ภายใต้แสงสว่างจากดวงจันทราในยามค่ำคืนอันมืดมิดที่สาดส่องลงมายังผืนทราย หลงเฉินจึงคาดคิดไปว่าประกายแสงนั้นคงจะมาจากดวงดารานับหมื่นพันที่ประดับอยู่บนฟากฟ้าจึงไม่ได้ใส่ใจ
การเกิดประกายแสงกลางผืนทะเลทรายอันกว้างใหญ่ในช่วงเวลาที่คับขันเช่นนี้ย่อมไม่ได้สอดคล้องกับสามัญสำนึกปกติเลยแม้แต่น้อย ทว่าหลงเฉินกลับรู้สึกว่าที่แห่งนั้นมีบางอย่างที่กำลังคุ้มครองเขาอยู่ส่วนหนึ่ง
หากหลงเฉินต้องเผชิญหน้ากับแมงป่องทะเลทรายนับสิบตัวแต่เพียงผู้เดียวก็คงจะไม่ได้เป็นปัญหาที่ใหญ่หลวงนัก เพราะเพียงใช้พลังของเพลิงโอสถออกมาก็พอที่จะสามารถเอาชนะจากแมงป่องทะเลทรายเหล่านี้ได้
ทว่าเมื่อมีเสี่ยวเสว่ยอยู่ด้วยกลับไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงแม้ว่าเจ้าหนูน้อยจะเป็นถึงหมาป่าหิมะแดงเพลิง ที่เป็นสัตว์มายาระดับสาม อีกทั้งยังเป็นสัตว์ธาตุลมที่สามารถหนุนเสริมพลังของเพลิงได้เป็นอย่างดี
ทว่าเสี่ยวเสว่ยในขณะนี้กลับมีพลังฝีมือเทียบเท่ากับสัตว์มายาระดับสองเท่านั้น และยังอยู่ในช่วงเจริญเติบโต ถึงแม้จะสามารถใช้ทักษะยุทธ์อย่าง——คมวายุออกมาได้ แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถปลดปล่อยพลังออกมาได้มากและควบคุมพลังของตัวเองได้อย่างแม่นยำ
หมาป่าหิมะแดงเพลิงจะต้องเข้าสู่ระดับสามแล้วเท่านั้นจึงจะปะทุพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาและปลุกสภาวะของเพลิงขึ้นมาได้ เมื่อทั้งวายุและเพลิงได้ผนึกกำลังกันแล้วนั้นจึงจะทำให้หมาป่าหิมะแดงเพลิงกลายเป็นสัตว์มายาระดับสามที่มีพลังสูงสุดได้อย่างสมบูรณ์
ฉะนั้นหากหลงเฉินใช้เพลิงโอสถออกมาเพื่อจัดการแมงป่องทะลายทรายทั้งสิบตัว เสี่ยวเสว่ยย่อมไม่อาจต้านทานเพลิงโอสถของเขาเอาไว้ได้อย่างแน่นอน
“เสี่ยวเสว่ย ไล่ตามแสงสว่างไปเลย”
หลังจากที่หลงเฉินได้ตะโกนประโยคหนึ่งออกไปก็ได้หันศีรษะกลับไปมองยังกลุ่มแมงป่องทะเลทรายนับสิบตัวที่บัดนี้ได้อยู่ห่างออกไปหลายร้อยจั่งแล้ว
เสี่ยวเสว่ยพยายามตะเกียกตะกายไปตามผืนทรายที่ทรุดตัว แข่งกับความเร็วของแมงป่องทะเลทรายที่เป็นเจ้าถิ่น ทว่าพวกมันกลับเพิ่มจำนวนขึ้นมาจากเดิมจนน่าหวาดกลัว
มือข้างหนึ่งของหลงเฉินยื่นออกไปยังเงาร่างของอสูรกาย พลันก็ได้ปะทุเพลิงปราณภายในร่างกายขึ้นมาไว้ที่ใจกลางฝ่ามือ ลูกเพลิงขนาดเล็กลูกหนึ่งพุ่งพล่านขึ้นมาอย่างรุนแรง
ทว่านี่ไม่ใช่ทักษะยุทธ์ เป็นเพียงการไหลเวียนพลังเพลิงกาฬชนิดหนึ่งที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับทักษะยุทธ์ชนิดหนึ่งเลยก็ว่าได้ หากผู้หลอมโอสถคนอื่นพบเห็นเข้า แน่นอนว่าย่อมต้องมีปากอ้าตาค้างกันบ้างแน่นอน
หากผู้หลอมโอสถธรรมดาสามัญไหลเวียนพลังเช่นนี้ออกก็แทบจะไม่ต่างอันใดไปจากการหาที่ตายด้วยตัวเอง ถึงแม้ว่าจะเพลิงปราณจะเป็นพลังเพลิงดั่งเดิม ทว่าก็ยังไม่มีผู้ใดหาญกล้าพอที่จะใช้ออกมา
‘เพลิงปราณย่อมไร้ซึ่งจิตใจ’ ทุกครั้งที่ผู้หลอมโอสถได้สั่งสอนศิษย์ต่างก็มักจะกล่าววาจาประโยคนี้เพื่อเตือนสติอยู่เสมอ
เพลิงกาฬเป็นแหล่งกำเนิดแห่งเพลิงที่ไหลเวียนอยู่ภายในโลหิตและเนื้อหนังที่ผสานเข้ากับพลังแห่งจิตวิญญาณจนกลายเป็นพลังอันแข็งแกร่งที่สามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตราชันโอสถได้เลยทีเดียว
ปรมาจารย์หวินฉี เว่ยชาง และหวังลู่หยางต่างก็เป็นผู้หลอมโอสถในระดับสูง ทว่ามีเพียงปรมาจารย์หวินฉีเท่านั้นที่มีแหล่งกำเนิดแห่งเพลิงชนิดนี้อยู่
ไม่ใช่เพราะว่าปรมาจารย์หวินฉีมีพรสวรรค์ ทว่าเป็นเพราะปรมาจารย์หวินฉีตระหนักถึงความยากลำบากของการเสาะหาเพลิงปราณที่เหมาะสมจึงได้หลอมรวมสัตว์เพลิงที่เก็บสะสมเอาไว้จนกลายเป็นแหล่งกำเนิดแห่งเพลิง
ส่วนเว่ยชางกับหวังลู่หยางนั้นกลับไม่มีใจฝักใฝ่ในเส้นทางนี้มาก่อน กระทำเพียงแค่เสาะหาเพลิงปราณที่เหมาะสมและมีอานุภาพร้ายกาจอยู่เป็นเวลานาน
โดยมากแล้วผู้หลอมโอสถระดับสูงมักจะหลอมรวมเพลิงปราณจากสัตว์เพลิงและเพลิงกาฬของสัตว์มายาชนิดเพลิงที่มีความแข็งแกร่งจึงจะทำให้เพลิงสัตว์ของตนแกร่งกล้ามากขึ้นไปด้วย
อีกทั้งสัตว์เพลิงยังสามารถเติบโตได้เพิ่มขึ้นไปพร้อมกับผู้เป็นนาย ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับชนิดของสัตว์เพลิงที่นำมาใช้ด้วยเช่นกันว่าจะมีคุณสมบัติตรงกับผู้เป็นนายหรือไม่ หากไม่มีคุณสมบัติที่เพียงพอก็จะไม่สามารถนำสัตว์เพลิงเข้าสู่ร่างกายได้
ด้วยเหตุนี้เว่ยชางกับหวังลู่หยางจึงไม่ได้ตระหนักถึงความข้อนี้ พวกเขาเพียงแค่เก็บสะสมสัตว์เพลิงระดับสูงเอาไว้ รอคอยวันที่จะหลอมรวมแหล่งกำเนิดแห่งเพลิงอย่างมหาศาลขึ้นมาในครั้งเดียว
ทว่าน่าเสียดายที่สิ่งเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้น พวกเขาถูกปรมาจารย์หวินฉีให้เพลิงกาฬที่เป็นดั่งความฝันขั้นสูงสุดของพวกเขาเผาจนตายไปทั้งเป็น คาดเดาว่าในช่วงเวลาที่ทั้งสองปรมาจารย์ได้ตายลง ไปแล้วคงจะเกิดความเสียใจไม่น้อยเลยทีเดียว ถ้าหากว่าพวกเขามีแหล่งกำเนิดแห่งเพลิงก็คงจะเป็นหวินฉีที่ตายลงไป
ด้วยระดับเปลวเพลิงของปรมาจารย์หวินฉีแทบจะไม่แตกต่างไปจากการหลอมโอสถด้วยขุมพลังที่มีขนาดเท่ามหาสมุทรคาบหนึ่ง หากเกิดความผิดพลาดขึ้นมาเพียงเล็กน้อยอาจแผดเผาตัวเองจนไม่หลงเหลือแม้แต่ซากศพและโครงกระดูกเลยก็ว่าได้
หลงเฉินที่มีความทรงจำของจักรพรรดิโอสถ มีพลังแห่งจิตวิญญาณอันแรงกล้า ผนวกกับเส้นลมปราณที่ถูกขยายใหญ่ขึ้นโดยยอดฝีมือจากดินแดนหลิงเจี่ย ในสายตาของผู้หลอมโอสถอื่นคงจะมองว่าความสามารถเช่นนี้เป็นเสมือนกับดาบสองคม ทว่าเมื่ออยู่ในการควบคุมของหลงเฉินแล้วกลับคล้ายกับการทำอาหารอย่างไรอย่างนั้น
“ตูม”
เปลวเพลิงในมือของหลงเฉินถูกขว้างออกไปยังกลางกลุ่มเงาร่างของแมงป่องทะเลทรายนับสิบตัว เสียงระเบิดดังขึ้นมารุนแรง ประกายเพลิงปะทุขึ้นมาประดุจดอกไม้ไฟที่สวยงามกระจายไปทั่วทุกสารทิศ จากนั้นค่อยๆ แผ่ขยายความรุนแรงจนคลอกกลุ่มแมงป่องทะเลทรายเอาไว้ได้ทั้งหมด
“กี้กี้กี้……”
เสียงร้องเล็กแหลมดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง แล้วเงาร่างนับสิบก็ได้วิ่งเตลิดเปิดเปิงออกไปจากวงล้อมของเพลิงกาฬไปคนละทิศทางอย่างวุ่นวาย
“พลังเพลิงกาฬของข้าช่างอ่อนแอยิ่งนัก”
หลงเฉินแอบนึกเสียดายขึ้นมา หากเขาใช้สัตว์เพลิงในการหลอมโอสถก็ถือว่าไม่ย่ำแย่ ทว่าเมื่อนำมาใช้ในการโจมตี อีกทั้งยังโจมตีต่อสัตว์มายาชนิดมีเปลือกหนาแล้วนั้นกลับถูกลดทอนลงไปเป็นอย่างมาก
เช่นนั้นหากจะทำให้แมงป่องทะเลทรายเหล่านั้นได้รับบาดเจ็บจนทุรนทุรายอย่างแสนสาหัส เขาจึงจำเป็นที่จะต้องปะทุพลังเพลิงโอสถออกมาทั้งหมดจึงจะกระทำได้
ทว่าในตอนนี้เพลิงโอสถของเขามีอยู่จำกัด กระทำได้อย่างมากก็แค่ปลดปล่อยเปลวเพลิงที่แข็งแกร่งที่สุดออกไปได้เพียงครั้งเดียว อีกทั้งยังไม่อาจจัดการพวกมันจนได้รับผลกระทบที่หนักหน่วงจนถึงชีวิตได้
แต่นี่ก็เป็นจุดมุ่งหมายที่หลงเฉินได้บรรลุไปถึงแล้ว เขาต้องการโจมตีด้วยพลังไม่มากเพื่อชักนำให้แมงป่องทะเลทรายเกิดความชุลมุนวุ่นวายแล้วลดทอนกำลงเท่านั้น
รอคอยให้พวกมันเข้ามาใกล้อีก เขาก็จะใช้เพลิงกาฬจู่โจมออกไปอีกกลุ่มหนึ่ง กล่าวอย่างเข้าใจง่ายก็คือกดดันให้พวกมันถอยทัพไปชั่วขณะ ฉะนั้นเขากับเสี่ยวเสว่ยก็จะปลอดภัยเพิ่มขึ้นมาได้อีกขณะหนึ่ง
หลงเฉินจ้องมองไปยังประกายแสงสว่างวาบที่ห่างออกไปก็รู้สึกว่าการสั่นไหวนั้นเกิดขึ้นมาครึ่งชั่วยามแล้ว อีกทั้งยังขยายเป็นวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะพุ่งทะยานเข้าไปเท่าใดก็ไม่อาจเข้าใกล้ได้เสียที
เมื่อแมงป่องทะเลทรายถูกหลงเฉินกระตุ้นความบ้าคลั่งขึ้นมาก็ได้เร่งความเร็วขาไล่ตามมาจากด้านหลังอย่างเอาเป็นเอาตาย ส่วนเสี่ยวเสว่ยก็วิ่งตะบึงหน้าตั้งไปยังแสงสว่างวาบที่อยู่เบื้องหน้า ราวกับค่ำคืนที่มืดมิดนี้ช่างยาวนานกว่าค่ำคืนที่ผ่านมาเป็นไหนๆ
การเดินทางตลอดทั้งคืนได้ดำเนินมาจนถึงช่วงเวลาที่ท้องฟ้าเริ่มส่องแสงจากดวงตะวันสีทอง ในที่สุดหลงเฉินและเสี่ยวเสว่ยก็ได้เดินทางมาถึงสถานที่แห่งหนึ่ง
สถานที่แห่งนี้เป็นเนินเขาที่ไม่ถือว่าสูงมากนัก ดูไปแล้วน่าจะมีระยะอยู่ที่ร้อยจั่ง เมื่อแหงนหน้ามองขึ้นไปแล้วกลับให้ความรู้สึกเสมือนเป็นหลุมฝังศพขนาดใหญ่ ส่วนด้านบนสุดมีแสงสว่างทอประกายอย่างงดงามออกมาจากถ้ำภูเขา
เมื่อหลงเฉินเดินทางเข้าไปใกล้ก็สัมผัสได้ถึงขุมพลังอันน่าหวาดกลัวและแรงหล้าพุ่งพล่านออกมาอย่างบ้าคลั่ง ไอความร้อนแผ่ซ่านเข้ามาสัมผัสกับผิวหนังคล้ายกับถูกแผดเผาอยู่ ทว่าหลงเฉินก็ยังคงมุ่งหน้าเข้าไปภายในถ้ำภูเขาและพบเห็นเพลิงกาฬกลุ่มหนึ่งสถิตอยู่ด้านใน
“ชี่ชี่ชี่ชี่……”
เมื่อเข้าไปอยู่ในเขตแดนของถ้ำภูเขาแล้ว เหล่าแมงป่องทะเลทรายกลุ่มนั้นกลับมีทีท่าว่ากำลังหวาดกลัวต่อสถานที่แห่งนี้อย่างถึงที่สุด พวกมันเอาแต่จ้องมองมาที่หลงเฉินและไม่เคลื่อนไหวแต่อย่างใด
เมื่อวางใจได้แล้วว่าพวกมันจะไม่ตามเข้ามา หลงเฉินจึงได้หยุดฝีเท้าลงเพราะสัมผัสได้ว่าเสี่ยวเสว่ยเริ่มปรับสภาพจากอุณหภูมิที่เปลี่ยนไปเอาไว้ไม่ทัน
ยังดีที่เสี่ยวเสว่ยนั้นเป็นหมาป่าหิมะแดงเพลิงที่แม้ว่าจะยังไม่มีพลังแห่งเพลิงกาฬ ทว่าก็ยังสามารถทานรับอุณหภูมิที่สูงลิบลับเช่นนี้ได้
แมงป่องทะเลทรายที่อยู่ใกล้ปากทางเข้าถ้ำก็ได้แตกกระจายกันออกไปในทันทีคล้ายกับมุ่งหน้ากลับสู่อาณาเขตเดิมของพวกมัน
เมื่อเห็นเช่นนั้นหลงเฉินก็ถอนหายใจออกยาวๆ อยู่หลายครั้ง เพียงสลัดออกจากกลุ่มนักล่าที่น่าขยะแขยงกลุ่มนั้นไปได้ก็ทำให้จิตใจของเขาผ่อนคลายขึ้นมาได้อย่างมากทีเดียว
ทว่าหลงเฉินกลับฉุกคิดขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง เขาสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเท่าใดนัก ในขณะที่แมงป่องทะเลทรายได้จากไปเมื่อครู่นี้กลับมีความเร็วมากยิ่งกว่าตอนที่ไล่ล่าพวกเขาเสียอีก
อีกทั้งทีท่าของพวกมันกลับไม่คล้ายกับการจากไปเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ทว่ากลับ……หลงเฉินรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบจากด้านหลัง จึงรีบหันกลับไปมองอย่างรวดเร็ว
ประกายแสงสว่างอันคมกล้าได้เลือนหายไปจากปากทางเข้าถ้ำ ปรากฏเป็นเงาร่างขนาดใหญ่ที่สามารถปิดปากถ้ำจนมิดชิด บริเวณศีรษะใบโตได้ประกายเพลิงสุมอยู่โดยรอบ ดวงตาสองดวงจ้องมองมาที่หลงเฉินกับเสี่ยวเสว่ยด้วยความอาฆาต
“กิ้งก่าเพลิง”
หลงเฉินส่งเสียงร้องขึ้นมาด้วยความตกใจ เขาจำได้ดีว่าสัตว์มายาขนาดมหึมาตัวนี้คือกิ้งก่าเพลิงที่เป็นหนึ่งในสัตว์มายาธาตุเพลิงที่พบได้ยาก เพียงแค่ใช้ลมหายใจเพลิงกาฬก็สามารถผลาญชีวิตของผู้คนไปได้แล้ว
อีกทั้งกิ้งก่าเพลิงตัวนี้ยังอยู่ในช่วงโตเต็มวัยจึงสมควรที่จะมีพลังการต่อสู้อยู่ในระดับที่น่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดแมงป่องทะเลทรายเหล่านั้นจึงกระทำเหมือนกับกำลังหนีตายออกไป
“ตูม”
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้บุกรุกเข้ามาในเขตแดนของกิ้งก่าเพลิงจนเกิดโทสะขึ้นมายกใหญ่เสียแล้ว พลันก็มีเท้าขนาดใหญ่กระแทกลงไปที่พื้นจนเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง แล้วเงาร่างมหึมานั้นก็ได้กระโจนเข้ามาหาหลงเฉินในทันที
เมื่อกิ้งก่าเพลิงทะยานร่างออกมาจนถึงปากถ้ำแล้ว หลงเฉินก็สามารถเห็นรูปร่างของมันได้ชัดเจนยิ่งขึ้น อสูรกายตัวนี้มีลำตัวยาวเกือบสิบจั่ง หลงเฉินจึงกลายเป็นแมลงหวี่แมลงวันตัวกระจ่อยร่อยตัวหนึ่งไปเลย
“ฮูม”
เสี่ยวเสว่ยส่งเสียงคำรามจนกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณ พร้อมตั้งท่าเข้าโจมตี ทว่ากลับถูกหลงเฉินผลักออกไปทางด้านข้าง
“เจ้าหนูน้อยตัวนี้เป็นของข้า เสี่ยวเสว่ย เจ้าถอยออกไปก่อน”
ในขณะที่หลงเฉินเห็นกิ้งก่าเพลิงปรากฏตัวต่อหน้าก็ได้แตกตื่นขึ้นมาชั่วครู่หนึ่ง ทว่าเมื่อไตร่ตรองดูให้ดีแล้วกลับรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาแทน เพราะเจ้าหนูน้อยตัวนี้เป็นสัตว์มายาธาตุเพลิงที่หายากอย่างถึงที่สุด อีกทั้งยังสามารถนำมาเป็นวัตถุดิบในการสร้างสัตว์เพลิงได้อีกด้วย
เมื่อเห็นกิ้งก่าเพลิงตัวนี้แล้วก็แทบจะสลายความโกรธเกรี้ยวที่มีต่อถู่ฟางไปได้จดหมดสิ้น หากไม่ได้เดินทางมาด้วยตัวเองเช่นนี้ก็คงจะไม่อาจพบเจอกับสมบัติอันล้ำค่าเช่นนี้ได้
หลังจากที่หลงเฉินได้เข้าร่วมกับชุมนุมผู้หลอมโอสถ เขาก็ได้ทำการตรวจสอบคัมภีร์และบันทึกต่างๆ จำนวนมากมายนับไม่ถ้วนที่อยู่ในสภาจึงล่วงรู้ถึงการคงอยู่ของสัตว์เพลิงได้เป็นอย่างดี
ถ้าหากเขาจำไม่ผิด สัตว์เพลิงจากกิ้งก่าเพลิงได้จัดอยู่ในอันดับที่เก้าสิบเจ็ด นั่นก็บ่งบอกได้ว่าสัตว์เพลิงของมันเป็นสมบัติอันล้ำค่าอย่างแน่นอน
ต่อให้ปรมาจารย์หวินฉี เว่ยชาง หรือหวังลู่หยางมาเกิดใหม่อีกชาติ ก็ยังไม่อาจได้พบเห็นกับสมบัติเช่นนี้อยู่ต่อหน้าได้ หลงเฉินจึงพยายามควบคุมสติให้เงียบสงบลง ทว่าก็ยังตื่นเต้นจนลิงโลดขึ้นมาอยู่ดี
เมื่อเสี่ยวเสว่ยออกไปอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว กิ้งก่าเพลิงตัวนั้นกลับยิ่งทวีความเกรี้ยวกราดมากขึ้น ทว่าหากมีเสี่ยวเสว่ยอยู่ด้วย เขาย่อมไม่อาจที่จะปลดปล่อยพลังเพลิงโอสถออกมาต่อสู้ได้อย่างเต็มที่แน่นอน
เสี่ยวเสว่ยชักนำฝีเท้าออกไปจากวงต่อสู้ประมาณพันจั่งเห็นจะได้ ทันใดนั้นกิ้งก่าเพลิงก็ได้พุ่งร่างมหึมาเข้ามาหลงเฉินอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด แล้วอ้าปากกว้างหมายจะงับร่างของเหยื่อให้ขาดสะบั้นในครั้งเดียว
“กลิ่นปากของเจ้าเหม็นยิ่งนัก”
กลิ่นคาวโชยออกมาจากปากที่อ้ากว้างของมันจนทำให้หลงเฉินแทบจะสำรอกออกมาในทันที ในขณะที่กิ้งก่าเพลิงกำลังกระโจนอยู่กลางอากาศ หลงเฉินก็ได้ขยับเท้าข้างหนึ่งออกไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว
กิ้งก่าเพลิงตัวนั้นไม่ทันที่จะรั้งร่างกายให้กลับคืนมาได้ทันจึงงับปากจมลงไปในผืนทรายคำโต หลงเฉินรีบพลิกฝ่ามือขวาฟาดออกไป ทว่าในขณะที่กำลังจะโจมตีออกนั้น ที่เบื้องหลังก็ได้มีสายลมอันรุนแรงโหมกระหน่ำขึ้นมา เขาจึงเปลี่ยนหมัดไปทางด้านในทันที
“ตูม”
หลงเฉินรู้สึกราวกับในดวงตามีดวงดาวนับพันกำลังล่องลอยอยู่อย่างไรอย่างนั้น ร่างของเขาลอยกระเด็นออกไปไกลจนศีรษะกระแทกเข้ากับศิลาของผนังภูเขาจนเกิดอาการมึนงง
ที่หลงเฉินไม่เคยคาดคิดก็คือ นั้นก็คือประกายแสงที่ส่องขึ้นมาจากภูเขาจะถึงกับเป็นหินทั้งหมด เมื่อได้กระแทกเขากับภูเขาลูกนี้ ก็ได้เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นมา
เมื่อหลงเฉินดึงสติกลับคืนมาได้แล้วก็พบว่าร่างของเขาถูกหางของกิ้งก่าเพลิงที่กวาดพัดจนลอยละล่องออกมาอย่างรุนแรง
เขาขยับเขยื้อนร่างกายอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกถึงคามเจ็บปวดที่แล่นไปทั่วร่างกาย เจ้าหนูน้อยตัวนี้ใช้กระบวนท่าโจมตีเข้ามาได้อย่างเ**้ยมโหดยิ่งนัก หากเปลี่ยนเป็นบุคคลอื่นก็คงถูกฟาดจนกลายเป็นชิ้นเนื้อแหลกเหลวไปแล้ว
กิ้งก่าเพลิงส่งเสียงร้องอย่างเกรี้ยวกราดสะท้อนไปทั่วทั้งบริเวณ พลันก็ได้พุ่งทะยานร่างมหึมาเข้ามาหาหลงเฉินอีกครั้ง ชายหนุ่มแล้วก็ได้หยั่งฝ่าเท้าไปที่ก้อนศิลาด้านหลัง ในมือข้างหนึ่งปรากฏกระบี่ยาวขึ้นมา แล้วร่างนั้นก็พุ่งเข้าไปต้านพลังจากกิ้งก่าเพลิงในทันที
“ลี้ลมทลาย”….