เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 115 พลัดพราก

เศษศิลาน้อยใหญ่ปลิวว่อนไปทั่วผืนฟ้าแล้ววัตถุชนิดหนึ่งปรากฏขึ้นมาตรงใจกลางด้านใน ของสิ่งนั้นเป็นห่อผ้าเล็กๆ ที่มีกระดาษสีเหลืองแปะอยู่ด้านบน มือใหญ่ข้างหนึ่งของหลงเฉินเอื้อมไปหยิบห่อผ้านั้นขึ้นมา

กระดาษแผ่นนั้นมีลักษณะแปลกตาเป็นอย่างยิ่ง เนื้อกระดาษดูอ่อนนุ่มคล้ายสำลีทว่ามีความเหนียวเหมือนกับหนังสัตว์อย่างไรอย่างนั้น อีกทั้งยังมีรอยขีดเขียนเป็นตัวอักขระที่ไม่คุ้นตาอยู่

“คนผู้นั้นกล่าวว่ายันต์ผืนนี้จะผนึกสภาวะของสิ่งของที่อยู่ภายในเอาไว้ และอย่าได้เปิดขึ้นมาในช่วงเวลาสิบปีจากวันนั้น ไม่เช่นนั้นสิ่งของชิ้นนี้จะต้องชักนำวังวนแห่งการแก่งแย่งมาให้ ทว่าในขณะนี้ก็ได้ผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว ฉะนั้นเจ้าจงเปิดออกเถิด” หลงเทียนเซียวกล่าว

หลงเฉินพยักหน้าไปมาแล้วดึงยันต์สีเหลืองที่แปะอยู่ด้านบนออก หลังจากที่ห่อผ้าถูกคลี่ออกก็เผยให้เห็นแผ่นหยกขนาดเท่าฝ่ามือของทารกที่มีสีม่วงชิ้นหนึ่ง บนตัวหยกถูกแกะสลักอย่างประณีตบรรจงเป็นลวดลายของมังกรตัวหนึ่ง

หากมองดูผิวเผินแล้วแผ่นหยกชิ้นนี้ไม่ได้มีความพิเศษกว่าหยกทั่วไปแต่อย่างใด ทว่าเมื่อถูกวางลงบนฝ่ามือของหลงเฉินแล้วกลับทำให้จิตใจของเขาเข้าสู่ความสงบนิ่งในทันที ความรู้สึกสับสน แตกตื่น และหวาดกลัวเมื่อครู่ก็ได้สลายหายไปจนไม่หลงเหลือความรู้สึกอันใดเลย

ถ้าหากถือแผ่นหยกชิ้นนี้ในขณะที่ฝึกยุทธ์อยู่ก็คงจะทำให้จิตใจเข้าสู่สภาวะสงบได้เป็นอย่างดี เพราะสมาธิเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของการฝึกยุทธ์ หากมีสิ่งใดเข้ารบกวนจิตใจแม้แต่น้อยก็ไม่อาจก้าวข้ามพลังได้ ของสิ่งนี้จึงเปรียบเสมือนของกำนัลจากสรวงสวรรค์ที่ประทานลงมาให้เขาอย่างแน่นอน

ผู้ฝึกยุทธ์ที่สามารถเข้าสู่สภาวะสงบนิ่งเช่นนี้ได้ก็จะสามารถเพิ่มการฝึกยุทธ์ให้มากขึ้นไปเป็นเท่าตัว อีกทั้งยังเป็นข้อได้เปรียบอย่างถึงที่สุด ทว่าผู้ฝึกยุทธ์โดยมากมักจะถูกครอบงำด้วยกิเลสและวิถีชีวิตต่างๆ นานาจึงยากที่จะเข้าสู่สภาวะนี้ได้

ตามปกติแล้วผู้ฝึกยุทธ์จะต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนกว่าจะเข้าสู่สภาวะเช่นนี้ได้หนึ่งครั้ง และทุกครั้งก็จำเป็นจะต้องใช้ธูปหอมระดับสูงเพื่อเพิ่มความสามารถในการเข้าสู่สมาธิอีกด้วย

ถึงแม้ว่าหลงเฉินจะสามารถเข้าสู่สภาวะสงบนิ่งได้ทุกครั้งที่ฝึกยุทธ์ ทว่ากลับต้องใช้เวลาในการกำจัดความกังวลอย่างน้อยหนึ่งชั่วยามเพื่อให้จิตใจสงบลงไป ทั้งที่หลงเฉินนั้นมีพลังแห่งจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งอย่างไร้ที่เปรียบ เขากลับต้องใช้เวลาทำสมาธิอย่างยากลำบาก ฉะนั้นจึงไม่จำเป็นจะต้องกล่าวถึงบุคคลอื่นใดเลย

นอกจากแผ่นหยกแล้วก็ไม่มีสิ่งของอื่นภายในห่อผ้า หลงเฉินจึงตรวจสอบแผ่นหยกอย่างละเอียดีอีกครั้งหนึ่ง

เอ๊ะ! ด้านหลังนี้ยังมีตัวอักขระอยู่อีก

หลงเฉินสัมผัสได้ว่าด้านหลังของแผ่นหยกมีลักษณะนูนเว้าคล้ายกับเป็นตัวเขียนขึ้นมา จึงรีบพลิกด้านหลังของแผ่นหยกขึ้นมาดู มีตัวอักษรเล็กๆ ถูกสลักเรียงรายกันอยู่สี่แถว

“มังกรนพเก้าเย้ยฟ้า คำรนแลด้วยนัยน์ตาแดงฉาน สงบสุขยินดีมีสุข ไม่แบ่งแยกโลกาไปนิรันดร์”

ตัวอักษรทั้งสี่แถวนั้นคล้ายกับถูกเขียนขึ้นมาด้วยลายมือที่ต่างกันของบุคคลสองคน อักษรสองแถวแรกให้ความรู้สึกแข็งกร้าวประดุจหอกยาวง้าวใหญ่จึงดูมีพลังเป็นอย่างยิ่ง แถวนี้ย่อมต้องเป็นลายมือของบุรุษผู้หนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย

ส่วนสองแถวด้านล่างเป็นอักษรที่ดูเล็กเรียว เพียงแค่มองก็พอจะทราบได้แล้วว่าเป็นลายมือของสตรีนางหนึ่ง ตัวอักษรแต่ละตัวมีช่องว่างระหว่างกันอย่างเท่าเทียมจึงให้ความรู้สึกสบายตาเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อกวาดสายตามองไปที่ตัวอักษรแต่ละแถว หลงเฉินก็คล้ายกับมองเห็นภาพวาดผืนหนึ่งที่มีบุรุษกับสตรีกำลังหยอกเย้าอยู่กับทารกน้อยในอ้อมกอดอยู่

บุรุษหมายมั่นจะให้บุตรเติบโตเป็นผู้กล้าที่สามารถเย้ยฟ้าหยั่งดินได้ มีความหยิ่งทระนงเยี่ยงสุดยอดวีรบุรุษผู้ไร้เทียมทามแห่งใต้หล้า

และสตรีก็หวังเพียงให้บุตรเติบใหญ่ขึ้นมาด้วยร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง ไร้ซึ่งโรคภัยไข้เจ็บเข้ามากร่ำกราย และทั้งสามชีวิตในครอบครัวก็จะไม่มีวันแยกจากกัน

ภายในดวงตาของหลงเฉินเอ่อล้นออกมาด้วยหยดน้ำตา ลายมือทั้งสองนี้จะต้องเป็นของบิดาและมารดาบังเกิดเกล้าของเขาอย่างแน่นอน เขาสามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกรักใคร่ที่แฝงอยู่ในตัวอักษรเหล่านี้

ทว่าเขานั้นไม่อาจจินตนาการได้ว่าพวกเขามีหน้าตาเป็นอย่างไร และยังชีวิตอยู่หรือไม่ ทันใดนั้นหลงเฉินก็ได้แหงนมองไปบนฟากฟ้าอันกว้างใหญ่ แล้วกู่ร้องเสียงดังจนไปถึงชั้นเมฆา ท่ามกลางหมู่เขาแห่งนั้นก็คล้ายกับสั่นสะเทือนเลือนลั่นไปตามเสียงดังกังวาน

ชะตาชีวิตจงใจจะทำให้ชีวิตของเขาต้องเป็นเช่นนี้ แม้คิดจะขัดขืนเพียงใดก็ราวกับไม่มีเรี่ยวแรงเพียงพอเสียที ความรู้สึกเดือดดาลที่ยากจะอธิบายเข้าอัดแน่นอยู่เต็มอกจนทำให้เขาบ้าคลั่งขึ้นมา

ผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูปดับ เสียงกู่ร้องก็เงียบลงแล้วภายในจิตใจของหลงเฉินก็ค่อยๆ กลับสู่ความปกติเฉกเช่นเดิม ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าพลังใจแข็งแกร่งขึ้น ความปรารถนาที่จะออกไปตามหาบิดาและมารดาบังเกิดเกล้าก็ได้แรงกล้าขึ้นมาอย่างถึงที่สุด

‘มังกรนพเก้าเย้ยฟ้า คำรนแลด้วยนัยน์ตาแดงฉาน สงบสุขยินดีมีสุข ไม่แบ่งแยกโลกาไปนิรันดร์’ หลงเทียนเซียวท่องประโยคเหล่านี้อยู่ภายในใจ แล้วก็อดถอนหายใจออกเฮือกใหญ่ออกมาไม่ได้

“พวกเราช่างมีวาสนาต่อกันเสียจริง ตอนที่มารดาของเจ้าได้ตั้งครรภ์ ข้าเองก็นึกวาดฝันเอาไว้ว่า บุตรชายของข้าจะต้องกลายเป็นวีรบุรุษผู้เกรียงไกร แล้วเมื่อเทียบกับคนเป็นท่านพ่อเช่นข้าแล้ว เขาจะแข็งแกร่งมากกว่าถึงเพียงใดกัน

ส่วนมารดาของเจ้าก็หวังเพียงให้บุตรชายเติบใหญ่ขึ้นมาอย่างไร้ความกังวล ทว่านางกลับไม่คิดที่จะให้บุตรชายต้องไปเป็นวีรบุรุษแต่อย่างใด”

“ท่านพ่อ คนผู้นั้นบอกอันใดอีกหรือไม่?” หลงเฉินถามออกมาในขณะที่ยังคงจ้องมองแผ่นหยก

“ข้าได้ถามคนผู้นั้นออกไปว่าถ้าหากเจ้าเติบใหญ่แล้วต้องการจะออกไปตามหาบิดาและมารดาที่แท้จริงเล่า เขาตอบกลับมาว่าขอเพียงเจ้ามีพลังมากพอ และสามารถย่างเข้าสู่ระดับพลังขั้นสูงสุดได้ เมื่อถึงเวลานั้นก็จะทราบได้เองว่าบิดาและมารดาของเจ้านั้นเป็นผู้ใด

ถ้าหากไม่อาจไปถึงจุดสูงสุดของการฝึกยุทธ์ได้ ต่อให้ทุ่มเทความพยายามทั้งหมดออกไปตามหาก็ไม่มีความหมายอันใด เช่นนั้นก็จงอยู่เป็นคนธรรมดาอย่างไร้ความกังวลไปเสียเถิด” หลงเทียนเซียวกล่าว

“จุดสูงสุดของการฝึกยุทธ์อย่างนั้นหรือ? แล้วจะต้องอยู่ในระดับใดกันจึงจะเรียกว่าเป็นจุดสูงสุดของการฝึกยุทธ์?” หลงเฉินถามออกมาไปด้วยความใคร่รู้

หลงเทียนเซียวหัวเราะอย่างขมขื่นแล้วตอบกลับมาว่า “ข้าเองก็ไม่อาจทราบได้ ทว่าอย่างน้อยก็คงจะต้องแข็งแกร่งกว่าคนผู้นี้กระมัง”

เมื่อหลงเทียนเซียวกล่าวจบก็ได้ชี้ไปยังหน้าผาที่อยู่ด้านหน้า ฝีมืออันร้ายกาจเช่นนั้นยังเป็นเพียงแค่ข้ารับใช้ผู้หนึ่งเท่านั้น นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเขาคงจะต้องพึ่งพาตัวเองเป็นอย่างมากเสียแล้ว

หลงเฉินลูบไปที่แผ่นหยกแล้วพยักหน้าไปมา “วันนั้นจะต้องมาถึง และคงอีกไม่นานเกินรอ”

“ข้าเชื่อว่าเจ้าทำได้ ไปเถิด พวกเรากลับจักรวรรดิกันก่อน ที่นั่นคงจะวุ่นวายแล้ว”

……

หลังจากที่มีการเปิดเผยเหมืองศิลาปราณขึ้นมา ภายในจักรวรรดิก็มีแต่เรื่องราววุ่นวายเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน มีเหล่ายอดฝีมือจากทุกสารทิศมุ่งหน้ามายังเฟิงหมิงประดุจนกอีแร้งตามกลิ่นอันหอมหวนจากซากศพอย่างไรอย่างนั้น

“สวรรค์ พวกเจ้าเห็นกันหรือไม่ เสือดาวที่ลากรถอยู่นั้นใหญ่กว่าห้องหับทั้งหลังเสียอีก”

สัตว์มายาตัวหนึ่งที่กำลังลากรถอันแสนหรูหราผ่านเบื้องหน้าของกลุ่มคนจำนวนมากมายไปได้สร้างแรงดึงดูดทุกสายตาจนเกิดอาการตื่นตกใจเป็นอย่างยิ่ง

“มาอีกแล้ว นั่นเป็นสัตว์มายาเหินหาวใช่หรือไม่ ช่างน่าหวาดกลัวอะไรเช่นนี้”

บนผืนฟ้าขนาดใหญ่ก็ได้มีวิหคหลากสายพันธุ์บินโฉบไปมา เงาร่างของมันปกคลุมไปครึ่งท้องนภา อีกทั้งยังแผ่แรงกดดันออกมามาศาลจนทำให้ผู้คนตัวสั่นเทาไปตามๆ กัน

“สวรรค์ ทั้งชีวิตยังไม่เคยพบเห็นยอดฝีมือที่น่าเกรงขามมากมายถึงเพียงนี้มาก่อนเลย”

ผู้คนตกอกตกใจขึ้นมาอย่างถึงที่สุด ยอดฝีมือหลั่งไหลกันเข้ามาในจักรวรรดิเฟิงหมิงมาหลายแล้ว และนับวันยิ่งสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ พาหนะที่ใช้เดินทางเข้ามาก็ยิ่งมาน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง

แม้ว่าคนกลุ่มนี้จะมาถึงแล้ว ทว่ากลับไม่ได้เข้าไปยังเหมืองศิลาปราณในทันที พวกเขาต่างก็มองออกไปยังบริเวณหนึ่งราวกับกำลังรอคอยการมาเยือนของบางสิ่งบางอย่างอยู่

หลังจากที่ผ่านพ้นมาได้เจ็ดวัน เหล่ายอดฝีมือที่เดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศก็ได้รวมตัวกันที่ชุมนุมผู้หลอมโอสถเท่านั้น ให้ความรู้สึกเสมือนขุมกำลังของกองทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งที่สุด อีกทั้งยังเอาแต่สนทนากันด้วยเรื่อของเหมืองศิลาปราณ

เมื่อหลงเฉินกลับมาถึงจวนแล้ว ก็ได้มองเห็นฮูหยินหลงกำลังร่ำไห้จนดวงตาแดงก่ำไปทั้งหมดแล้ว หลงเฉินจึงเข้าไปปลอบประหลอมจิตใจของนางว่า

“ท่านแม่ แม้ว่าข้าจะไม่ได้เป็นบุตรบังเกิดเกล้าของท่าน แต่ไม่ว่าอย่างไรท่านก็ยังคงเป็นมารดาของข้าไปตลอดกาล เช่นนั้นจงอย่าได้เสียใจไปเลย”

“เฉินเอ๋อ เจ้ายังจำมารดาเช่นข้าได้อีกหรือ?” ฮูหยินหลงทอสีหน้าอิ่มเอมใจขึ้นมาอย่างถึงที่สุด

หลงเทียนเซียวส่ายหน้าไปมาเล็กน้อย อิสตรีนี่ก็มีความคิดที่แปลกประหลาดจริงๆ ราวกับไม่ได้เดินอยู่บนเส้นทางเดียวกันกับคนธรรมดาสามัญทั่วไปแต่อย่างใด

หลงเฉินยิ้มกว้างขึ้นมาแล้วกล่าวออกไปว่า “ไม่ว่าจะเป็นเวลาใด ท่านก็ยังคงเป็นมารดาของข้าและท่านก็ยังคงเป็นมารดาบังเกิดเกล้าของข้าด้วย”

แล้วฮูหยินหลงก็สามารถฉีกรอยยิ้มขึ้นมาได้อย่างเต็มที่ “ข้าเป็นกังวลว่าหากเจ้าได้ทราบความจริงแล้วจะไม่ยอมรับในตัวข้าอีกต่อไป”

“จะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร ท่านเช็ดอุจจาระปัสสาวะให้ข้ามาจนเติบใหญ่ มีหรือที่ข้าจะไม่ยอมรับท่าน นอกเสียจากจะไม่รับท่านพ่อ” หลงเฉินกล่าวต่อหน้าหลงเทียนเซียว

“เจ้าหนู คิดจะหาเรื่องกันอย่างนั้นหรือ?” หลงเทียนเซียวทอสีหน้าไม่พอใจขึ้นมา เขานั่งอยู่เฉยๆ กลับโดนพาดพิงเสียได้มีหรือจะยินยอม

ฮูหยินหลงหัวเราะร่าขึ้นมาในทันที แล้วก็ยื่นมือไปลดหนังสือที่หลงเทียนเซียวกำลังดูอยู่ลง “เฉินเอ๋อก็แค่หยอกเจ้าเล่นเท่านั้นเอง เหตุใดเจ้าต้องดุเช่นนั้นกันเล่า?”

เมื่อเห็นว่ามารดาหัวเราะได้แล้ว หลงเฉินก็เหมือนกับได้โยนภูเขาลูกใหญ่ที่อยู่ภายในใจออกไป หลงเทียนเซียวกับหลงเฉินได้สบสายตากันแล้วระเบิดหัวเราะขึ้นมา แล้วหลงเทียนเซียวก็แอบยื่นหัวแม่โป้งไปทางหลงเฉิน ฝีปากหว่านล้อมเช่นนี้ช่างสูงล้ำเป็นอย่างยิ่ง เพียงครู่เดียวก็สามารถอ่านความในใจของภรรยาได้แล้ว

จากนั้นก็ได้ส่งยิ้มไปให้ฉู่เหยาที่นั่งอยู่ด้านข้าง พลันก็เกิดความชื่นชมขึ้นมาว่าเจ้าหนูผู้นี้ช่างเข้าใจจิตใจของหญิงสาวเป็นอย่างดี ถึงกับล่อลวงองค์หญิงบ้านอื่นมาอยู่ในกำมือได้รวดเร็วถึงเพียงนี้

“ท่านแม่ พี่หลง ท่านพ่อ องค์หญิง ข้ากลับมาแล้ว”

ทันใดนั้นเองก็มีเสียงตะโกนโวยวายดังขึ้นมาจากหน้าประตูจวน หากฟังจากเสียงเรียกขานแล้วก็พอที่จะทราบได้ทันทีว่าเป็นผู้ใด จากนั้นร่างกายอันสูงใหญ่ของอาหมานก็ปรากฏตัวขึ้นที่กลางลานกว้าง

“น้องรัก ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นฟูร่างกายกลับคืนมาแล้ว”

หลงเฉินหัวเราะออกมาเสียงดังแล้วโอบกอดไปที่ร่างของอาหมานอย่างรักใคร่ ทว่าเมื่ออาหมานที่มีร่างกายใหญ่โตกำลังโอบกอดตอบกลับมาก็กลายเป็นภาพที่น่าตลกเป็นอย่างยิ่ง

“พี่หลง ที่ท่านให้ข้าดื่มน้ำเทพนั้นไป มันทำให้ข้ารู้สึกว่าร่างกายดีขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลย อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยพลังอย่างถึงที่สุด ถ้าหากได้เจอกับเจ้าลูกเต่ายิงฮวาผู้นั้นอีก ข้าจะบีบคอมันให้ดู”อาหมานกล่าวพร้อมกับชูกำปั้นขึ้นมา

หลงเฉินตรวจสอบร่างกายของอาหมานอยู่ครู่หนึ่งก็พบว่าพลังของอาหมานในตอนนี้มีมากมายเลยทีเดียว เส้นเอ็นภายในร่างกายของเขาก็ตื่นขึ้นมาถึงสามส่วนแล้ว

และส่วนเนื้อเยื่อก็ไม่ได้อยู่ในสภาพจำศีลอีกต่อไป แม้แต่เขาเองก็ยังรู้สึกตื่นเต้นตามไปด้วย นี่พวกเขาติดหนี้บุญคุณอันใหญ่หลวงจากยอดฝีมือแห่งดินแดนหลิงเจี่ยเข้าให้แล้ว

“นี่ก็เลยช่วงกลางวันมาแล้ว เป่าเอ๋อรีบจัดเตรียมอาหารเถิด ข้ากับเฉินเอ๋อเดินทางมาทั้งวันแล้วยังไม่ได้กินแม้แต่น้ำหยดเดียวเลย” หลงเทียนเซียวกล่าว ตอนนี้เป่าเอ๋อได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้ดูแลประจำตระกูลหลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะเด็กสาวนางนี้ทำงานได้เป็นอย่างดีและจัดการเรื่องราวทุกสิ่งอันได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนเป็นอย่างยิ่ง

หลงเฉินจึงหยอกเย้าเด็กสาวออกไปว่า “นึกเสียดายอยู่เช่นกัน หากเป่าเอ๋อแต่งออกไปเพราะมีเขยขวัญที่เหมาะสมมาสู่ขอจะทำอย่างไรดีนะ?” เป่าเอ๋อที่ได้ยินก็เกิดความเขินอายจนหน้าแดงก่ำ แล้วรับวิ่งหนีออกไป ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูเช่นนั้นได้ทำให้ผู้คนต่างหัวเราะออกมา

ส่วนฉู่เหยาก็กลายเป็นคนของตระกูลหลงไปเสียแล้ว มีบางครั้งบางคราวที่แวะไปเยี่ยมฉู่ฟงบ้าง ทว่าเวลาส่วนใหญ่ก็มักจะหมกตัวอยู่แต่ในจวนของตระกูลหลง

เมื่ออาหารได้จัดวางอยู่บนโต๊ะทั้งหมดแล้ว ฉู่เหยาก็ได้พูดถึงเรื่องราวภายในจักรวรรดิเพื่อให้หลงเฉินทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ซึ่งบัดนี้มียอดฝีมือที่แข็งแกร่งจำนวนมากเข้ามาภายในจักรวรรดิ

แน่นอนว่าหลงเฉินย่อมทราบดีว่าพวกเขาเป็นคนจากสำนัก และมาเพื่อเจรจาเรื่องส่วนแบ่งของเหมืองศิลาปราณ ฉะนั้นหากเขาคิดที่จะเข้าร่วมกับสำนักหนึ่ง ช่วงเวลาเช่นนี้ย่อมเป็นโอกาสที่ดีที่สุดแล้ว

เมื่อนึกถึงผู้คนที่มีสำนักขึ้นมา หลงเฉินก็เห็นภาพชายหนุ่มชุดขาวขึ้นมาในทันที ชายผู้นั้นเป็นเพียงศิษย์สายนอก ทว่ากลับมีพลังที่น่าหวาดกลัวได้ถึงเพียงนี้ ฉะนั้นพลังของศิษย์สายในย่อมไม่อาจกล่าวถึงได้อย่างแน่นอน และถ้าหากเขาสามารถเข้าร่วมกับสำนักใดสำนักหนึ่งได้ก็คงจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นแน่

เมื่อได้ยินมาว่ายอดฝีมือผู้สูงศักดิ์เล่านั้นได้ไปรวมตัวกันที่ชุมนุมผู้หลอมโอสถ หลงเฉินจึงรีบพาฉู่เหยาและอาหมานไปที่ชุมนุมผู้หลอมโอสถในทันที

ในขณะที่ประตูใหญ่ของชุมนุมผู้หลอมโอสถปรากฏอยู่ที่เบื้องหน้า ทันใดนั้นเองที่ประตูใหญ่ก็ถูกเปิดออกแล้วก็มีเสียงดังเอะอะโวยวายดังขึ้นมา เฒ่าชราผู้หนึ่งเดินออกมาจากบานประตูใหญ่ด้วยอารมณ์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยโทสะ

เฒ่าชราผู้นั้นเดินตรงมาเรื่อยๆ ด้วยความรวดเร็วประดุจคลื่นมหาสมุทรที่ซัดเข้าฝั่ง จากนั้นร่างนั้นก็ได้พุ่งมาหยุดที่เบื้องหน้าของหลงเฉินและพวกพ้องในทันที

หลงเฉินตกใจขึ้นมายกใหญ่พลันก็ก้าวฝีเท้าหลบออกไปทางด้านข้าง เฒ่าชราผู้นั้นเคลื่อนไหวราวกับเป็นสายลมหอบหนึ่งผ่านไป แม้แต่ฉู่เหยายังไม่อาจทรงตัวได้ ยังดีที่หลงเฉินจับประคองเอาไว้ได้ทันท่วงที

“คนผู้นั้นเป็นผู้ใดกัน ช่างน่าหวาดกลัวเสียจริง” ฉู่เหยาเหม่อมองไปยังเงาร่างเฒ่าชราที่ค่อยเลือนรางออกไปด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตกใจ

“อายุขัยก็มากมายถึงเพียงนั้นแล้ว คงจะรีบไปเกิดใหม่เสียกระมัง อย่าไปสนใจเขาเลย พวกเราไปต่อกันเถิด”

ในขณะที่หลงเฉินกำลังจะก้าวเดินต่อไป จู่จู่เสียงตะโกนเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง

“หยุดก่อน เจ้าคือหลงเฉินอย่างนั้นหรือ?”….

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset