เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 119 ก่อโลหิตระดับที่สี่

ท่ามกลางหุบเขาอันมีผืนป่ารกทึบและลี้ลับก็ได้มีเสียงของสัตว์มายามากมายดังขึ้นมาไม่ขาดสาย หลงเฉินก็ขี่หลังเสี่ยวเสว่ยด้วยใบหน้าที่ปั้นยากขึ้นมาอย่างรุนแรง

“ตาเฒ่าบัดซบ ตาเฒ่าไร้ยางอาย ตาเฒ่าหลอกลวง”

ปากของหลงเฉินขยับไปมาอย่างต่อเนื่อง เสียงด่าทอถู่ฟางดังขึ้นมาไม่หยุด เขาได้พลาดท่าให้กับเฒ่าชราผู้นั้นอย่างน่าอเนจอนาถอย่างยิ่ง ตั้งแต่ที่รับแผนที่มาจากถู่ฟางก็แทบจะสลบหมดสติไปหลายครั้งแล้ว

เมื่อมองไปยังแผนที่ที่เป็นตาราง หลงเฉินก็กวาดสายตามองไปที่ตำแหน่งของสำนักพลิกสวรรค์บนแผ่นกระดาษ ทว่าเมื่อลองตรวจทานดูไปสามรอบก็พบว่าที่มุมกระดาษมีตัวอักษรตัวเล็กๆ ขนาดเท่ายุงซึ่งระบุว่าเป็นจักรวรรดิเฟิงหมิง

หลงเฉินทอแววตาโง่งมขึ้นมาในทันที จากจักรวรรดิเฟิงหมิงไปถึงสำนักพลิกสวรรค์แล้วกลับอยู่ในระยะห่างที่มากถึงยี่สิบหมื่นลี้ อีกทั้งยังเป็นทางเส้นตรงอย่างเดียวอีกด้วย

กลางแผนมีเครื่องหมายของภูเขาอยู่หลายจุด ฉะนั้นบริเวณเหล่านั้นจึงมีสัตว์มายาระดับสูงปรากฏตัวขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ขอเพียงเขาไม่มีความคิดที่จะกลายเป็นอาหารอันโอชะของเหล่าสัตว์มายาพวกนั้นก็จำเป็นจะต้องหาทางอ้อมออกจากป่าลึกแห่งนี้เสียแล้ว

หลงเฉินบังเกิดโทสะขึ้นมายกใหญ่ ตาเฒ่าถู่ฟางผู้นั้นเพียงแสดงท่าทีที่เคร่งขรึมก็เท่านั้น ทว่าความเป็นจริงแล้วกลับเป็นเพียงคนหลอกลวงผู้หนึ่ง เจ้าหนูที่อยู่ในขอบเขตก่อโลหิตผู้หนึ่งอย่างเขาต้องเดินทางฝ่าป่าดงพงไพรไปสู่จุดหมายที่ห่างไกลเช่นนี้ช่างไม่ต่างกับการไปหาที่ตายอย่างนั้นหรือ?

ทว่าที่เขายังไม่ทราบนั่นก็คือกฎเกณฑ์การเข้าร่วมกับสำนักพลิกสวรรค์นั้นเข้มงวดเป็นอย่างมาก สำนักมักจะมีการวิธีการคัดสรรค์ศิษย์ที่หินกว่าสำหนักอื่น

หลงเฉินที่ไม่มีรากปราณจึงแทบจะไม่มีคุณสมบัติในการเข้าร่วมการทดสอบแล้ว ทว่าถู่ฟางกลับให้หลงเฉินเข้าร่วมการทดสอบเช่นนี้ก็ถือเป็นการกระทำที่แหกกฎของสำนักอย่างไม่น่าให้อภัยแล้ว

เช่นนั้นเพื่อหาข้ออ้างเข้าบอกกล่าวต่อตึกข้าง เขาจึงให้หลงเฉินเดินทางผ่านผืนป่าที่มีระยะทางกว่ายี่สิบหมื่นลี้ จึงจะเป็นสิ่งชดเชยที่เหมาะสมจนไม่มีผู้ใดต่อต้านขึ้นมาได้แล้ว

หลงเฉินจึงไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง หากเขามีเวลาหนึ่งเดือนที่จะไปถึงสำนักพลิกสวรรค์ก็ต้องเดินทางอย่างน้อยวันละแปดพันลี้ และหากเป็นการเดินทางไปตามเส้นทางปกติ ด้วยระดับความเร็วของเสี่ยวเสว่ยในตอนนี้กลับไม่เป็นปัญหาใหญ่อันใด ทว่าตอนนี้พวกเขากลับกำลังเข้าสู่ผืนป่าและขุนเขาอันสูงชันที่ไม่ใช้เส้นทางที่เหมาะต่อการเดินทาง อีกทั้งยังต้องระมัดระวังการโจมตีจากสัตว์มายาด้วย

การเดินทางผ่านไปได้แค่เพียงเจ็ดวันกลับทำให้หลงเฉินพบเจอกับประสบการณ์ครั้งเลวร้ายอยู่หลายครั้ง ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาเขาได้พบเจอกับสัตว์มายามากมายที่คอยขวางทางเอาไว้ ทว่าโชคยังดีที่เขายังสามารถสังหารพวกมันลงไปได้

บัดนี้หลงเฉินเดินทางมาแล้วกว่าสามหมื่นลี้ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามที่คาดการณ์เอาไว้ตั้งแต่ต้น จึงทำให้เขาทั้งโมโหทั้งโกรธเกรี้ยวขึ้นมาอย่างถึงที่สุด

“ผัวะผัวะ”

เพลิงกาฬสายหนึ่งถูกกระตุ้นขึ้นมาไม่หยุด ท่ามกลางป่าลึกลับแห่งนั้นก็ได้มีเพลิงกาฬที่สูงกว่าหนึ่งจั่งลุกโชนขึ้นมา อีกทั้งยังทอประกายแสงสว่างวาบปกคลุมบรรยากาศโดยรอบ

ถัดจากเปลวเพลิงเมื่อครู่ก็ได้มีหนังอสรพิษยาวถึงสิบจั่งขึงอยู่บนต้นไม้สูงต้นหนึ่ง ซึ่งกำลังถูกเผาจนเกิดเสียงดังชี่ชี่ขึ้นมาต่อเนื่อง ส่งกลิ่นหอมของเนื้อที่สุดได้ที่โชยไปทุกสารทิศ

หลงเฉินและเสี่ยวเสว่ยหยุดพักร่างกายอยู่ที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง ก่อนที่จะกินอาหารมือใหญ่กันอย่างไม่คิดชีวิต ปกติหลงเฉินจะกินได้ไม่มากทว่าในตอนนี้ยิ่งกินกลับยิ่งทำให้เขาสามารถคลายความกังวลที่อยู่ภายในจิตใจลงไปได้ ฉะนั้นเขาจึงตั้งหน้าตั้งตากัดกินเนื้อหนังเหล่านั้นจนหนังท้องเต่งตึงขึ้นมา

ส่วนเสี่ยวเสว่ยเองก็กัดกินอย่างบ้าคลั่งด้วยเช่นกัน หากเทียบระดับความเร็วในการกินแล้วย่อมเร็วกว่าหลงเฉินมาก เนื้อหนังทั้งหมดที่หามาได้ตกสู่ท้องของหลงเฉินไปเพียงสิบกว่าชั่ง ทว่าส่วนที่เหลือกว่าร้อนชั่งกลับเข้าไปในท้องของเสี่ยวเสว่ยจนหมดสิ้น

ปกติแล้วการย่างเนื้อสัตว์ในป่านับเป็นเรื่องที่อันตรายที่สุด เพราะจะเป็นการชักนำสัตว์มายาที่ดุร้ายให้เข้ามากร่ำกรายได้ ทว่าหลงเฉินกลับไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว พวกเขามีเวลาจำกัดจึงจำเป็นที่จะต้องเร่งเดินทาง อีกทั้งยังต้องฝึกฝีมือในยามค่ำคืนอีกด้วย

เสี่ยวเสว่ยเป็นสัตว์มายา มีกายเนื้อที่แข็งแกร่งจึงสามารถเดินทางโดยที่ไม่หลับนอนหรือพักผ่อนได้หลายวันหลายคืน อีกทั้งมันไม่จำเป็นที่จะต้องฝึกยุทธ์ ขอเพียงมีอาหารให้กินก็เพียงพอแล้ว

ตลอดรายทางมานี้มีแต่สัตว์มายาที่ไม่อยู่ในสายตาของหลงเฉินให้พบพานอยู่ตลอด เขาจึงสามารถเลือกสักตัวมาทำเป็นอาหารเย็นให้กินจนอิ่มหนำสำราญได้ทุกมื้อ หลังจากที่กินเสร็จแล้วหลงเฉินก็จะเริ่มต้นการฝึกยุทธ์ ส่วนเสี่ยวเสว่ยก็จะงีบหลับอยู่ข้างกายของเขา

เสี่ยวเสว่ยได้กินอิ่มทุกมื้อและทุกวัน จึงทำให้ร่างกายของเจ้าหนูน้อยเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนทำให้หลงเฉินตกใจเป็นอย่างมาก ในตอนนี้เสี่ยวเสว่ยมีลำตัวยาวถึงห้าจั่งแล้ว อีกทั้งยังมีระดับความสูงเดียวกันกับหลงเฉิน ทำให้เสี่ยวเสว่ยดูมีความห้าวหาญและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังมากยิ่งขึ้น

ระดับพลังและความเร็วของเสี่ยวเสว่ยก็ได้เพิ่มสูงขึ้นไปพร้อมกับร่างกายที่เติบโตขึ้น หลงเฉินจึงทั้งตกใจทั้งยินดีขึ้นมาอย่างไม่เสื่อมคลาย เพราะเสี่ยวเสว่ยจะทำให้เขาสามารถเดินทางไปถึงสำนักพลิกสวรรค์ได้ภายในหนึ่งเดือนอย่างแน่นอน

ในขณะที่ดีใจอย่างลิงโลดอยู่นั้นหลงเฉินก็นึกขอบคุณม่งฉีที่มอบเสี่ยวเสว่ยมาให้ เรียกได้ว่าเป็นพระคุณอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ อีกทั้งยังสามารถช่วยเหลือเขาได้อย่างมากเลยทีเดียว

เมื่อได้รับการคุ้มครองจากเสี่ยวเสว่ยแล้ว ไม่ว่าสัตว์มายตัวใดก็ไม่สามารถเข้ามาก่อความวุ่นวายได้แล้ว ฉะนั้นหลงเฉินจึงสามารถฝึกยุทธ์ได้อย่างสบายใจ

เมื่อหลงเฉินหลับตาลงอย่างช้าๆ ก็รับรู้ได้ว่าจิตปราณของเขาเข้าสู่สภาวะสงบนิ่งแล้ว ในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความว่างเปล่าเช่นนี้จะต้องทำให้เขาทะลวงพลังจนถึงขั้นลืมเลือนทุกสรรพสิ่งที่อยู่รอบข้างไปได้เลย

วงแหวนแห่งเทพที่มีความกว้างกว่าร้อยจั่งก็ได้ปรากฏขึ้นที่ด้านหลัง วังวนขนาดใหญ่สายหนึ่งกำลังดูดซับพลังลมปราณฟ้าดินเข้าไปภายในร่างกายของหลงเฉินอย่างละโมบ

เมื่อพลังลมปราณเข้าสู่จุดดารากักวายุแล้ว ที่จุดดารากักวายุก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวไปมาอยู่ครู่หนึ่ง พลังลมปราณฟ้าดินเข้าอัดแน่นอยู่ในจุดดารากักวายุจนแปรเปลี่ยนเป็นความบริสุทธิ์ จากนั้นก็ค่อยๆ ไหลเวียนไปตามส่วนต่างๆ ภายในร่างกายของหลงเฉิน จนท้ายที่สุดก็ได้เข้าไปสู่หยาดโลหิตแต่ละสายจนหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน

สิ่งเจือปนที่อยู่ภายในหยาดโลหิตถูกขับออกมาสู่ภายนอกร่างกายคล้ายกับหยดน้ำที่เข้มข้นชนิดหนึ่ง อีกทั้งยังแฝงเอาไว้ด้วยกลิ่นเหม็นตลบอบอวนไปทั่ว นี่ก็คือก่อโลหิตที่หลอมรวมขึ้นมาจากแก่นแท้ของหยาดโลหิตอันบริสุทธิ์ เสมือนเป็นการบำรุงร่างกายด้วยความบริสุทธิ์จนทำให้กายเนื้อประดุจได้ผลัดเปลี่ยนเนื้อเยื่อใหม่อย่างไรอย่างนั้น อีกทั้งยังทำให้พลังเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

“ตูม”

ภายในร่างกายของหลงเฉินบังเกิดเสียงระเบิดดังขึ้นครั้งหนึ่ง บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเหยียดขึ้นมาอย่างพึงพอใจ ทุกกระแสลมหายใจมีขุมพลังชีวิตเพิ่มพูนขึ้นมาอย่างท่วมท้น

เมื่อดวงตาคู่คมลืมขึ้นมาก็เห็นว่าท้องฟ้าในทิศตะวันออกเริ่มกลายเป็นสีครามแล้ว พลันก็ได้ลูบคลำไปที่แผ่นหยกด้วยสภาวะจิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น

นี่เป็นสิ่งที่บิดาและมารดาบังเกิดเกล้าหลงเหลือไว้ให้เขา ของขวัญเพียงชิ้นเดียวทว่ากลับลี้ลับอย่างถึงที่สุด หยกแผ่นนี้ทำให้เขาคลายความกังวลจากทุกสรรพสิ่งไปได้อย่างรวดเร็วจนเข้าสู่สภาวะของสมาธิได้เต็มที่ และบัดนี้เขาก็สามารถเพิ่มพูนระดับการฝึกยุทธ์ขึ้นมาได้เป็นเท่าตัว

“ซูม”

เมื่อลองปล่อยหมัดออกไป บรรยากาศโดยรอบก็ได้เกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง คมหมัดแหวกผ่านสายลมแล้วพุ่งออกไปกระแทกเข้ากับต้นไม้ใหญ่ที่ห่างออกไปสิบจั่ง

“ปัง”

ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นพังทลายลงมาราวกับเป็นน้ำตกสายหนึ่งจนเกิดเสียงดังซู่อย่างต่อเนื่อง

“พลังของกายเนื้อแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ทักษะยุทธ์ก็สามารถปะทุพลังออกมาได้ อีกทั้งยังเกิดผลลัพธ์ที่น่าหวาดกลัวถึงเพียงนี้ ขอบเขตก่อโลหิตช่างน่าสนใจยิ่งนัก” หลงเฉินลูบไปที่กำปั้นอยู่หลายครั้งด้วยความรู้สึกเร่าร้อนเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อหยาดโลหิตภายในร่างกายถูกชำระไปถึงสี่ครั้งแล้ว กายเนื้อของเขาก็ได้ปะทุพลังอันมหาศาลขึ้นมาจนแม้แต่ตัวเองก็ยังต้องตกใจ ขอบเขตก่อโลหิตกับขอบเขตขั้นก่อรวมนั้นช่างแตกต่างกันอย่างลิบลับ

หลังจากผ่านการชำระหยาดโลหิตไปครั้งหนึ่งก็ได้ทำให้เม็ดโลหิตเกิดการขยายตัว เมื่อถูกเก็บสะสมเอาไว้จนท่วมท้นก็ทำให้การไหลเวียนของโลหิตทะยานเข้าสู่ระดับความเข้มข้นที่สูงขึ้นกว่าเดิมหรือที่เรียกว่าการรวมพลังเพื่อเข้าสู่ขั้นต่อไปนั่นเอง

ตามปกติแล้วการทะลวงเข้าสู่ขั้นพลังมักจะใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งเดือน ทว่าด้วยประโยชน์จากเคล็ดกายานวดาราหรืออย่างไรก็ไม่ทราบที่ช่วยให้เขาเข้าสู่ขั้นก่อโลหิตครั้งที่หนึ่งได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วยามก็สามารถเก็บสะสมหยาดโลหิตเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยม

ส่วนครั้งที่สองก็ใช้เวลาเพียงหนึ่งวัน ครั้งที่สามใช้เวลาไปเพียงสองวัน และขณะนี้ก็เป็นครั้งที่สี่ซึ่งหลงเฉินคาดว่าจะสามารถเข้าสู่ระดับขอบเขตก่อโลหิตขั้นนี้ในไม่ช้าอย่างแน่นอน

“ฮูม”

ทันใดนั้นเสี่ยวเสว่ยก็ได้ส่งเสียงร้องขึ้นมา หลงเฉินจึงรีบรั้งรอยยิ้มเข้ามาเก็บไว้แล้วกล่าวกับเจ้าหนูน้อยว่า “ได้ ได้ เร่งเดินทางกันเถิด”

เสี่ยวเสว่ยที่เห็นหลงเฉินเอาแต่หัวเราะอย่างโง่งมอยู่จึงได้ส่งเสียงร้องออกไป เพราะถึงเวลาที่จะต้องออกเดินทางแล้ว พลันก็ได้ก้าวฝีเท้าทะยานไปยังเบื้องหน้าประดุจดประกายแสงจากดาวตกอย่างไรอย่างนั้น

“ฮาฮา เสี่ยวเสว่ย ความเร็วของเจ้าเร็วกว่าเมื่อวานนี้เสียอีก” หลงเฉินตะโกนฝ่าเสียงสายลมโหยหวนด้วยความตื่นเต้น ความเร็วฝีเท้าของเสี่ยวเสว่ยนั้นเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนี้ก็คงไม่ต้องเร่งเดินทางเหมือนกับถูกไฟรนก้นแล้ว

“ฮูม”

“หือ เจ้าจะบอกว่าขอเพียงมีเนื้อให้กิน เจ้าก็จะว่องไวขึ้นเรื่อยๆ อย่างนั้นใช่หรือไม่? ได้เลย วันนี้พวกเรามาลองจัดการกับสัตว์มายาระดับสามกัน ให้เจ้าได้ลับคมเขี้ยวเสียบ้าง” หลงเฉินเองยิ้มกว้างแล้วลูบไปที่แผงขนด้านข้างของเจ้าหนูน้อย

เมื่อเดินทางมาเรื่อยๆ จากผืนป่าที่เคยอยู่โดยรอบก็ปรากฏให้เห็นเป็นทะเลทรายอันกว้างใหญ่ผืนหนึ่งที่มีทรายสีเหลืองทองปกคลุมไปทั่วพื้นที่หมื่นลี้จนไกลสุดลูกหูลูกตา ให้ความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเย็นยะเยือกชนิดหนึ่ง

หลงเฉินดึงแผนที่ขึ้นมาดูอีกครั้งเพื่อให้มั่นใจแล้วก็พยักหน้าไปมา เขาแน่ใจในทันทีว่าไม่ได้มาผิดทาง เพราะทะเลทรายผืนนี้เป็นทางเข้าสู่ผืนป่าที่เขาจะต้องมุ่งไปให้ถึง เมื่อสำรวจดูตามตารางในแผนที่อย่างละเอียดแล้วก็อดไม่ได้ที่จะตกใจขึ้นมายกใหญ่

“เสี่ยวเสว่ย เส้นทางผ่านทะเลทรายผืนนี้มีระยะทางกว่าสามหมื่นห้าพันลี้จนถึงสามหมื่นเจ็ดพันลี้ ที่นี่มีแต่ทราย ไม่มีน้ำแม้แต่หยดเดียว ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ต้องผ่านเส้นทางสายนี้ อย่างน้อยก็ต้องเดินทางถึงสี่ห้าวัน เจ้าจะสามารถอดทนได้หรือไม่?” หลงเฉินถามออกไปด้วยกังวลอย่างเต็มเปี่ยม

พื้นทรายที่อาจทำให้ความเร็วของเสี่ยวเสว่ยถูกลดทอนลงไป อีกทั้งยังทำให้สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไปเป็นจำนวนมาก เขาจึงกังวลว่าเสี่ยวเสว่ยจะไม่อาจแบกรับความกดดันเช่นนี้ได้

“โบร๋ว”

“ไม่ได้ ไม่ได้ จะไม่มีปัญหาเลยย่อมเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ด้วยหนทางเช่นนี้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ย่อมต้องมีบางอย่างผิดพลาดขึ้นมาได้ หากว่าไม่มีความสำเร็จที่แน่นอน พวกเราก็จะไม่ทำ”

เสี่ยวเสว่ยราวกับบอกกล่าวว่าสามารถไปได้ ทว่าหลงเฉินกลับไม่กล้าเสี่ยง ตามปกติแล้วหากไม่ดื่มไม่กินเป็นเวลาสามถึงห้าวันย่อมไม่ถึงกับตายลงไปอยู่แล้ว ทว่าการอยู่ท่ามกลางทะเลทรายที่มีแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมา ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีน้ำมาช่วยทดแทน ไม่อย่างนั้นร่างกายอาจจะเข้าสู่อันตราย ต่อให้เป็นร่างกายของสัตว์มายาเองก็ใช่ว่าจะทนรับได้

หลงเฉินเข้าสู่ห้วงความคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ให้เสี่ยวเสว่ยวกกลับเข้าไปในผืนป่า เขาคิดจะตัดต้นไม้ใหญ่แล้วนำเนื้อไม้ออกมาทำเป็นถังน้ำ

ทว่าหลงเฉินกลับเสมือนโชคเข้าข้าง เขาพบเข้ากับป่าไผ่สายหนึ่งที่ไม่ทราบว่าเป็นชนิดใด เพราะมันทั้งสูงและยาว อีกทั้งยังลำต้นกว้างเท่ารอบเอวของมนุษย์ผู้หนึ่ง ช่างเหมาะจะเป็นถังน้ำเป็นอย่างมาก

เขาก็ทำหารโค่นล้มและตัดต้นไผ่ไปสี่สิบท่อน จากนั้นก็นำไปหาแหล่งน้ำที่สะอาดที่อยู่ใกล้ๆ เพื่อตักตวงน้ำจนเต็มถังแล้วก็จัดเก็บเอาไว้ในแหวนมิติ

โชคยังดีที่ช่องว่างภายในแหวนมิติยังเหลือที่จัดเก็บอยู่อีกมาก จึงไม่ต้องพะวงว่าจะเกิดความหิวกระหายไปตลอดรายทางเพราะเขาสามารถนำมันออกมาได้ตลอดเวลา

จากนั้นหลงเฉินและเสี่ยมเสว่ยก็ได้ออกเดินทางผ่านทะเลทรายจากที่ตื้นๆ ก็เริ่มลึกขึ้น แม้แต่ต้นหญ้าก็ยังไม่อาจเจริญเติบโตได้ พื้นที่ที่เขากับเสี่ยวเสว่ยอยู่ทอประกายสีทองของผืนทรายไกลออกไปจนจรดกับขอบฟ้าสีคราม

ความร้อนจากดวงตะวันแผดเผาลงมาอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง ให้ความรู้สึกร้อนระอุที่ไม่ต่างไปจากเพลิงกาฬที่เขาเคยใช้ออกมาเลยแม้แต่น้อย

“เสี่ยวเสว่ย เจ้ามีปัญหาอันใดหรือไม่?” หลงเฉินถามไปทางเจ้าหนูน้อย เสี่ยวเสว่ยไม่ได้ส่งเสียงอันใดตอบกลับมา ยังคงวิ่งตะบึงฝ่าผืนทรายอันกว้างใหญ่ออกไปอย่าไม่ย่อท้อ ทว่าความเร็วของเสี่ยวเสว่ยกลับเป็นไปตามที่เขาคาดเดาไว้ มันถูกลดทอนลงไปเป็นอย่างมาก หลงเหลือเพียงแค่เจ็ดแปดส่วนเท่านั้น

อีกทั้งการทรุดตัวของพื้นทรายยังทำให้เสี่ยวเสว่ยต้องสูญเสียพลังกายไม่น้อยเลย ตั้งแต่ออกจากผืนป่ามาจนกระทั่งฟ้ามืด พวกเขาเดินทางได้เพียงห้าพันลี้เท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้เขาคงจะต้องคำนวณช่วงเวลาในการเดินทางผ่านผืนทะเลทรายแห่งนี้อีกครั้ง

กลางคืนในทะเลทรายช่างหนาวเหน็บไปจนถึงกระดูกดำ แม้แต่น้ำก็ยังกลายเป็นน้ำแข็งซึ่งแตกต่างจากช่วงกลางวันโดยสิ้นเชิง ที่ทำให้หลงเฉินรู้สึกย่ำแย่อย่างมากนั่นก็คือท่ามกลางทะเลทรายแห่งนี้มีพลังลมปราณอยู่เพียงน้อยนิด น้อยเสียจนเขาคร้านที่จะทำการฝึกยุทธ์ จึงได้เอนกายฝังอยู่ในเส้นขนของเสี่ยวเสว่ยแล้วหลับไหลไป

“ฮูม”

เมื่อหลับไปได้ครึ่งคืน เสี่ยวเสว่ยก็ได้ส่งเสียงคำรามออกมาจนปลุกหลงเฉินให้ตื่นขึ้น ….

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset