เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 13 ความสำเร็จขั้นต้นของดารากักวายุ

ตูม!

 

 

 

 

 

เตาหลอมโอสถสั่นไหวไปมา จากนั้นก็สงบลงเป็นปกติ ฝาครอบถูกเปิดออก โอสถทั้งเก้าเม็ดเรียงรายอยู่ภายในเตา

 

 

 

 

 

 

 

 

กลิ่นหอมจากโอสถโชยออกมาปะทะเข้ากับใบหน้า มันซึมลึกเข้าไปจนถึงจิตวิญญาณ ในตอนนี้ใบหน้าของหลงเฉินปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

เขายื่นมือเข้าไปหยิบยาโอสถเม็ดหนึ่งออกมา ยาโอสถเม็ดนั้นราบเรียบกลมมนสว่าง อีกทั้งรอบๆยังมีชั้นแสงบางๆปรากฎขึ้นมาชั้นหนึ่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

“แม้ว่าลวดลายของโอสถจะบางไปสักนิด สีสันก็ยังไม่สดใสถึงจุดอิ่มตัว ซึ่งหมายความว่าฤกธิ์ยาในโอสถได้สูญเสียไปส่วนหนึ่ง แต่ก็ยังถือได้ว่าเป็นยาโอสถที่จัดอยู่ในระดับกลาง”

 

 

 

 

 

 

 

 

นี่คือยาโอสถที่หลงเฉินหลอมออกมาเป็นครั้งแรก การจะเพิ่มระดับของยาโอสถได้นั้นจะเกี่ยวข้องกับทั้งเตาโอสถ เพลิงโอสถ พลังแห่งจิตวิญญาณและอีกหลายๆปัจจัยที่ไม่อาจจะขาดไปได้แม้แต่อย่างเดียว

 

 

 

 

 

 

 

 

พลังจิตวิญญาณของหลงเฉินในตอนนี้ถือได้ว่าไม่มีปัญหาแต่อย่างไร แต่เตาโอสถกลับแย่ไปซักหน่อย ส่วนเพลิงโอสถก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง 

 

 

 

 

 

 

 

 

ใช้เตาโอสถที่ธรรมดา อีกทั้งเพลิงโอสถก็ยังจัดอยู่ในระดับไร้ประโยชน์ แต่ยังหลอมยาโอสถระดับกลางขึ้นมาได้ ทั่วทั้งใต้หล้านี้คงมีแต่หลงเฉินเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะทำเรื่องเช่นนี้ได้ 

 

 

 

 

 

 

 

 

ผ่านไปอีกชั่วครู่ หลงเฉินก็ได้หลอมโอสถขึ้นมาอีกยี่สิบกว่าเตา จนตอนนี้มีโอสถกักวายุระดับล่างกว่าร้อยเม็ดแล้ว หลงเฉินได้เก็บสิ่งของทุกอย่างเอาไว้ภายในแหวนมิติ

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากนั้นหลงเฉินก็ออกมาสืบข่าวที่เกิดขึ้นภายนอก การตายของหลี่เฮ่าหลงเฉินยังไม่พบเบาะแสเลยว่าจริงๆแล้วเป็นฝีมือผู้ใด

 

 

 

 

 

 

 

 

ซึ่งทางจักรวรรดิก็ได้ตั้งหมายจับออกมาเพื่อที่จะหาตัวของผู้ที่ลงมือสังหารหลี่เฮ่า แต่ไม่นานนักเรื่องก็เริ่มซาลง

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินหัวเราะขึ้นอย่างเย็นชา ต่อให้คิดจะจัดฉากก็สมควรที่จะจัดการให้หมดจดหน่อย พวกเจ้าคิดว่าข้าเป็นคนโง่งมหรืออย่างไรกัน?

 

 

 

 

 

 

 

 

บุตรขุนนางผู้หนึ่งถูกฆ่าตายโดยไม่ทราบต้นสายปลายเหตุ จะให้จบลงไปเพียงแค่นี้หรืออย่างไรกัน

 

 

 

 

 

 

 

 

ถึงแม้จะทราบดีอยู่แก่ใจ แต่ในตอนนี้หลงเฉินยังคงไม่กล้าที่จะทำอะไรบุ่มบ่าม ในขณะที่ยังไม่มีพลังฝีมือที่เพียงพอ เขาต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดี

 

 

 

 

 

 

 

 

ทุกวันนี้บิดาเอาแต่เฝ้าระวังอยู่ที่ชายแดน ความจริงแล้วแทบไม่ทราบถึงสถานการณ์ทางด้านเขาว่าเป็นเช่นไร หากเป็นไปตามธรรมเนียมปฎิบัติของทางจักรวรรดิเฟิงหมิง เหล่าทหารทั้งหมดที่อยู่ทางชายแดนย่อมให้ทางครอบครัวอยู่ในจักรวรรดิซึ่งเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด ซึ่งพวกเขาจะได้ไม่ต้องเกิดความกังวลเกี่ยวกับครอบครัว

 

 

 

 

 

 

 

 

เกี่ยวกับบิดาบังเกิดเกล้า หลงเฉินไม่ทราบว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร เขาทราบเพียงว่านับตั้งแต่ตนเองจำความได้ บิดาก็ไม่ได้อยู่ข้างกายแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

ตัวเขาค่อยๆเติบโตขึ้นมา จากจวนขุนนางเดิมที่ครึกครื้น เมื่อวันเวลาได้ผ่านพ้นไป นับวันคนที่มาเยี่ยมเยียนก็ยิ่งลดน้อยลงไปเรื่อยๆ 

 

 

 

 

 

 

 

 

หลายปีมานี้ ตระกูลหลงก็แทบไม่มีที่ยืน ตำแหน่งภายในจักรวรรดิก็ยิ่งตกต่ำลง ส่วนหลงเฉินก็กลายเป็นเป้าหมายของการรุมรังแกของบุตรขุนนางที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน

 

 

 

 

 

 

 

 

ทางด้านขุนนางเจิ้งหยวนโยวในขณะนี้ก็ยังคงไร้วี่แวว หลงเฉินอดไม่ได้ที่จะเกิดความไม่พอใจในตัวบิดา เนื่องจากทำให้มารดาของเขาต้องชอกช้ำอยู่ร่ำไป

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากตื่นขึ้นมาในครั้งนี้ ในที่สุดหลงเฉินก็พบว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเหมือนจะไม่ถูกต้อง ก่อนหน้านี้เขาคิดง่ายจนเกินไป

 

 

 

 

 

 

 

 

เรื่องที่บิดาได้ปฏิเสธการเรียกกลับมาอยู่หลายครั้ง แน่นอนว่าย่อมต้องมีเหตุผลของตนเอง มันคงจะไม่ใช่แค่เรื่องของการรบกับชนเผ่าคนเถื่อนอย่างเดียวแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

 

หากว่าเขาปฏิเสธการเรียกกลับเพียงครั้งสองครั้งก็ถือเป็นเรื่องปกติ ทว่านี่ถึงกลับปฏิบัติครั้งแล้วครั้งเล่าจนนับไม่ถ้วน ซึ่งเป็นเหตุให้ขุนนางของทางจักรวรรดิเกิดความไม่พอใจต่อหลงเทียนเซียว

 

 

 

 

 

 

 

 

มีคำเล่าลือกล่าวกันอย่างเงียบเชียบว่าหลงเทียนเซียวคิดจะวางแผนก่อกบฏอย่างลับๆ แต่คำกล่าวเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ทางด้านหลงเทียนเซียวนั้นจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีการตอบรับแต่อย่างไร

 

 

 

 

 

 

 

 

ตั้งเเต่เมื่อสามปีก่อน ทางราชสำนักก็ไม่ได้ส่งข่าวคราวหรือเรียกตัวหลงเทียนเซียวกลับมาอีก วันเวลาที่ผ่านมาตระกูลหลงนับวันก็ยิ่งเลวร้ายลงทุกที

 

 

 

 

 

 

 

 

ก่อนหน้านี้เบี้ยหวัดของตระกูลหลงก็ถูกหัก และเนื่องจากตระกูลหลงไม่ได้มีรายรับจากทางอื่นอีกทำให้เพียงพริบตาเดียวก็ตกอับยากจน จากนั้นเหล่าบุตรขุนนางทั้งหลายต่างก็ได้เกิดการท้าทายหลงเฉินต่างๆนาๆขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

 

โดยเฉพาะครั้งที่หลงเฉินถูกทำร้ายจนสาหัส ชายชราผู้นั้นถึงกับหลอกลวงเงินทองของตระกูลหลงไปมากมายถึงเพียงนั้น จนในที่สุดหลงเฉินก็ได้ล่วงรู้

 

 

 

 

 

 

 

 

เรื่องนี้ค่อยๆทำให้มารดาของเขาตกอยู่ในสภาพอับจนปัญญา เป้าหมายก็เพื่อที่จะบีบให้หลงเทียนเซียวยอมจำนน แต่ในเรื่องนี้ยังมีความลับอะไรแอบแฝงอยู่นั้น หลงเฉินก็ไม่อาจที่จะทราบได้

 

 

 

 

 

 

 

 

ทว่ามีอยู่สิ่งหนึ่งที่พอจะแน่ชัดได้ก็คือ บุคคลที่อยู่เบื้องหลังจะต้องเป็นคนๆเดียวกัน อีกทั้งอีกฝ่ายจะต้องแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

 

“ขอไม่สนก่อนก็แล้วกัน ถ้าเป็นหมาป่าหิวโหยจะช้าเร็วก็ต้องเผยเขี้ยวเล็บออกมาอยู่ดี ตอนนี้ข้าจำเป็นที่จะต้องเพิ่มพูนพลังให้มากยิ่งขึ้น”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินมอบหมายงานให้แก่เป่าเอ๋ออยู่หลายอย่าง จากนั้นเขาก็เริ่มเก็บตัว ตัวอ่อนของดารากักวายุในขณะนี้ได้เข้าสู่ขั้นก่อรวมแล้ว ที่เหลือก็คงจะง่ายขึ้น เขาแค่ต้องทำการดูดซับฤทธิ์ยาต่อไปไม่หยุดซึ่งก็ถือเป็นอันใช้ได้แล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

จุดดารากักวายุที่ใต้ฝ่าเท้าหลงเฉินดูดซับฤทธิ์ยาของโอสถดารากักวายุเข้าไปไม่หยุด มันเริ่มที่จะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนใหญ่ขึ้นอย่างผิดหูผิดตา 

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากผ่านไปเจ็ดวัน หลงเฉินก็ได้กินโอสถอย่างบ้าคลั่งดุจกินข้าวไปแล้ว จุดดารากักวายุที่ใต้เท้าเดิมทีที่มีขนาดเล็กเท่าเม็ดถั่วก็ได้เปลี่ยนจนกลายเป็นใหญ่เท่าผลลำไย ราวกับที่ใต้เท้าของหลงเฉินได้เริ่มที่เกิดพลังชนิดใหม่ขึ้นมาก็มิปาน 

 

 

 

 

 

 

 

 

จุดดารากักวายุหลังจากที่เปลี่ยนจนกลายเป็นขนาดเท่าผลลำไยแล้ว แม้ลักษณะภายนอกจะไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย แต่บนจุดดารากักวายุก็ได้ปรากฏชั้นแสงบางๆนับไม่ถ้วน ชั้นแสงบางๆเหล่านั้นเริ่มจะไหลเวียนอย่างช้าๆ

 

 

 

 

 

 

 

 

ตูม!

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่ได้ดูดซับฤทธิ์ของโอสถดารากักวายุระดับกลางเม็ดสุดท้ายแล้ว ในที่สุดดารากักวายุที่ใต้เท้าของหลงเฉินจากเดิมที่เคยเงียบสงบก็เริ่มสั่นไหวขึ้นมา และเริ่มดูดซับพลังปราณแห่งฟ้าดินจากภายนอกเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง 

 

 

 

 

 

 

 

 

“ในที่สุดข้าก็ทำสำเร็จแล้ว!”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินตะโกนขึ้นมาเสียงดัง เขาสัมผัสได้ถึงการไหลเวียนของพลังดารากักวายุที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า ตลอดทั่วทั้งร่างก็เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอันมหาศาล 

 

 

 

 

 

 

 

 

“ทว่าขณะนี้ยังสำเร็จแค่ระดับขั้นก่อรวมเท่านั้น หากเป็นไปตามความทรงจำ เคล็ดกายานวดารา ทุกๆดวงดาราจะต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดเก้าครั้ง จึงจะสามารถเรียกได้ว่าสมบูรณ์

 

 

 

 

 

 

 

 

จุดดารากักวายุของข้าเพิ่งจะเข้าสู่ระดับก่อรวม ถ้าหากเป็นไปตามหลักวรยุทธ์ของยุคนี้ ไม่ทราบว่าจะนับเป็นระดับก่อรวมขั้นที่หนึ่งได้หรือไม่”

 

 

 

 

 

 

 

 

ฟรึบ ฟรึบ ฟรึบ!

 

 

 

 

 

 

 

 

พลังหมัดได้ถูกใช้ออกติดต่อกันสามครั้งสามครา เสียงตัดผ่าสายลมก็ได้พวยพุ่งขึ้นมาจนเสียดแก้วหู 

 

 

 

 

 

 

 

 

อีกทั้งยังไม่ได้มีการไหลเวียนของพลังปราณแต่อย่างไร เห็นได้ชัดว่าเป็นการใช้เพียงเรี่ยวแรงภายนอกเท่านั้น แต่ก็มีพลังทำลายถึงขนาดนี้แล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินอดไม่ได้ที่จะลิงโลดขึ้นมา ถึงแม้ตัวเขาจะลำบากในการเพิ่มระดับพลังในวีถีของคนปกติ แต่ด้วยการมีเคล็ดกายานวดาราก็เรียกได้ว่าร้ายกาจเป็นอย่างยิ่งแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

ในตอนนี้เขาเพิ่งจะเข้าสู่ขั้นแรกเท่านั้นเอง แต่ก็สามารถใช้หมัดที่พลังเทียบเท่ากับเมื่อวันก่อนได้แล้ว 

 

 

 

 

 

 

 

 

“เหอะเหอะ ถ้าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่นานข้าก็จะสามารถออกไปตามหาสะใภ้กลับมาให้มารดาได้แล้ว” หลงเฉินหัวเราะออกมา เมื่อนึกถึงใบหน้าของม่งฉี ภายจิตใจก็ได้เต็มเปี่ยมไปด้วยความเร้าร้อน 

 

 

 

 

 

 

 

 

แต่เมื่อนึกถึงศิษย์ของพี่ม่งฉีผู้นั้น หลงเฉิงก็ได้แต่ส่งเสียงขึ้นมาภายในใจอย่างเย็นชา ครั้งหน้าที่ได้พบกับเจ้า ข้าจะอัดเจ้าให้ปัสสาวะออกมาเลยคอยดู

 

 

 

 

 

 

 

 

ทันใดนั้นประตูห้องหลงเฉินก็ได้มีเสียงดังขึ้น ประกายแสงจากการฝึกปรือก็ได้ลอดออกมา วันนี้ถือเป็นวันที่ต้องไปยังตำหนักฝึกสอนขุนนางนั้นเอง 

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อมองเห็นแสงที่อยู่บนท้องฟ้า หลงเฉินก็รีบเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่ และวิ่งไปยังตำหนักฝึกสอนขุนนางในทันที หลงเฉินได้ทอสีหน้าลิงโลดขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งตลอดทาง และยังไม่มีทีท่าว่าจะสลายหายไป

 

 

 

 

 

 

 

 

ที่เขาต้องลิงโลดขึ้นมาก็เพราะพบว่าภายในจุดดารากักวายุของตนเองสามารถที่จะเรียกได้ว่าอัดแน่นไปด้วยพลังลมปราณที่มากมาย ในการหลอมโอสถหลังจากนี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าลมปราณจะไม่เพียงพออีกแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

การต่อสู้กับหลี่เฮ่าเมื่อครั้งที่แล้ว หลงเฉินได้ใช้ทักษะยุทธ์พลังวัวคลั่ง ซึ่งมีพลังทำลายมหาศาลอย่างน่าประหลาด เพียงหมัดเดียวก็สามารถล้มหลี่เฮ่าลงได้แล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

แต่หมัดนั้นก็ใช้พลังลมปราณทั้งหมดที่มีอยู่ของเขา ในตอนนี้เขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลปัญหาเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว 

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อสัมผัสพลังลมปราณของดารากักวายุที่อยู่ภายใน จากการคาดการณ์ปริมาณก็พอที่จะให้เขาใช้พลังวัวคลั่งได้สิบกว่าครั้งแล้ว นี่ถือได้ว่าเป็นข้อแตกต่างของการเข้าสู่พลังดารากักวายุที่แท้จริง

 

 

 

 

 

 

 

 

ที่สำคัญที่สุดก็คือ หลังจากที่เพิ่มพูนพลังลมปราณแล้ว พลังอันมหาศาลในร่างกายของเขาก็ได้เพิ่มพูนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะไม่ได้ทำการทดสอบมาก่อน แต่เขาก็ยังทราบได้ว่าจะต้องน่าแตกตื่นตกใจแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

 

ขณะที่กำลังลิงโลดอยู่ ประตูใหญ่ตำหนักฝึกสอนขุนนางก็ได้อยู่เบื้องหน้าสายตาแล้ว เมื่อเดินผ่านประตูบานใหญ่ หลงเฉินก็รีบวิ่งไปที่หอศึกษาทันที 

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อมาถึงหอศึกษา เดิมทีหอศึกษาที่มีเสียงสนทนากันอยู่ก็ได้เงียบลงเพราะการเข้ามาของหลงเฉิน 

 

 

 

 

 

 

 

 

การตายของหลี่เฮ่าได้ทำให้ผู้คนไม่น้อยเกิดอาการยากที่จะรับได้ การต่อสู้เมื่อวันนั้น โดยส่วนมากแล้วต่างก็เป็นเหล่าบุตรขุนนางที่เข้าชมแทบทั้งสิ้น พวกเขาได้เห็นหมัดที่อัดแน่นด้วยพลังอันมหาศาลของหลงเฉิน เหล่าบุตรขุนนางที่เอาแต่ดูถูกดูแคลนหลงเฉิน ภายในใจก็ได้เกิดความหวาดกลัวขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

 

“ฮ่าฮ่า พี่หลง”

 

 

 

 

 

 

 

 

เจ้าอ้วนและพวกเมื่อพบเห็นหลงเฉินมาถึงก็อดไม่ได้ที่จะยินดีขึ้นมา พวกเขารีบเข้ามาห้อมล้อมหลงเฉินเอาไว้ 

 

 

 

 

 

 

 

 

“พี่หลง นับวันก็ยิ่งสดใสขึ้นเลยนะ”

 

 

 

 

 

 

 

 

“พี่หลง เชิญนั่ง”

 

 

 

 

 

 

 

 

“พี่หลง เชิญดื่มน้ำชา”

 

 

 

 

 

 

 

 

“พี่หลง ข้าจะนวดหลังให้”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินหัวเราะขึ้นมาพร้อมกับด่าทอออกมา “มาไม้นี้ให้มันน้อยๆหน่อย หาอะไรให้ข้ากินหน่อย ข้ายังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินหาที่นั่งบริเวณหัวมุมแล้วจึงได้นั่งลง กระทั่งเจ้าอ้วนได้นำติ่มซำยกเข้ามา มีหลายคนดวงตาทอเป็นประกายขณะมองไปที่หลงเฉิน

 

 

 

 

 

 

 

 

แน่นอนว่าหลงเฉินย่อมต้องหิวอยู่แล้ว หลายวันมานี้สิ่งที่เขากินเข้าไปเรียกได้ว่ามีแต่เพียงแค่โอสถ เขาหยิบติ่มซำขึ้นมาและกัดกินเข้าไปอย่างมูมมาม 

 

 

 

 

 

 

 

 

เพิ่งจะกินได้ครู่หนึ่ง ซือเฟิงก็ได้มาถึง เมื่อเห็นเข้า หลงเฉินก็กวักมือเรียกทันที

 

 

 

 

 

 

 

 

ซือเฟิงเดินเข้ามาถึงเบื้องหน้าหลงเฉิน หลงเฉินยื่นขวดหยกขวดหนึ่งให้แก่ซือเฟิงแล้วกล่าว “เอาไปสิ นี่ใช้ได้ไม่นานหรอก แต่ก็พอที่จะทำให้เจ้าสามารถเข้าสู่ยอดฝีมือขอบเขตขั้นก่อโลหิตสำเร็จได้”

 

 

 

 

 

 

 

 

เสียงของหลงเฉินแม้จะไม่ได้ดังมาก แต่เจ้าอ้วนและพวกต่างก็ได้ยินอย่างชัดเจน พวกเขาอดไม่ได้ที่จะตกใจกับคำพูดเช่นนี้ 

 

 

 

 

 

 

 

 

ซือเฟิงเองก็เกิดอาการตกใจขึ้นมาเช่นกัน เขารีบร้อนเปิดขวดหยกออก กลิ่นหอมอันเข้มข้นของโอสถก็ได้โชยเข้าไปยังภายในจมูก ที่ด้านในนั้นมียาโอสถลูกกลมๆอยู่หนึ่งเม็ด 

 

 

 

 

 

 

 

 

“สิ่งนี้คือ…?”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินหัวเราะขึ้นมาเบาๆ เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยอยู่สามคำ “หนิงฮวาตัน(โอสถรวมสมาธิ)”

 

 

 

 

 

 

 

 

คนอื่นๆถึงแม้จะไม่ทราบว่าโอสถนั้นคืออะไร แต่เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นผู้มีพลังขั้นก่อรวมขั้นที่แปดอย่างซือเฟิงย่อมต้องทราบดี นี่ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อยอดฝีมือที่มีพลังขั้นก่อรวมขั้นที่เก้าเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังกล่าวได้ว่าเป็นดั่งสมบัติที่ใฝ่หาอย่างถึงที่สุด 

 

 

 

 

 

 

 

 

โอสถรวมสมาธิเป็นสิ่งที่ช่วยในการรวมพลังโดยเฉพาะ ยาโอสถนี้ช่วยในการรวมพลังเข้าสู่พลังขอบเขตก่อโลหิต ภายในของยาถือได้ว่ารวมเอาไว้ด้วยพลังที่มหาศาล 

 

 

 

 

 

 

 

 

ที่สำคัญที่สุดก็คือโอสถรวมสมาธิส่งผลช่วยในการฝึกปรือในภายหลัง อีกทั้งยังไม่มีผลกระทบที่จะตามมาแต่อย่างไร 

 

 

 

 

 

 

 

 

ทว่าโอสถรวมสมาธิถือได้ว่ายากที่จะหลอมรวมขึ้นมาได้ ทั้งยังมีโอกาสล้มเหลวที่สูง โดยเฉพาะขั้นตอนสุดท้ายของการหลอมโอสถ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นดั่งฝันร้ายของผู้หลอมโอสถทั้งหลายเลยทีเดียว

 

 

 

 

 

 

 

 

โอสถรวมสมาธิธรรมดาเพียงแค่เม็ดเดียวเรียกได้ว่ามีราคาที่มากถึงร้อยหมื่น(1 ล้าน)ตำลึงทองเลยทีเดียว อีกทั้งยังเป็นที่ขาดแคลนของตลาดด้วย

 

 

 

 

 

 

 

 

ร้อยหมื่นตำลึงทอง เมื่อเทียบกับทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มีอยู่ของซือเฟิง เรียกได้ว่าไม่อาจที่จะมีได้เลย

 

 

 

 

 

 

 

 

“หลงเฉิน นี่มัน……”

 

 

 

 

 

 

 

 

“จะมาอะไรมากมายกัน เจ้าเอาไปเถอะ ในเวลาที่ข้าเอาของของเจ้ามา เจ้าไม่เคยจะอิดออดหรือลังเลเลย อย่าได้ทำท่าทางเหมือนกับเหล่าแม่นางไปสิ” หลงเฉินโบกมือขึ้นมาตัดบท 

 

 

 

 

 

 

 

 

ซือเฟิงพยักหน้า ในเวลาเช่นนี้ต่อให้พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ เขาจึงได้ฝืนเก็บความรู้สึกตื้นตันเอาไว้ภายในจิตใจแล้วกล่าว “ได้ งั้นรอจนข้าเข้าสู่ขึ้นก่อรวมระดับที่เก้าได้แล้ว ข้าจะรีบใช้ทันที”

 

 

 

 

 

 

 

 

“ไม่ต้องรอหรอก หรือว่าที่แท้เจ้าไม่ได้เห็นชั้นแสงที่อยู่ด้านบนของมันกัน? เมื่อเจ้ากลับไปแล้วก็รีบใช้ซะ”

 

 

 

 

 

 

 

 

ซือเฟิงเพิ่งพบว่าที่ด้านบนของยาโอสถนั้นมีชั้นแสงปรากฎอยู่อย่างหนาแน่น เมื่อเห็นเช่นนั้นก็เกือบจะตกใจจนร้องขึ้นมา นี่ถึงกับเป็นยาโอสถระดับกลาง ไม่รู้ว่าในส่วนของราคาจะมากกว่าเดิมอีกไม่รู้กี่เท่า 

 

 

 

 

 

 

 

 

“รีบเก็บเอาไว้เถอะ ระหว่างพวกเราพี่น้องไม่จำเป็นที่จะต้องกล่าวมากความไปหรอก” หลงเฉินกล่าว 

 

 

 

 

 

 

 

 

ซือเฟิงก็ได้แต่ทอนัยน์ตาแดงก่ำขึ้น แล้วก็เก็บโอสถขวดนั้นเก็บเอาไว้เป็นอย่างดี น้ำใจระหว่างพี่น้องของหลงเฉินนั้นมีค่ามากกว่ายาโอสถนี้เสียอีก

 

 

 

 

 

 

 

 

“พี่หลง”

 

 

 

 

 

 

 

 

“ใต้เท้าหลง”

 

 

 

 

 

 

 

 

“ท่านปู่หลง”

 

 

 

 

 

 

 

 

“……”

 

 

 

 

 

 

 

 

เจ้าอ้วนและพวกหลายคน ถึงแม้จะไม่ทราบว่าโอสถรวมสมาธินั้นคือสิ่งใด แต่เกี่ยวกับยาโอสถที่พวกเขาทราบกัน ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่มีค่าอย่างยิ่ง ในเวลาเช่นนี้พวกเขาจึงได้ใช้สายตาที่หิวกระหายดุจดั่งหมาป่าจ้องมองไปทางหลงเฉิน 

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินได้ถูกหลายคนเรียกจนรู้สึกขนลุกขนพองขึ้นมา รีบเร่งกล่าวให้พวกเขาหยุด “วางใจเถอะ เรื่องที่ข้าเคยบอกต่อพวกเจ้าไป ข้าย่อมต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว”

 

 

 

 

 

 

 

 

ความจริงแล้วที่พวกเขาไม่อาจที่จะฝึกปรือได้ก็เป็นเพราะเส้นรากปราณของพวกเขานั้นย่ำแย่จนเกินไป จึงไม่อาจที่จะสัมผัสได้ถึงพลังปราณที่แท้จริง

 

 

 

 

 

 

 

 

คนอื่นๆถึงแม้จะไม่อาจจะทำอะไรได้ แต่หลงเฉินเป็นผู้ใดกัน? เขาเป็นถึงผู้ที่รวมเข้ากับความทรงจำของจักรพรรดิโอสถ ถ้าแม้แต่เรื่องแค่นี้ยังไม่สามารถที่จะทำได้ แล้วจะเรียกว่าเป็นจักรพรรดิโอสถได้อย่างไรกัน 

 

 

 

 

 

 

 

 

“เอ้า ทุกคนเอาไปคนละหนึ่งขวด กินทุกวันสามเวลา งดอาหารสด งดสุรา งดการมีเพศสัมพันธ์ จะเห็นผลได้ภายในเจ็ดวัน และจะสามารถสัมผัสได้ถึงพลังภายในครึ่งเดือน ในส่วนที่ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะเข้าสู่พลังขั้นก่อรวมได้นั้น ก็ต้องดูที่ความพยายามของแต่ละคนแล้ว”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินแจกจ่ายให้พวกเขาคนละขวด ภายในขวดใส่เอาไว้ด้วยยาเหลวเต็มขวด ซึ่งเป็นสิ่งที่หลงเฉินผสมเองกับมือ 

 

 

 

 

 

 

 

 

ยาเหลวนั้นถึงแม้จะไม่มีราคาแพงมากนัก แต่ก็ยังส่งผลต่อผู้ที่มีเส้นรากปราณย่ำแย่ มันสามารถที่จะทำการเปลี่ยนแปลงเส้นรากปราณของพวกเขาได้ แต่หลงเฉินก็ยังมีข้อจำกัด จึงไม่อาจที่จะเปลี่ยนแปลงขีดจำกัดของแต่ละคนได้

 

 

 

 

 

 

 

 

ยาเหลวสามารถที่จะทำให้พวกเขาเข้าสู่ขอบเขตก่อรวมได้ถือว่าไม่เป็นปัญหาอะไร ถ้าหากดวงดีแล้วล่ะก็อาจจะถึงขั้นก่อโลหิตเลยก็เป็นได้ แต่ถ้าสูงขึ้นกว่านี้ย่อมไม่อาจเป็นไปได้อยู่แล้ว 

 

 

 

 

 

 

 

 

สำหรับเจ้าอ้วนและพวก ยาเหลวนี้ถือได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่ไม่กล้าแม้แต่จะคิดเลยด้วยซ้ำ มีอยู่หลายคนที่มองไปที่ขวดด้วยความตื่นเต้น

 

 

 

 

 

 

 

 

“พี่หลง ถ้าเกิดพวกเราสามารถเข้าสู่การฝึกปรือได้แล้ว จะส่งกระทบต่อท่านหรือไม่?” เจ้าอ้วนถึงแม้จะอ้วน แต่ก็ยังถือว่ามีสมองอยู่ เขาเป็นคนแรกที่ถามถึงปัญหาข้อนี้ออกมา 

 

 

 

 

 

 

 

 

ถ้าหากหลงเฉินสามารถทำให้พวกไร้ประโยชน์เหล่านี้ฝึกปรือขึ้นมาได้ เกรงว่าคงจะส่งผลกระทบในภายหลังต่อหลงเฉินอยู่ไม่น้อย อาจจะเป็นไปได้ว่าจะกลายเป็นที่จับตามองจนสร้างความยุ่งยากให้ก็เป็นได้ 

 

 

 

 

 

 

 

 

ความหมายของเจ้าอ้วนก็คือต้องการให้เก็บความลับหรือไม่ แต่หลงเฉินเพียงแต่หัวเราะแล้วกล่าว “ไม่เป็นไร ตัวยาเหล่านี้ต่างก็มาจากท่านปรมาจารย์หวินฉีทั้งสิ้น ผู้ใดต้องการก็คงจะต้องไปตามเอากับปรมาจารย์หวินฉีเองแล้วล่ะ”

 

 

 

 

 

 

 

 

“ปรมาจารย์หวินฉี?!”

 

 

 

 

 

 

 

 

มีหลายคนที่เกิดอาการตกใจขึ้นมา พวกเขาคิดที่จะถามหลงเฉินว่าล้อเล่นใช่หรือไม่ แต่ในเวลานี้กลับมีเสียงของฝีเท้าดังเข้ามาจนต้องหันกลับไปมอง ในตอนนั้นสีหน้าของแต่ละคนต่างก็แตกตื่นขึ้นมาตามๆกัน

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset