คำพูดของหลงเฉินทำให้ทุกคนตกใจขึ้นมายกใหญ่โดยเฉพาะฉู่เหยาที่ในตอนนี้มีสีหน้าซีดเผือดไปเสียแล้ว ทว่าฉู่ฟงกลับยังคงมีสีหน้าเช่นเดิม อีกทั้งยังจ้องมองไปที่หลงเฉินด้วยความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยม
เซี่ยปายฉือแทบจะไม่เชื่อหูของตัวเอง “เจ้าให้ข้าฆ่า……”
“ฉับ”
ยังไม่ทันที่เซี่ยปายฉือจะกล่าววาจาออกมาจนจบประโยค กระบี่ยาวเล่มหนึ่งก็ได้แทงทะลุร่างบางไป โลหิตไหลซึมออกมาอย่างช้าๆ ดวงตาของหญิงสาวเหลือบลงไปมองกระบี่ยาวที่แทงทะลุทรวงอกอย่างไม่เชื่อสายตา
“นี่มัน……อะไรกัน?”
ตึง !
เซี่ยปายฉือล้มลงกับพื้นและตายไปในทันที ทั้งทีนางเองก็ไม่เข้าใจถึงเหตุผลว่าเหตุใดเขาจึงสังหารนาง
โจวเย้าหยางเบิกตาโพลงโตขึ้นด้วยความตื่นตะลึง พลันก็มองไปยังกระบี่ยาวในมือที่เสียบไปบนร่างไร้วิญญาณของเซี่ยปายฉือ
หลงเฉินยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนที่คิดการณ์ไกลอยู่พอสมควร เมื่อนานมาแล้วเขาได้ลงมือต่อร่างกายของโจวเย้าหยางจนทำให้ชายผู้นี้ไม่อาจข่มตาหลับได้ราวกับตกอยู่ในฝันร้ายและมีชีวิตอยู่ก็ไม่สู้ตายไปเสีย
เมื่อพบกันอีกครั้งเขาก็ได้คุกเข่าอ้อนวอนให้หลงเฉินปล่อยเขาไป หลงเฉินจึงลองปล่อยเขาไปสักครั้งหนึ่ง ทว่าในแววตาของชายหนุ่มผู้นี้กลับยังคงแฝงความอาฆาตพยาบาทเอาไว้อย่างลึกล้ำจนหลงเฉินสัมผัสได้ในทันที จึงได้เพิ่ม ‘วัตถุดิบ’ ลงในโอสถให้เขาอีกเม็ด
ซึ่งโอสถเม็ดนั้นเขาได้มอบให้แก่บิดาของเขา ทว่าถูกหลงเฉินเพิ่มวัตถุดิบเข้าไปด้วยเช่นกัน ผลลัพธ์ของมันก็คือการชักนำมดกร่อนหัวใจจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนเข้ามากัดกินร่างกายของโจวฉางชิงจนตายไปทั้งเป็น
และโอสถของโจวเย้าหยาง หลงเฉินก็ได้เพิ่มหญ้าสลายวิญญาณลงไปเพื่อสามารถชักนำพลังแห่งจิตวิญญาณของชายหนุ่มผู้นี้ขึ้นมา ทำให้เขากลายเป็นหุ่นเชิดที่ทำแต่สิ่งที่เป็นคำสั่งของหลงเฉินเท่านั้น
“สำเร็จตัวเองไปเสียเถิด” หลงเฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ฉึก”
โจวเย้าหยางเองก็ไม่ได้คิดอันใด พลันก็ใช้กระบี่ยาวในมือแทงเข้าไปที่คอของตัวเองในทันที สายโลหิตทะลักออกมาอย่างมหาศาลจนตายลงไปในที่สุด
ผู้คนที่พบเห็นต่างก็รู้สึกหนาวสั่นไปจนถึงกระดูกดำ นี่เป็นเรื่องราวที่แปลกประหลาดเกินไปแล้ว เพียงแค่คำพูดเดียวก็สามารถทำให้คนตายได้โดยไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย นี่เป็นวิชามารอันใดกัน?
หลงเฉินไม่ได้แยแสต่อสายตาที่จ้องมองเข้ามาด้วยความหวาดผวาของเหล่าทหาร มีเพียงนายทัพผู้นั้นที่รีบขอตัวไปจัดการกับเรื่องที่เกิดขึ้น จากนั้นหลงเฉินจึงพาเสี่ยวเสว่ยและอาหมานกลับไปที่จวน
เสี่ยวเสว่ยได้รับบาดเจ็บสาหัส อภัยวะภายในบอบช้ำหลายจุด ทว่าหากยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ยากเย็นเกินไปสำหรับหลงเฉินเลย อีกทั้งเสี่ยวเสว่ยยังเป็นถึงสัตว์มายาที่มีพลังในการฟื้นฟูร่างกายเป็นที่น่าตกใจอยู่แล้ว เขาจึงใช้เพียงโอสถพอกไปตามบาดแผลของเสี่ยวเสว่ย จากนั้นก็ได้หันมาตรวจร่างกายของอาหมานอีกครั้งหนึ่ง
ภายในร่างกายของอาหมานยังคงเหมือนอยู่ในสภาวะจำศีลเช่นเดิม เมื่อได้มองไปบาดแผลที่เข็มหนอนกระดูกได้สร้างความเจ็บปวดเอาไว้อย่างมากมายก็คิดว่าคงจะเพาะสร้างเนื้อหนังให้กลับคืนมาดังเดิมได้ ทว่าคงจะต้องใช้เวลาเป็นอย่างมากในการกระตุ้นให้กลับมาทีละส่วน
ส่วนบาดแผลบนร่างกายของซือเฟิงและพวกพ้องนั้นมีอยู่มากมายเช่นกัน ทว่ากลับไม่ใช่การบาดเจ็บสาหัส หลังจากที่จัดการเรื่องราวทั้งหมดจนเสร็จสิ้นแล้ว หลงเฉินก็ไม่อาจฝืนร่างกายอันอ่อนล้าโรยแรงได้อีกต่อไป เมื่อศีรษะถึงหมอนก็ได้คล้อยหลับไปอย่างลึกล้ำ
การต่อสู้ในวันนี้ถือเป็นการต่อสู้ที่รุนแรงมากที่สุดในชีวิตของเขาแล้ว หากไม่ได้ครอบครองพลังอันแกร่งกล้าที่เหนือความคาดหมายเอาไว้ก็คงจะต้องตายไปตั้งแต่แรกแล้ว
ในช่วงที่หลับไปนั้นหลงเฉินราวกับว่าฝันถึงบางอย่างที่ทำให้ร่างกายของเขาลอยขึ้นไปไม่หยุด และไม่ทราบว่าจะลอยไปอีกนานเพียงใด ทันทีที่เขาลืมตาขึ้นมาก็พบแต่ความว่างเปล่าที่มีชั้นดารานับล้านล้านดวงเปล่งประกายแสงระยิบระยับจับตา
“ตูม”
จู่จู่เสียงระเบิดก็ดังขึ้นมา ความว่างเปล่าที่อยู่เบื้องหน้าก็แตกออก จากฉากที่มีขนาดเท่าหนึ่งกำปั้นก็ได้กลายเป็นดินแดนแห่งหนึ่ง
จากนั้นโลกที่เขาเห็นในตอนแรกก็ได้แตกออกคล้ายกับกระจกบานหนึ่ง หลงเฉินแตกตื่นขึ้นมายกใหญ่ พลันก็ได้เห็นเงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นมา
หลงเฉินเกือบจะส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจอย่างถึงที่สุด เพราะว่าคนผู้นั้นมีวงแหวนแห่งเทพอยู่ที่แผ่นหลังเฉกเช่นเดียวกับเขา
ทว่าวงแหวนแห่งเทพนั้นกลับมีขนาดใหญ่กว่ามากถึงมากที่สุด วงแหวนแห่งเทพของหลงเฉินมีรัศมีร้อยจั่ง ทว่าของบุคคลผู้นี้…ช่างไร้ที่เปรียบ มันปกคลุมไปทั่วทั้งท้องฟ้าจนยากที่จะหาจุดสิ้นสุด
“ซูม”
ทันใดนั้นเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดก็ได้ดังขึ้นมาจากมุมหนึ่ง เสียงดังสะท้านจนทำให้หมู่ดาวเบื้องบนสั่นไหวไปมา แล้วสัตว์ร้ายขนาดมหึมาประดุจภูเขาลูกหนึ่งก็ปรากฏตัว
สัตว์ตัวนั้นมีสามหัวและเก้าหาง ร่างกายของมันปกคลุมด้วยเส้นขนสีดำประดุจอีกา บรรยากาศโดยรอบมีแรงกดดันออกมาอย่างมหาศาล คล้ายกับจะทำให้ทุกสิ่งอย่างที่อยู่ภายใต้ผืนฟ้าแห่งนี้หวาดกลัวขึ้นมาได้ แม้แต่ร่างกายของหลงเฉินเองก็รู้สึกว่าจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ในทันที
สัตว์ร้ายตัวนั้นอ้าปากกว้างแล้วปลดปล่อยลำแสงสีดำทมิฬพุ่งออกมา ตลอดเส้นทางที่มันเคลื่อนที่ไปก็ได้ทลายชั้นดารามาโดยตลอดจนระเบิดกลายเป็นเศษผงธุลี
วงแหวนแห่งเทพของคนผู้นั้นขยับไปมาครั้งหนึ่ง พลันก็ได้ฟาดฝ่ามือออกไปยังลำแสงสีดำทมิฬที่กำลังพวยพุ่งเข้ามา ท่ามกลางอากาศที่ว่างเปล่าได้ก่อเกิดเป็นวังวนขนาดใหญ่ขึ้นมาลูกหนึ่ง
วังวนลูกนั้นวนเวียนเข้าหากันอย่างบ้าคลั่ง ความว่างเปล่าที่เคยแน่นิ่งก็ได้สั่นไหวไปมาอย่างรุนแรง จนทำลายชั้นดาราให้แตกกระจุยกระจายไปมากกว่าครึ่ง กลายเป็นฉากที่ราวกับมีการจุดพลุและดอกไม้ไฟขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น
หลงเฉินจ้องมองไปยังการทำลายล้างด้วยความแตกตื่น ชายผู้ที่มีวงแหวนแห่งเทพตะบึงร่างเข้าไปประจันหน้ากับสัตว์ร้ายในทันที ความว่างเปล่าทั้งหมดถูกทำลายลงไปด้วยพลังที่สามารถผลาญไปทั้งแผ่นดิน
หลงเฉินกวาดมือไปตามชั้นดาราที่ยังคงเหลืออยู่อย่างวุ่นวาย จนฟ้าดินผืนนั้นกระจายตัวออก นี่เป็นการต่อสู้แบบใดกัน!
หลงเฉินมองลอดวังวนลูกนั้นเข้าไปยังใจกลาง เขาเห็นเงาร่างอีกสายหนึ่งที่อยู่ด้านหลังของชายที่มีวงแหวนแห่งเทพ ทว่าเขากลับไม่อาจมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ไม่ว่าเขาจะจ้องมองจนลูกตาแทบจะถลนออกมาก็ไม่อาจเห็นได้ว่าอีกเงาร่างหนึ่งนั้นเป็นบุรุษหรือสตรี ทว่ากลับให้ความรู้สึกว่าเป็นคนคุ้นเคยและใกล้ชิดกับเขาอยู่ส่วนหนึ่ง
ทันใดนั้นชายที่มีวงแหวนแห่งเทพที่กำลังต่อสู้อยู่ก็ได้หันหน้ามากะทันหัน หลงเฉินก็ไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจนเช่นกัน เพียงแค่เพ่งสายตาไปยังดวงตาคู่นั้นแล้วจดจำเอาไว้จนขึ้นใจ
ดวงตาของชายผู้นั้นช่างลึกล้ำสุดที่จะหยั่งถึง ภายในแววตาคู่นั้นมีดวงดาราทั้งเก้าชั้นทอเป็นประกายระยิบระยับออกมา ทำให้ภายในอกของหลงเฉินเต้นระรัวขึ้นมาอย่างคลุ้มคลั่ง หากไม่ใช่ชั้นดาราจากเคล็ดกายานวดาราแล้วจะสามารถสร้างขึ้นมาได้อย่างไรกัน?
“เวลาไม่พอแล้ว”
ก่อนที่จะนึกขึ้นมาได้ ห้วงความคิดอันว้าวุ่นของของหลงเฉินก็ได้มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา จากนั้นสภาวะอากาศขุมหนึ่งก็ได้โบกพัดเข้ามา ฉากการต่อสู้ที่อยู่เบื้องหน้าก็ได้วูบดับลงไปในทันที
“ซูม”
หลงเฉินผุดตัวลุกขึ้นมานั่งอย่างรวดเร็ว ทั่วทั้งร่างกายเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ลมหายใจหอบระรัวอย่างบ้าคลั่ง
หลงเฉินจดจำได้ทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นภายในความฝันเมื่อครู่นี้ได้อย่างชัดเจน ทุกการเปลี่ยนแปลงและทุกขณะจิตสำนึกต่างก็สามารถหวนนึกขึ้นมาได้ และเขามั่นใจว่าเรื่องราวที่พบเจอย่อมต้องไม่ใช่ความฝันธรรมดาอย่างแน่นอน
เวลาไม่พอแล้ว? หมายความว่าอย่างไรกัน? เขามีเวลาไม่พอ หรือเป็นข้าที่มีเวลาไม่พอกัน?
แล้วชายผู้นั้นเป็นใครกัน? สามารถใช้มือเปล่าทะลวงความว่างเปล่าจนระเบิดออกได้อย่างง่ายดาย เช่นนั้นพลังทำลายจากชั้นดาราของเขาอยู่ในระดับใดกัน?
แล้วไหนจะสัตว์ร้ายตัวนั้นอีก บนร่างกายของมันแฝงเอาไว้ด้วยบรรยากาศอันแปลกประหลาดที่น่าสงสัยเป็นอย่างมาก ให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวและความตายอย่างมากมายนับไม่ถ้วน ทว่าตัวมันเองก็ยังมีชีวิตอยู่ไม่ใช่หรือ
อีกทั้งยังมีเงาร่างที่อยู่ด้านหลังของชายที่มีวงแหวนแห่งเทพ แท้ที่จริงแล้วเป็นผู้ใดกัน? แล้วเพราะเหตุใดถึงได้รู้สึกคุ้นเคยและใกล้ชิดถึงเพียงนี้? นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?
ทันใดนั้นเองหลงเฉินก็หวนนึกบางอย่างขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้เสี่ยวฮวาได้ช่วยเหลือเขาเอาไว้ ในช่วงที่เขาหมดสติไปก็คล้ายกับได้ยินเสียงเซ็งแซ่ดังขึ้นมาอย่างชัดเจน
“เจ้าควรตื่นได้แล้ว เจ้ายังมีเรื่องที่ต้องกระทำอีกมากมายในชีวิต และเรื่องเหล่านั้นก็กำลังรอคอยให้เจ้าไปจัดการให้สำเร็จลุล่วงอยู่” “เจ้าควรแข็งแกร่งขึ้นได้แล้ว เจ้ามีศัตรูอยู่มากมายและมากมายจนเกินไป รอคอยให้เจ้าไปสังหารอยู่” “ชะตากรรมของเจ้าก็คือการโค่นล้มโลกหล้าแห่งนี้ จะเทพหรือมารก็ยังต้องหมอบกราบอยู่ใต้เท้าของเจ้า หลงเฉิน รีบตื่นขึ้นมาเถิด”
ทั้งสามประโยคนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในห้วงความคิดของหลงเฉินเสมอมา และเมื่อนึกถึงภาพที่อยู่ในความฝันเมื่อครู่ก็ราวกับว่าบุคคลทั้งสองนี้มีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นเป็นอย่างยิ่ง
หลงเฉินสะบัดศีรษะไปมาเพื่อคลายความคิดอันวุ่นวายออกไป มันหนักหนาจนจะทำให้สมองของเขาระเบิดเป็นจุลไปได้เลย เมื่อคิดเช่นไรก็เกิดความโง่เขลาดั่งสุกรตัวหนึ่งอยู่ดี เช่นนั้นก็อย่าได้ไปคิดถึงมันเลยก็แล้วกัน
ทว่ากลับมีอยู่เรื่องหนึ่งที่ยังไม่อาจหยุดคิดได้ นั่นก็คือรากปราณที่ถูกช่วงชิงไป จุดตันเถียนที่พิกลพิการ และเคล็ดกายานวดาราที่แทบไม่จำเป็นจะต้องใช้จุดตันเถียนในการไหลเวียนพลังขึ้นมาเลย
หลงเฉินไม่เคยเชื่อเรื่องความบังเอิญและโชคชะตา เพราะตั้งแต่เยาว์วัยจนเติบใหญ่ขึ้นมา ชะตาชีวิตของเขาไม่ได้ดีมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ทว่าเสียงที่ดังขึ้นมาภายในโสตประสาทของเขาทั้งสองครั้งนี้กลับตอกย้ำว่าเรื่องราวทั้งหมดไม่ใช่ความบังเอิญ ทว่าเป็นเหมือนกับสิ่งที่ถูกวางแผนเอาไว้ทั้งหมดแล้ว
เมื่อตั้งสติอยู่ชั่วครู่ หลงเฉินก็ได้หวนคิดอีกว่า นี่เขาได้จัดการเรื่องที่ยุ่งยากจนสำเร็จไปแล้วไม่ใช่หรือ? เขาแข็งแกร่งขึ้นจนสังหารศัตรูได้แล้ว? ชะตากรรมของเขาคือโค่นล้มทุกสรรพสิ่งในใต้หล้าแห่งนี้อย่างนั้นหรือ?
ความคิดวกไปวนมาทว่าก็ยังไม่มีคำตอบ พลางก็ได้แต่หัวเราะออกมาอย่างขมขื่น แม้เขาจะมีพลังอยู่ในขอบเขตก่อโลหิตแล้ว ทว่าก็ยังเป็นเหมือนกับผักปลาชิ้นหนึ่งเท่านั้น ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด
ชายผู้นั้นมีทั้งวงแหวนแห่งเทพ ชั้นดารา และเคล็ดกายานวดารา อีกทั้งยังใช้พลังของกายานวดารา ออกมาอีกด้วย นี่จะบ้าบิ่นเกินไปหรือไม่ถ้าคิดว่าต้องมีสักวันหนึ่งที่เป็นอย่างชายผู้นั้นได้?
“ไม่ว่าจะอย่างไร เส้นทางสายนี้ก็ยังคงมีทางให้เดินต่อไป และต้องมีสักวันหนึ่งที่ข้าจะไปอยู่ในจุดสูงสุด”
หลงเฉินกัดฟันแน่นพร้อมกับกล่าวปลอบใจขึ้นมา ถึงแม้ว่าจะรู้สึกหลอกลวงต่อตัวเองอยู่ ทว่าคนเราย่อมต้องมีเป้าหมาย และหากว่าทำสำเร็จขึ้นมาก็คงจะดีไม่น้อย
ตอนนี้เขามีโอกาสได้สัมผัสจุดดารากักวายุของตัวเองขึ้นมาบ้างแล้ว ซึ่งมันเปลี่ยนแปลงความคิดของเขาไปจนหมดสิ้น เขารู้สึกว่าชีวิตของตัวเองกำลังแฝงเอาไว้ด้วยพลังอันมหาศาลที่ไม่มีวันใช้ออกมาได้หมด
“เดิมทีความหมายของนวดาราก็คือการผ่านพ้นการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดเก้าครั้ง จนกลายไปเป็นชั้นดาราขึ้นมาแล้วจึงจะสามารถใช้พลังออกมาได้อย่างเต็มที่”
ในที่สุดหลงเฉินก็เข้าใจขึ้นมา วันนั้นเขาเกรี้ยวกราดอย่างถึงที่สุดจนปลุกจิตสังหารขึ้นมาอย่างแรงกล้า จึงสามารถเบิกการเปลี่ยนแปลงขั้นสุดท้ายขึ้นมาได้ ทำให้จุดดารากักวายุอัดแน่นไปด้วยพลังอย่างเต็มเปี่ยม
อีกทั้งยังเข้าใจด้วยว่าจุดดารากักวายุนั้นก็เป็นเหมือนพลังการต่อสู้ของเขา ทว่าจากที่เคยรอเป็นเวลานานกลับสามารถใช้ออกมาได้ในทันทีเพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจผ่านไปเท่านั้น
ภายในจิตใจของหลงเฉินจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยความปิติยินดีขึ้นมา หากเขาเข้าใจถึงความลับของเคล็ดกายานวดาราได้ถ่องแท้มากขึ้นคงจะส่งผลต่อพลังในอนาคตของเขาเป็นอย่างยิ่ง
ทันใดนั้นเอง หลงเฉินก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา หลังจากที่ภาพลี้ลับได้หายไปแล้ว ภายในห้วงแห่งความคิดก็มีบางอย่างเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง
หลงเฉินหลับตาลงในทันที พยายามหวนกลับไปนึกถึงเรื่องราวที่เพิ่งจะเพิ่มขึ้นมา หลังผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมแสดงสีหน้าที่ยากจะเชื่อตัวเองออกมา
“ถึงกับ……”