เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 113 ความลับ

ประตูห้องถูกเปิดออก เผยให้เห็นร่างของหลงเทียนเซียวและฮูหยินหลงกำลังเดินเข้ามา เมื่อพบว่าหลงเฉินสามารถลุกขึ้นมานั่งได้แล้วจึงส่งยิ้มให้อย่างปิติยินดี

“ร่างกายของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

หลงเทียนเซียวเดินเข้ามาหยุดอยู่ที่ข้างกายของหลงเฉิน แล้วสำรวจไปตามร่างกายของหลงเฉินอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะถามออกไป

“หลายส่วนฟื้นฟูขึ้นมาจนเกือบสมบูรณ์แล้ว” หลงเฉินมองไปตามบาดแผลบนร่างกายแล้วตอบกลับออกไป หลังจากจุดดารากักวายุได้เข้าสู่สภาวะของดวงดารา พลังในการฟื้นฟูของเขาก็แข็งแกร่งขึ้นจนน่าตกใจ หลังจากนอนหลับไปงีบหนึ่งก็ทำให้ร่างกายกลับคืนสู่ความปกติจนเกือบจะทั้งหมดแล้ว

“แล้วอาการบาดเจ็บของท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” เมื่อนึกขึ้นมาได้หลงเฉินจึงถามกลับออกไปด้วยความเป็นห่วง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะผ่านประสบการณ์การต่อสู้มาอย่างหนักหน่วงด้วยกัน ทว่าอาการบาดเจ็บของหลงเฉินถือว่าไม่เลวร้ายมากเพราะการฟื้นฟูของเขานั้นเรียกได้ว่าไร้ที่เปรียบ ในทางตรงกันข้ามร่างกายของหลงเทียนเซียวกลับได้รับบาดเจ็บอย่างแสนสาหัสยิ่งกว่า

หลงเทียนเซียวยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ไม่มีปัญหาหนักหนาอันใดแล้ว ชุมนุมผู้หลอมโอสถได้ส่งโอสถมาให้อยู่ไม่น้อย อีกทั้งยังมีผู้นำคนใหม่เข้ามาตรวจสอบอาการบาดเจ็บให้ด้วย หากได้พักหลายวันก็คงจะกลับมาเป็นปกติแล้ว”

เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ภายในจิตใจของหลงเทียนเซียวก็มีความรู้สึกภาคภูมิใจเอ่อล้นขึ้นมาอย่างท่วมท้น การคงอยู่ของชุมนุมผู้หลอมโอสถต่อตระกูลหลงเป็นเพราะหลงเฉินโดยทั้งสิ้น

“เฉินเอ๋อ สามวันมานี้มารดาเป็นห่วงเจ้าแทบแย่ มาให้มารดาดูสักนิดว่าเจ้าผอมลงไปมากน้อยเพียงใด” ฮูหยินหลงรีบแทรกขึ้นมาในทันที พลางก็ยื่นมือเ**่ยวย่นของนางลูบไปที่ใบหน้าของบุตรชายอย่างอ่อนโยน

หลงเฉินกระแอมขึ้นมาเบาๆ เมื่อพบว่าบิดากำลังทอสีหน้าประหลาดขึ้นมา จึงรีบกล่าวทักท้วงว่า “ท่านแม่ หากอยากจะทราบว่าข้าผอมลงหรือไม่ เช่นนั้นท่านก็ลองอุ้มข้าดูแล้วท่านก็จะทราบเอง”

หลงเทียนเซียวกับฉู่เหยาต่างหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ ฮูหยินหลงจึงเอ็ดขึ้นมาอย่างมีน้ำโหว่า “เจ้าช่างทำตัวไม่รู้จักโต เอาแต่พูดเล่นกับมารดาเช่นนี้อยู่เรื่อย เจ้าไม่ได้อยู่ในวัยที่สวมใส่ผ้าอ้อมแล้ว แล้วมารดาจะอุ้มเจ้าไหวได้อย่างไรกัน”

ในตอนนี้ครอบครัวกลับถูกเต็มเติมขึ้นมา ความสุขถาโถมเข้ามาอย่างถึงที่สุด หลงเทียนเซียวมองไปยังร่างกายของหลงเฉินด้วยความประหลาดใจไม่น้อย บุตรชายแทบจะไม่คล้ายกับคนที่พบเจอกับการต่อสู้ครั้งใหญ่มาเลยแต่อย่างใด

“แล้วเสี่ยวเสว่ยกับอาหมานเป็นอย่างไรกันบ้าง?” ทันใดนั้นหลงเฉินก็นึกถึงคนสำคัญที่เคียงข้างกายขึ้นมาได้

“เด็กหนุ่มอย่างอาหมานนั้นเรียกได้ว่าเป็นสัตว์ประหลาดผู้หนึ่งเลยก็ว่าได้ ทั้งที่บาดเจ็บจากเข็มหนอนกระดูกมามากมายถึงเพียงนั้น ทว่ากลับหลับไปเพียงแค่คืนเดียวแล้วก็ตื่นขึ้นมา

ในขณะที่เพิ่งตื่นขึ้นมาได้ไม่นานก็บ่นว่าหิวจนแทบจะทนไม่ไหวจนกินอาหารที่อยู่ในบ้านไปจนหมดเกลี้ยง อีกทั้งยังบอกว่าจะไปนอกเมืองเพื่อหาอาหารกินต่อ” ฮูหยินหลงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว

หลังจากประสบกับสถานการณ์ที่ยากลำบากมา ฮูหยินหลงจึงรู้สึกว่าอาหมานเป็นเสมือนบุตรชายของตนไปแล้ว จึงไม่มีแม้แต่คำพูดที่ขวยเขินและเรียกออกมาได้ไม่เต็มปากอีกต่อไป

หลงเฉินยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ผลลัพธ์หยาดน้ำฟื้นคืนชีวิตจากยอดฝีมือแห่งดินแดนหลิงเจี่ยนั้นช่างยิ่งใหญ่เสียจริงๆ หยดน้ำที่แฝงเอาไว้ด้วยพลังแห่งชีวิตอันเข้มข้นซึ่งเป็นสิ่งของที่ล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง

และด้วยร่างกายอันแข็งแกร่งอยู่แล้วของอาหมาน เมื่อได้รับการบำรุงด้วยพลังอันเข้มข้นจึงสามารถฟื้นคืนกลับสู่ความแจ่มใสได้อย่างรวดเร็ว

ทว่าเนื้อเยื่อของอาหมานก็ยังคงจำศีลอยู่ส่วนหนึ่งซึ่งต้องใช้เวลาอีกมาก และจำเป็นจะต้องได้รับการบำรุงอย่างมากมายมหาศาลเพื่อกระตุ้นพลังสภาวะของร่างกายให้กลับคืนมาดังเดิม นั่นก็คือการปล่อยเด็กน้อยออกไปหาเนื้อกินอย่างบ้าคลั่งนั่นเอง

“ส่วนเสี่ยวเสว่ยนั้นไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าการฟื้นฟูเป็นอย่างไรบ้าง พลังจากที่พวกเราพามันไปอยู่อีกห้องหนึ่ง มันก็ไม่ให้ผู้ใดเข้าไปใกล้เลย” ฮูหยินหลงกล่าว

“เหอะเหอะ เช่นนั้นข้าจะไปดูเสียหน่อย”

หลังจากที่หลงเฉินผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เรียบร้อยแล้วก็ได้มุ่งหน้าไปยังห้องหับที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของจวน ที่ตอนนี้มีกำแพงห้องฝั่งหนึ่งถูกทุบทิ้งลงไปแล้ว

เพราะเสี่ยวเสว่ยนั้นมีร่างกายที่ใหญ่โตจนเกินไป มันจึงไม่อาจเข้าออกได้ด้วยประตูปกติ หลงเฉินมองเห็นเสี่ยวเสว่ยที่กำลังหมอบอยู่กับพื้นจากทางเดินที่ห่างไกลออกมา

“โบร๋ว”

ยังไม่ทันที่หลงเฉินจะได้กระทำอันใด เสี่ยวเสว่ยที่หมอบอยู่กับพื้นห้องก็ได้ลืมตาตื่นขึ้นมา แล้วทะยานร่างเข้ามาหาหลงเฉินประดุจสายลมหอบหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น

ฮูหยินหลงสะดุ้งตัวโยนขึ้นมาในทันที พร้อมทั้งร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ เมื่อต้องมาอยู่ใกล้กับสัตว์มายาขนาดมหึมาถึงเพียงนี้ กล่าวตามความสัตย์แล้วไม่ว่าผู้ใดที่พบเห็นเสี่ยวเสว่ยต่างก็เกิดความหวาดกลัวขึ้นมาด้วยกันทั้งนั้น แม้แต่หลงเทียนเซียวเองก็ยังต้องข่มกลั้นความรู้สึกนั้นเอาไว้

หลงเฉินหัวเราะฮาฮาออกมายกใหญ่ แล้วลูบไปที่ลำตัวของเจ้าหนูน้อยอย่างอ่อนโยน “ดูเหมือนว่าเจ้าจะฟื้นฟูพลังกลับคืนมาได้ไม่น้อยแล้วนะ”

เมื่อเบิกพลังแห่งจิตวิญญาณเข้าไปตรวจสอบร่างกายของเสี่ยวเสว่ยครั้งหนึ่งแล้วก็พบว่ากระดูกที่แตกหักและเนื้อเยื่อที่เสียหายได้ผสานเข้ากันเกือบจะสมบูรณ์แล้ว ทว่าก็ยังมีอีกหลายจุดที่ยังผสานกันไม่สมบูรณ์

แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่หลวงอันใด เพราะหลงเฉินมีโอสถรักษาระดับสูงอยู่ อีกทั้งร่างกายของเสี่ยวเสว่ยก็มีพลังในการฟื้นฟูที่แข็งแกร่งอยู่ด้วยเช่นกัน

“อาการบาดเจ็บอย่างสาหัสนี้เพิ่งจะฟื้นคืนกลับมา เจ้ายังต้องพักฟื้นต่อ อย่าได้ขยับมากเกินไป เข้าใจหรือไม่?” หลงเฉินลูบไปที่ศีรษะของเสี่ยวเสว่ยแล้วกล่าวแกมดุออกมา

“โบร๋วโบร๋ว” เสี่ยวเสว่ยใช้หัวคลอเคลียไปตามร่างกายของหลงเฉิน

ฮูหยินหลงมองไปยังเสี่ยวเสว่ยที่ว่านอนสอนง่ายราวกับเป็นสุนัขตัวน้อยๆ อย่างไรอย่างนั้น จึงเกิดความสงสัยขึ้นมา “เฉินเอ๋อ มันฟังเจ้ารู้เรื่องด้วยหรือ?”

“อือ ก็เกือบจะทั้งหมด ข้าเลี้ยงดูมันจนเติบใหญ่ขึ้นมาด้วยตัวเอง พวกเราจึงเข้าใจถึงความคิดของกันและกัน” หลงเฉินตอบมารดา ทว่าก็ยังคงลูบไล้ไปตามร่างกายของเสี่ยวเสว่ย

ความจริงแล้วเสี่ยวเสว่ยไม่ได้เข้าใจคำพูดของหลงเฉิน ทว่าทั้งสองเชื่อมโยงกันด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณ มันจึงรับรู้ได้ถึงความนัยของคำพูดของผู้เป็นนายผ่านความรู้สึก

เช่นเดียวกัน หลงเฉินเองก็สามารถที่จะเข้าใจความรู้สึกของเสี่ยวเสว่ยได้เช่นเดียวกัน แต่ว่าเช่นนี้ย่อมไม่จำเป็นที่จะต้องกล่าวออกมาเป็นวาจา จึงมิได้มีความชัดเจนเช่นนั้น

“แล้วเจ้าได้มันมาจากที่ใดกัน? ข้าไม่เห็นทราบมาก่อนเลย” ฮูหยินหลงยังคงถามต่อ

“เหอะเหอะ คนส่งสารของม่งฉีได้มอบมันมาข้า” หลงเฉินตอบกลับไป ทันใดนั้นก็เห็นสายตาอาฆาตจากมารดากำลังทอดออกมาอย่างไม่คิดชีวิต

เห็นได้ชัดว่านางกำลังตักเตือนหลงเฉินว่าพวกเขาอยู่ต่อหน้าฉู่เหยา จงอย่าได้เอ่ยถึงม่งฉีออกมา ซึ่งฮูหยินหลงเองก็แอบเสียใจไม่น้อยที่ตัวเองได้ปากพล่อยออกไปเช่นเดียวกัน

“ท่านแม่ ม่งฉีเจี่ยเจี่ยได้มอบสัตว์มายาอันล้ำค่ามาให้หลงเฉิน นั่นก็เหมือนกับเป็นตัวแทนของนางที่ยังหนักแน่นต่อหลงเฉินอยู่เช่นเดียวกัน นี่จึงเป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่หรือ” ฉู่เหยากล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“ท่านแม่?” หลงเฉินโพล่งวาจาออกมาเสียงดังอย่างไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง

ฉู่เหยาทอใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาในทันที แล้วฮูหยินหลงก็ดึงฉู่เหยาเข้ามาแนบกายแล้วถลึงตามาที่เขาอย่างรุนแรง “เจ้าหนู ข้าจะย้ำเตือนสติของเจ้าว่าฉู่เหยาถือเป็นสะใภ้คนแรกของข้า ฉะนั้นเจ้าอย่าได้รังแกนางจนต้องเจ็บช้ำน้ำใจเชียวนะ ไม่อย่างนั้นข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่”

หลงเฉินมองไปที่มารดาสลับกับฉู่เหยาไปมา ทว่าก็ไม่ได้กล่าวอันใดออกมาอีก ได้เพียงแค่หัวเราะหึหึออกมาอย่างโง่งม

“เอาล่ะ ตอนนี้ตระกูลหลงของพวกเราก็ได้ผ่านพ้นลมฝนที่โหมกระหน่ำจนเปิดให้เห็นท้องฟ้าอันสดใสแล้ว ช่วงเวลาที่ครอบครัวจะได้อยู่ร่วมกันจนครบช่างยากยิ่งนัก เช่นนั้นมาทานข้าวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันเถิด”หลงเทียนเซียวกล่าวแทรกขึ้นมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

ไม่นานนักเหล่าผู้รับใช้ก็ได้ตระเตรียมสุราและอาหารอันหรูหราขึ้นโต๊ะ ทว่าหลงเฉินกลับเห็นว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่ค่อยคุ้นตาคุ้นตาจึงขมวดคิ้วขึ้นมาด้วยความสงสัย

“บิดาของเจ้าเป็นคนเปลี่ยนพวกเขาทั้งหมดด้วยตัวเอง” ฮูหยินหลงกล่าวออกมาราวกับอ่านความคิดของบุตรชายได้อย่างแจ่มแจ้ง

“ด้วยเหตุอันใดกัน?”

“ปกติเด็กน้อยอย่างเจ้านั้นฉลาดเฉลียวเป็นที่สุด แล้วเหตุใดถึงได้กลายเด็กที่โง่งมในเรื่องเช่นนี้ไปเสียได้ พวกเขานั้นรับใช้ตระกูลหลงของพวกเรามานานหลายปี อีกทั้งยังจงรักภักดีมาโดยตลอด ทว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ช่างหนักหนาจนพวกเขาต้องติดร่างแหไปด้วย แม้แต่ชีวิตของตัวเองก็แทบจะต้องทิ้งไปด้วยเช่นกัน

ข้าคิดว่าตระกูลหลงได้ติดค้างน้ำใจพวกเขามากจนเกินไป จึงได้มอบเงินจำนวนหนึ่งให้พวกเขาทุกคนให้ออกไปมีชีวิตใหม่ได้อย่างไม่ขัดสนไปทั้งชีวิต นี่คงจะเป็นการตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อให้แก่พวกเขาแล้ว

ทว่าก็ยังมีอยู่ส่วนหนึ่งที่ไม่ยินยอมจะจากไป ข้าจึงให้พวกเขาอยู่ต่อ อย่างไรเสียน้ำใจในครั้งนี้ก็ต้องจดจำเอาไว้ให้ขึ้นใจ” ฮูหยินหลงกล่าวออกมาด้วยความเศร้าสลด

ผู้รับใช้ทั้งหมดไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายโลหิตกับตระกูลหลงเลย ทว่าในช่วงที่คับขันพวกเขากลับไม่คิดจะทอดทิ้งตระกูลหลงแต่อย่างใด

ช่างแตกต่างจากญาติฝ่ายมารดาที่แม้จะเป็นพี่น้องคลานตามกันมา ทว่ากลับคิดร้ายต่อพี่น้องในสายโลหิตเดียวกันได้ลงคอ เมื่อนำสิ่งนี้มาเปรียบเทียบกันแล้วจึงเรียกได้ว่าคนเรานี้ยากแท้จะหยั่งถึงเสียจริงๆ

เมื่อสองพ่อลูกมองไปเห็นใบหน้าที่หดหู่ของฮูหยินหลงก็ได้สบตากันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วรีบร้อนเอ่ยถามคำถามอื่นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของมารดาในทันทีจนทำให้ความหดหู่ของฮูหยินหลงสลายหายไปได้ในพริบตา

“ท่านพ่อ ข้าขอดื่มให้ท่านหนึ่งจอก”

เมื่อพูดจบหลงเฉินก็ได้ยกชามเหล้าขึ้นมาแล้วหันไปทางบิดาแล้วกล่าวต่ออีกว่า “เพื่อให้ครอบครัวของพวกเรามีแต่ความสุขตลอดไป หมดชาม!”

หลงเทียนเซียวหัวเราะฮาฮาออกมายกใหญ่แล้วรินเหล้าลงในชามให้บุตรชาย จากนั้นฉู่เหยากับฮูหยินหลงก็ได้ยกชามสุราขึ้นมาด้วยเช่นกัน ทั้งสี่คนต่างก็มีรอยยิ้มแห่งความสุขปรากฏขึ้นบนใบหน้ากันถ้วนหน้า

“อาหมานออกไปสองวันแล้ว เหตุใดยังไม่กลับมาอีกนะ” ฮูหยินหลงรู้สึกเหมือนคนในครอบครัวยังขาดหาย และรู้สึกเป็นห่วงอาหมานขึ้นมา

“เหอะเหอะ ท่านแม่อย่าได้ห่วงไปเลย ที่อาหมานยังไม่ได้กลับมานั้นเป็นเพราะว่าเขายังกินไม่อิ่ม” หลงเฉินยิ้มแล้วกล่าวปลอบประโลมฮูหยินหลง

“ท่านพ่อ สถานการณ์ของจักรวรรดิในขณะนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” หลงเฉินรินสุราให้หลงเทียนเซียวพร้อมกับถามขึ้นมา “ยังสงบสุขดีอยู่ ต้าเซี่ยที่เคยเป็นศัตรูอันยิ่งใหญ่ของเฟิงหมิงกลับเกิดความวุ่นวายภายในขึ้นมาเสียเอง เหล่าองค์ชายเกิดการแย่งชิงตำแหน่งขององค์จักรพรรดิกันอย่างบ้าคลั่ง

ทว่าต่อให้พวกเขาสามารถสถาปนาองค์จักรพรรดิใหม่ขึ้นมาได้ ก็คงจะต้องรับภาระอันหนักหนาอยู่ไม่น้อย เพราะกองกำลังของจักรวรรดิได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก จึงไม่อาจคุกคามเฟิงหมิงได้

ซึ่งตรงกันข้ามกับเฟิงหมิงที่เหล่าองค์ชายต่างก็ไม่มีผู้ใดต้องการตำแหน่งองค์จักรพรรดิเลย เอาแต่เสนอให้องค์ชายเจ็ดขึ้นเป็นองค์จักรพรรดิเพื่อดูแลบ้านเมืองต่อไป” หลงเทียนเซียวเล่าไปด้วยและร่ำดื่มสุราไปด้วย

องค์ชายคนอื่นๆ คงจะไม่กล้าก็แย่งชิงกับองค์ชายเจ็ดที่มีเจี่ยเจียที่เป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นคอยหนุนหลังอยู่ อีกทั้งเจี่ยเจี่ยของฉู่ฟงกับหลงเฉินยังมีความสัมพันธ์ที่ผู้คนต่างก็ทราบกันดีอยู่แล้ว ฉะนั้นจึงไม่มีผู้ใดคิดแย่งชิงตำแหน่งองค์จักรพรรดิอย่างแน่นอนอยู่แล้ว

หลงเฉินจึงมองไปที่ฉู่เหยาพร้อมกับเหยียดรอยยิ้มมีเลศนัยแล้วกล่าวออกมาว่า “มา เจี่ยเจี่ยขององค์จักรพรรดิ ให้เกียรติดื่มกับข้าสักจอกหนึ่งเถิด ในเมื่อได้เป็นถึงพี่เขยขององค์จักรพรรดิแล้ว จะไม่ให้ข้ายินดีได้อย่างไรกันเล่า”

“เจ้าวายร้าย!” ฉู่เหยามีโทสะขึ้นมาเล็กน้อย ดวงตาคู่งามจ้องเขม็งไปที่หลงเฉิน จนผู้คนรอบข้างต่างก็หัวเราะออกมายกใหญ่

“เจ้าเด็กน้อย อย่าได้รังแกฉู่เหยานะ” ฮูหยินหลงด่าทอกลั้วเสียงหัวเราะออกมา จากนั้นพวกเขาก็ได้ทานอาหารร่วมกันอย่างมีความสุข

หลังจากที่อิ่มหนำสำราญกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลงเฉินก็ลังเลอยู่นาน ทว่าก็ไม่อาจอดกลั้นความอึดอัดได้อีกต่อไป “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าอยากจะออกไปดูโลกภายนอก”

ฮูหยินหลงสลายรอยยิ้มกริ่มบนใบหน้าไปในทันที ฉู่เหยาเองก็มีสีหน้าฉงนไปด้วยเช่นกัน มีเพียงหลงเทียนเซียวเท่านั้นที่ไม่มีอารมณ์เปลี่ยนแปลงไปเลย ราวกับว่าคาดเดาเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมาไว้ล่วงหน้าแล้ว ความเงียบงันดำเนินต่อไปสักพักใหญ่ แล้วฮูหยินหลงก็ได้เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเทาว่า “เฉินเอ๋อ เจ้าคิดจะจากบ้านนี้ไปอย่างนั้นหรือ?”

หลงเฉินไม่กล้าสบตาของมารดาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงหาอาธรจึงได้ก้มหน้าลง ทั้งที่ครอบครัวเพิ่งจะได้อยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาแล้วแท้ๆ วาจาเช่นนี้คล้ายกับทำร้ายจิตใจของมารดาอย่างแสนสาหัสยิ่งนัก

ทว่าเขาต้องการที่จะออกไปดูโลกภายนอกมากจริงๆ ทั้งคนที่อยู่ในความฝันของเขา ทั้งดินแดนหลิงเจี่ย ทั้งหุบเขาโอสถ ทุกคนต่างก็บอกว่าอนาคตของเขาไม่ได้อยู่ที่เฟิงหมิง

“อือ ข้าจะพาฉู่เหยาและอาหมานออกเดินทางไปด้วย” หลงเฉินกล่าวออกมาทั้งที่แสนจะเจ็บปวดใจเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อฉู่เหยาได้ยินหลงเฉินกล่าวออกมาเช่นนั้นจึงได้แต่ผ่อนลมหายใจออกมา แล้วก็นึกคิดไปถึงความรู้สึกของฮูหยินจึงหันไปมองนางด้วยความลำบากใจ

“ตอนนี้บุตรของเราก็ได้เติบใหญ่ขึ้นแล้ว ให้เขาได้ไปตามหาเส้นทางที่เขาได้เลือกเอาไว้เถิด ส่วนพวกเราก็ต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยวางด้วยเช่นกัน” ในที่สุดหลงเทียนเซียวก็กล่าวออกมา

“เฉินเอ๋อ ในเมื่อเจ้าได้ตัดสินใจแล้ว ฉะนั้นข้าก็จะบอกความจริงบางอย่างแก่เจ้า”

“หลงเทียนเซียว……” ทันใดนั้นฮูหยินหลงก็ลุกฮือขึ้นมากะทันหัน พร้อมกับทอสีหน้าโกรธเกรี้ยวอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน

ตั้งแต่เขาจำความได้ บิดาและมารดาไม่เคยมีปากเสียงกันมาก่อน ทว่าวันนี้มารดากลับมีปฏิกิริยารุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นจึงทำให้เขาทั้งตกใจและเสียใจขึ้นมาอย่างยิ่ง

“นี่เป็นสิ่งที่เขาควรจะทราบอยู่แล้ว” หลงเทียนเซียวมองไปที่ภรรยาด้วยท่าทีที่สงบนิ่ง

“เจ้า……หลงเทียนเซียว ข้าเกลียดเจ้า” ฮูหยินหลงหลั่งน้ำตาออกมาอย่างบ้าคลั่ง แล้วหันกายวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

ฉู่เหยาเห็นท่าไม่ดีจึงรีบวิ่งตามออกไป จึงเหลือเพียงเงาร่างของสองพ่อลูกนั่งอยู่ที่เบื้องหลัง …

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset