถจะมองเห็นหุบเขา ลำธาร รวมไปถึงท้องทะเลสีคราม
หลังจากที่ชั้นดาราปรากฏขึ้นมาที่จุดลมปราณของหลงเฉินที่เคยเหือดแห้งไปแล้วกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งดวงดารา พลันก็ได้ซัดคมหมัดออกไปจนทำให้ชายหนุ่มชุดขาวกระเด็นออกไป
เขายื่นมือให้บิดาแล้วนำพาร่างนั้นออกมาจากบริเวณการต่อสู้ที่คาดว่าจะดุเดือดขึ้นมาในไม่ช้า ด้วยพลังสภาวะของเขาในตอนนี้อาจสร้างเรื่องราวที่น่าหวาดกลัวขึ้นมาแน่นอน
“กายานวดาราชั้นที่หนึ่ง กักวายุ——เบิก”
ขณะที่หลงเฉินลืมตาขึ้นมาช้าๆ ภายในดวงตาของเขาก็ได้ปรากฏชั้นดาราขึ้นมากลุ่มหนึ่ง
ผืนแผ่นดินสั่นไหวไปจวบจนถึงชั้นฟ้าประดุจมีคลื่นมหาสมุทรอันแปรปรวนกระแทกเข้ามา แม้ว่าผู้คนเกือบทั้งหมดจะมองดูการต่อสู้จากระยะหลายสิบลี้ ทว่าก็ต้องแยกย้ายกันออกไปในบริเวณที่ห่างไกลออกไปอีก ผู้คนวิ่งหนีกันเป็นพัลวันราวกับชั้นฟ้าจะถล่มผืนดินจะทลายไปอย่างไรอย่างนั้น
บนร่างกายของหลงเฉินปกคลุมด้วยบรรยากาศอันแปลกประหลาดที่แผ่ซ่านออกมาอย่างบ้าคลั่ง บางส่วนก็ได้พุ่งทะยานขึ้นสู่ชั้นเมฆาและอาจจะทะลวงไปถึงสวรรค์ชั้นที่เก้าแล้วก็เป็นได้ ก้อนศิลาที่อยู่โดยรอบถูกชักนำจากขุมพลังจนลอยขึ้นมากลางอากาศ
“ผัวะผัวะผัวะผัวะ”
ก้อนศิลาเหล่านั้นแตกกระจายจนแหลกละเอียดไปเพราะได้รับแรงกดดันมากจนเกินไป หลงเทียนเซียวและกลุ่มผู้คนมองไปยังเงาร่างของหลงเฉินอย่างหวาดผวา นั่นเป็นหลงเฉินที่พวกเขารู้จักอย่างนั้นหรือ?
“ปัง”
จู่จู่หลงเฉินก็ได้หายวับจากจุดเดิมไปปรากฏตัวอยู่ที่เบื้องหน้าของชายหนุ่มชุดขาวราวกับหายตัวมาอย่างไรอย่างนั้น แล้วก็ได้ปล่อยหมัดออกมาหนึ่งหมัดโดยที่ไม่กล่าววาจาไร้สาระอันใดออกมาเลย
แม้ว่าภายในจิตใจของชายหนุ่มชุดขาวจะเกรงกลัวต่อหลงเฉินเป็นอย่างมาก ทว่าเขาก็ไม่อาจละสายตาไปจากศัตรูได้ เมื่อเห็นว่าหลงเฉินหายตัวไปแล้วเขาจึงปล่อยหมัดออกมาด้วยเช่นกัน
“กร่อบ กร่อบ กร่อบ”
เสียงของกระดูกหักดังขึ้นมาเป็นสาย หมัดของชายหนุ่มชุดขาวและหลงเฉินประสานเข้าด้วยกันอย่างรุนแรง แขนข้างนั้นร้าวราวจนกระดูกด้านในแหลกละเอียดไปด้วย เสียงครวญครางเสียงหนึ่งดังขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว
หลงเฉินกระทำราวกับว่าไม่ได้สนใจหมัดที่พุ่งออกมาปะทะเลยแม้แต่น้อย พลันก็ได้หยั่งฝ่าเท้าข้างซ้ายให้จมมิดพื้นดินลงไป แล้วยกฝ่าเท้าข้างขวากระแทกไปที่ชายหนุ่มชุดขาวอย่างรุนแรงและรวดเร็ว
“ตึง”
ฝ่าเท้าของหลงเฉินกระแทกเข้าไปที่จมูกของชายหนุ่มชุดขาวอย่างรุนแรง ฟันแตกกระจายออกมาจากฝีปาก กระดูกกะโหลกแตกแยกจนเกิดเสียงดังขึ้นมา จากนั้นร่างของชายหนุ่มชุดขาวก็ได้กลิ้งเกลือกไปตามพื้นดินอยู่หลายตลบ
ในขณะที่ชายหนุ่มชุดขาวยังคงกลิ้งไปตามพื้นอยู่นั้น ทางหลงเฉินก็หลงเหลือไว้เพียงแค่เงาร่างอันเลือนรางอยู่กลางอากาศ พลันก็ได้ยกกำมือขวากระแทกออกไปด้านหน้าอย่างรุนแรง
“ปัง”
ร่างกายของชายหนุ่มชุดขาวถูกซัดจนกลิ้งไปอีกระลอก พื้นดินผืนใหญ่แตกระแหงออกประดุจใยแมงมุมนับร้อย สายลมกรรโชกแรงไปทั่วทุกสารทิศ
ตรงใจกลางของวงกลมขนาดใหญ่ปรากฏเป็นเงาร่างสีดำทมิฬที่ไม่เหมือนกับร่างของมนุษย์กำลังนอนแผ่อยู่บนพื้นดิน ร่างนั้นยังมีชีวิต ทว่ากำลังหอบหายใจอย่างรัวแรงอยู่
“เป็นแค่แมลงไม่สมควรที่จะขัดขืนไม่ใช่หรือ? แล้วเหตุใจเจ้ายังขัดขืนอยู่อีก? เป็นแมลงก็สมควรจะเจ็บปวดจนตายไปไม่ใช่หรือ? ข้าจะทำให้เจ้าสมความปรารถนานั้นเอง”
หลงเฉินย่างกรายเข้าไปหาชายหนุ่มชุดขาวที่นอนหอบหายใจอยู่ พลันก็ได้ชักนำเข็มหนึ่งกำมือออกมา
“ลิ้มรสความเจ็บปวดให้เต็มที่เถิด” หลงเฉินกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ ก่อนที่แทงเข็มหลายสิบเล่มลงไปที่ร่างของชายหนุ่มชุดขาว
“ฉึกฉึกฉึกฉึก……”
เข็มสีเงินทิ่มแทงเข้าไปในเนื้อหนังอย่างแรงจนเกิดเสียงดังขึ้นมาเป็นสาย ชายหนุ่มชุดขาวที่เคยอยู่ในอารมณ์บ้าคลั่งก็ได้กรอกดวงตาขึ้นอย่างล่องลอยคล้ายกับสติได้หลุดออกไปเสียแล้ว
“อา……”
เสียงกรีดร้องแทบจะขาดใจดังขึ้นมาจนได้ยินไปถึงระยะหลายสิบลี้ ผู้คนที่ได้ยินต่างก็ไม่อาจหยุดร่างกายที่สั่นเทาเอาไว้ได้
“เจ้าเป็นแมลงที่แท้จริง ขนาดพี่น้องของข้ายังไม่ส่งเสียงร้องออกมาแม้แต่คำเดียวเมื่อต้องมารับพิษจากเข็มหนอนกระดูกเหล่านี้ เจ้านี่มันก็แค่ขยะชิ้นหนึ่งเท่านั้น”
หลงเฉินจ้องมองไปยังชายหนุ่มชุดขาวที่กรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดไม่หยุดหย่อน ภายในดวงตาคู่คมเต็มเปี่ยมไปด้วยความเย็นชา ภายในจิตใจให้ความรู้สึกโล่งขึ้นมาอย่างประหลาด เป็นความรู้สึกเหมือนกับได้ล้างแค้นจนสำเร็จแล้ว
เขานั้นเกลียดชังการไร้ซึ่งพลัง เกลียดชังผู้อื่นที่อยู่เหนือกว่า เกลียดชังคนที่ทำให้คนเหมือนเป็นเพียงก้อนเนื้อชิ้นหนึ่ง เขาจึงลั่นคำสาบานขึ้นมาว่าจะต้องแข็งแกร่งขึ้น จะต้องไม่มีผู้ใดสามารถเหยียบย่ำเขาได้อีกแล้ว
ทันใดนั้นเองภายในดวงตาของหลงเฉินก็ไร้ซึ่งชั้นดารา ความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวแล่นไปทั่วทั้งร่างกาย จากนั้นร่างอันโรยราก็ได้ล้มหงายท้องไปในทันที
ทว่าเขากลับล้มลงไปยังอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นและคุ้นเคย กลิ่นหอมที่เคยดอมดมโชยพัดเข้ามาเตะจมูก ทำให้ภายในจิตใจของเขารู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างไร้ที่เปรียบ
“หลงเฉิน”
ฉู่เหยาโอบกอดร่างของหลงเฉินที่อยู่ในสภาพอ่อนแออย่างถึงขีดสุด ดวงตาคู่งามเปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตาแห่งความปลื้มปิติ ชายผู้นี้ได้ผ่านพ้นอุปสรรคที่ยากลำบากมามากจนเกินไปแล้ว
“ได้อิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของเจ้านี้ช่างสบายเสียจริง ขอนอนอยู่ตรงนี้สักงีบเถิด” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาแล้วก็ได้ค่อยๆที่จะหลับตาลง
ใบหน้าของฉู่เหยาแดงซ่านขึ้นมาในทันที หลงเฉินสัมผัสได้ถึงความผิดปกติจึงได้ลืมตาขึ้นมาช้าๆ พลันก็ได้สบสายตากับบิดา มารดา ซือเฟิง และกลุ่มผู้คนอีกมากมายที่กำลังจดจ้องมาที่ใบหน้าของเขาด้วยความประหลาดใจ จึงทำให้ใบหน้าของฉู่เหยายิ่งทวีสีแดงระเรื่อขึ้นกว่าเดิม
หลงเฉินส่งยิ้มออกไปอย่างกระอักกระอ่วน พยายามรวบรวมเรี่ยวแรงที่มีทั้งหมดพยุงร่างกายขึ้นมา สายตาของพวกเขาราวกับถามออกมาว่าเจ็บปวดถึงเพียงนี้ยังจะกล้าหยอกเย้าฉู่เหยาอีกอย่างนั้นหรือ? ทว่าหนังหน้าของเขากลับถูกฝึกฝนจนด้านช้าไปแล้ว
เมื่อพยุงร่างขึ้นมาได้ หลงเฉินก็มองไปที่ร่างของชายหนุ่มชุดขาวที่นอนอยู่ก้นหลุม เสียงแผดร้องด้วยความเจ็บปวดได้เงียบลงไปแล้ว ถึงแม้จะเป็นยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นก็ไม่อาจทนความเจ็บปวดของเข็มหนอนกระดูกได้
ทันใดนั้นเองบริเวณที่ห่างไกลออกไปก็ได้เกิดความวุ่นวายขึ้นมาสายหนึ่ง ชายหนุ่มที่ดูแล้วน่าจะเป็นนายทัพก็ได้วิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าของหลงเทียนเซียว พร้อมกับโค้งคำนับลงอย่างมีมารยาทแล้วกล่าวรายงานออกมาว่า “เรียนโหวเยว่ จากการเข้าสอดแนมทางต้าเซี่ยพบว่าฝ่ายนั้นได้จับกุมองค์ชายเจ็ดไป ขอท่านจงสั่งการต่อไปด้วย”
ฉู่เหยาทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง “ไปดูกันเถิด”
จู่จู่เหล่าทหารก็ได้เปิดทางเดินตรงกลางจนเผยให้เห็นเงาร่างของคนสองคนที่แสนจะคุ้นตา นั่นก็คือโจวเย้าหยางกับเซี่ยปายฉือที่ในมือถือกระบี่ยาวพาดไปที่คอของฉู่ฟง
เมื่อเซี่ยปายฉือพบว่าหลงเฉินกำลังจะเดินเข้ามา จึงรีบกล่าวขึ้นมาอย่างร้อนรนว่า “หลงเฉิน ถ้าเจ้าไม่อยากให้เขาเป็นอะไรไป จงรีบปล่อยพวกเราไปซะ ไม่เช่นนั้น……”
“ฆ่าสิ” หลงเฉินแสยะยิ้มขึ้นมาอย่างโหดเ**้ยม….