ตูม!
เตาหลอมโอสถสั่นไหวไปมา จากนั้นก็สงบลงเป็นปกติ ฝาครอบถูกเปิดออก โอสถทั้งเก้าเม็ดเรียงรายอยู่ภายในเตา
กลิ่นหอมจากโอสถโชยออกมาปะทะเข้ากับใบหน้า มันซึมลึกเข้าไปจนถึงจิตวิญญาณ ในตอนนี้ใบหน้าของหลงเฉินปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาแล้ว
เขายื่นมือเข้าไปหยิบยาโอสถเม็ดหนึ่งออกมา ยาโอสถเม็ดนั้นราบเรียบกลมมนสว่าง อีกทั้งรอบๆยังมีชั้นแสงบางๆปรากฎขึ้นมาชั้นหนึ่ง
“แม้ว่าลวดลายของโอสถจะบางไปสักนิด สีสันก็ยังไม่สดใสถึงจุดอิ่มตัว ซึ่งหมายความว่าฤกธิ์ยาในโอสถได้สูญเสียไปส่วนหนึ่ง แต่ก็ยังถือได้ว่าเป็นยาโอสถที่จัดอยู่ในระดับกลาง”
นี่คือยาโอสถที่หลงเฉินหลอมออกมาเป็นครั้งแรก การจะเพิ่มระดับของยาโอสถได้นั้นจะเกี่ยวข้องกับทั้งเตาโอสถ เพลิงโอสถ พลังแห่งจิตวิญญาณและอีกหลายๆปัจจัยที่ไม่อาจจะขาดไปได้แม้แต่อย่างเดียว
พลังจิตวิญญาณของหลงเฉินในตอนนี้ถือได้ว่าไม่มีปัญหาแต่อย่างไร แต่เตาโอสถกลับแย่ไปซักหน่อย ส่วนเพลิงโอสถก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ใช้เตาโอสถที่ธรรมดา อีกทั้งเพลิงโอสถก็ยังจัดอยู่ในระดับไร้ประโยชน์ แต่ยังหลอมยาโอสถระดับกลางขึ้นมาได้ ทั่วทั้งใต้หล้านี้คงมีแต่หลงเฉินเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะทำเรื่องเช่นนี้ได้
ผ่านไปอีกชั่วครู่ หลงเฉินก็ได้หลอมโอสถขึ้นมาอีกยี่สิบกว่าเตา จนตอนนี้มีโอสถกักวายุระดับล่างกว่าร้อยเม็ดแล้ว หลงเฉินได้เก็บสิ่งของทุกอย่างเอาไว้ภายในแหวนมิติ
หลังจากนั้นหลงเฉินก็ออกมาสืบข่าวที่เกิดขึ้นภายนอก การตายของหลี่เฮ่าหลงเฉินยังไม่พบเบาะแสเลยว่าจริงๆแล้วเป็นฝีมือผู้ใด
ซึ่งทางจักรวรรดิก็ได้ตั้งหมายจับออกมาเพื่อที่จะหาตัวของผู้ที่ลงมือสังหารหลี่เฮ่า แต่ไม่นานนักเรื่องก็เริ่มซาลง
หลงเฉินหัวเราะขึ้นอย่างเย็นชา ต่อให้คิดจะจัดฉากก็สมควรที่จะจัดการให้หมดจดหน่อย พวกเจ้าคิดว่าข้าเป็นคนโง่งมหรืออย่างไรกัน?
บุตรขุนนางผู้หนึ่งถูกฆ่าตายโดยไม่ทราบต้นสายปลายเหตุ จะให้จบลงไปเพียงแค่นี้หรืออย่างไรกัน
ถึงแม้จะทราบดีอยู่แก่ใจ แต่ในตอนนี้หลงเฉินยังคงไม่กล้าที่จะทำอะไรบุ่มบ่าม ในขณะที่ยังไม่มีพลังฝีมือที่เพียงพอ เขาต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดี
ทุกวันนี้บิดาเอาแต่เฝ้าระวังอยู่ที่ชายแดน ความจริงแล้วแทบไม่ทราบถึงสถานการณ์ทางด้านเขาว่าเป็นเช่นไร หากเป็นไปตามธรรมเนียมปฎิบัติของทางจักรวรรดิเฟิงหมิง เหล่าทหารทั้งหมดที่อยู่ทางชายแดนย่อมให้ทางครอบครัวอยู่ในจักรวรรดิซึ่งเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด ซึ่งพวกเขาจะได้ไม่ต้องเกิดความกังวลเกี่ยวกับครอบครัว
เกี่ยวกับบิดาบังเกิดเกล้า หลงเฉินไม่ทราบว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร เขาทราบเพียงว่านับตั้งแต่ตนเองจำความได้ บิดาก็ไม่ได้อยู่ข้างกายแล้ว
ตัวเขาค่อยๆเติบโตขึ้นมา จากจวนขุนนางเดิมที่ครึกครื้น เมื่อวันเวลาได้ผ่านพ้นไป นับวันคนที่มาเยี่ยมเยียนก็ยิ่งลดน้อยลงไปเรื่อยๆ
หลายปีมานี้ ตระกูลหลงก็แทบไม่มีที่ยืน ตำแหน่งภายในจักรวรรดิก็ยิ่งตกต่ำลง ส่วนหลงเฉินก็กลายเป็นเป้าหมายของการรุมรังแกของบุตรขุนนางที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน
ทางด้านขุนนางเจิ้งหยวนโยวในขณะนี้ก็ยังคงไร้วี่แวว หลงเฉินอดไม่ได้ที่จะเกิดความไม่พอใจในตัวบิดา เนื่องจากทำให้มารดาของเขาต้องชอกช้ำอยู่ร่ำไป
หลังจากตื่นขึ้นมาในครั้งนี้ ในที่สุดหลงเฉินก็พบว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเหมือนจะไม่ถูกต้อง ก่อนหน้านี้เขาคิดง่ายจนเกินไป
เรื่องที่บิดาได้ปฏิเสธการเรียกกลับมาอยู่หลายครั้ง แน่นอนว่าย่อมต้องมีเหตุผลของตนเอง มันคงจะไม่ใช่แค่เรื่องของการรบกับชนเผ่าคนเถื่อนอย่างเดียวแน่นอน
หากว่าเขาปฏิเสธการเรียกกลับเพียงครั้งสองครั้งก็ถือเป็นเรื่องปกติ ทว่านี่ถึงกลับปฏิบัติครั้งแล้วครั้งเล่าจนนับไม่ถ้วน ซึ่งเป็นเหตุให้ขุนนางของทางจักรวรรดิเกิดความไม่พอใจต่อหลงเทียนเซียว
มีคำเล่าลือกล่าวกันอย่างเงียบเชียบว่าหลงเทียนเซียวคิดจะวางแผนก่อกบฏอย่างลับๆ แต่คำกล่าวเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ทางด้านหลงเทียนเซียวนั้นจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีการตอบรับแต่อย่างไร
ตั้งเเต่เมื่อสามปีก่อน ทางราชสำนักก็ไม่ได้ส่งข่าวคราวหรือเรียกตัวหลงเทียนเซียวกลับมาอีก วันเวลาที่ผ่านมาตระกูลหลงนับวันก็ยิ่งเลวร้ายลงทุกที
ก่อนหน้านี้เบี้ยหวัดของตระกูลหลงก็ถูกหัก และเนื่องจากตระกูลหลงไม่ได้มีรายรับจากทางอื่นอีกทำให้เพียงพริบตาเดียวก็ตกอับยากจน จากนั้นเหล่าบุตรขุนนางทั้งหลายต่างก็ได้เกิดการท้าทายหลงเฉินต่างๆนาๆขึ้นมา
โดยเฉพาะครั้งที่หลงเฉินถูกทำร้ายจนสาหัส ชายชราผู้นั้นถึงกับหลอกลวงเงินทองของตระกูลหลงไปมากมายถึงเพียงนั้น จนในที่สุดหลงเฉินก็ได้ล่วงรู้
เรื่องนี้ค่อยๆทำให้มารดาของเขาตกอยู่ในสภาพอับจนปัญญา เป้าหมายก็เพื่อที่จะบีบให้หลงเทียนเซียวยอมจำนน แต่ในเรื่องนี้ยังมีความลับอะไรแอบแฝงอยู่นั้น หลงเฉินก็ไม่อาจที่จะทราบได้
ทว่ามีอยู่สิ่งหนึ่งที่พอจะแน่ชัดได้ก็คือ บุคคลที่อยู่เบื้องหลังจะต้องเป็นคนๆเดียวกัน อีกทั้งอีกฝ่ายจะต้องแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งแน่นอน
“ขอไม่สนก่อนก็แล้วกัน ถ้าเป็นหมาป่าหิวโหยจะช้าเร็วก็ต้องเผยเขี้ยวเล็บออกมาอยู่ดี ตอนนี้ข้าจำเป็นที่จะต้องเพิ่มพูนพลังให้มากยิ่งขึ้น”
หลงเฉินมอบหมายงานให้แก่เป่าเอ๋ออยู่หลายอย่าง จากนั้นเขาก็เริ่มเก็บตัว ตัวอ่อนของดารากักวายุในขณะนี้ได้เข้าสู่ขั้นก่อรวมแล้ว ที่เหลือก็คงจะง่ายขึ้น เขาแค่ต้องทำการดูดซับฤทธิ์ยาต่อไปไม่หยุดซึ่งก็ถือเป็นอันใช้ได้แล้ว
จุดดารากักวายุที่ใต้ฝ่าเท้าหลงเฉินดูดซับฤทธิ์ยาของโอสถดารากักวายุเข้าไปไม่หยุด มันเริ่มที่จะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนใหญ่ขึ้นอย่างผิดหูผิดตา
หลังจากผ่านไปเจ็ดวัน หลงเฉินก็ได้กินโอสถอย่างบ้าคลั่งดุจกินข้าวไปแล้ว จุดดารากักวายุที่ใต้เท้าเดิมทีที่มีขนาดเล็กเท่าเม็ดถั่วก็ได้เปลี่ยนจนกลายเป็นใหญ่เท่าผลลำไย ราวกับที่ใต้เท้าของหลงเฉินได้เริ่มที่เกิดพลังชนิดใหม่ขึ้นมาก็มิปาน
จุดดารากักวายุหลังจากที่เปลี่ยนจนกลายเป็นขนาดเท่าผลลำไยแล้ว แม้ลักษณะภายนอกจะไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย แต่บนจุดดารากักวายุก็ได้ปรากฏชั้นแสงบางๆนับไม่ถ้วน ชั้นแสงบางๆเหล่านั้นเริ่มจะไหลเวียนอย่างช้าๆ
ตูม!
หลังจากที่ได้ดูดซับฤทธิ์ของโอสถดารากักวายุระดับกลางเม็ดสุดท้ายแล้ว ในที่สุดดารากักวายุที่ใต้เท้าของหลงเฉินจากเดิมที่เคยเงียบสงบก็เริ่มสั่นไหวขึ้นมา และเริ่มดูดซับพลังปราณแห่งฟ้าดินจากภายนอกเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง
“ในที่สุดข้าก็ทำสำเร็จแล้ว!”
หลงเฉินตะโกนขึ้นมาเสียงดัง เขาสัมผัสได้ถึงการไหลเวียนของพลังดารากักวายุที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า ตลอดทั่วทั้งร่างก็เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอันมหาศาล
“ทว่าขณะนี้ยังสำเร็จแค่ระดับขั้นก่อรวมเท่านั้น หากเป็นไปตามความทรงจำ เคล็ดกายานวดารา ทุกๆดวงดาราจะต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดเก้าครั้ง จึงจะสามารถเรียกได้ว่าสมบูรณ์
จุดดารากักวายุของข้าเพิ่งจะเข้าสู่ระดับก่อรวม ถ้าหากเป็นไปตามหลักวรยุทธ์ของยุคนี้ ไม่ทราบว่าจะนับเป็นระดับก่อรวมขั้นที่หนึ่งได้หรือไม่”
ฟรึบ ฟรึบ ฟรึบ!
พลังหมัดได้ถูกใช้ออกติดต่อกันสามครั้งสามครา เสียงตัดผ่าสายลมก็ได้พวยพุ่งขึ้นมาจนเสียดแก้วหู
อีกทั้งยังไม่ได้มีการไหลเวียนของพลังปราณแต่อย่างไร เห็นได้ชัดว่าเป็นการใช้เพียงเรี่ยวแรงภายนอกเท่านั้น แต่ก็มีพลังทำลายถึงขนาดนี้แล้ว
หลงเฉินอดไม่ได้ที่จะลิงโลดขึ้นมา ถึงแม้ตัวเขาจะลำบากในการเพิ่มระดับพลังในวีถีของคนปกติ แต่ด้วยการมีเคล็ดกายานวดาราก็เรียกได้ว่าร้ายกาจเป็นอย่างยิ่งแล้ว
ในตอนนี้เขาเพิ่งจะเข้าสู่ขั้นแรกเท่านั้นเอง แต่ก็สามารถใช้หมัดที่พลังเทียบเท่ากับเมื่อวันก่อนได้แล้ว
“เหอะเหอะ ถ้าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่นานข้าก็จะสามารถออกไปตามหาสะใภ้กลับมาให้มารดาได้แล้ว” หลงเฉินหัวเราะออกมา เมื่อนึกถึงใบหน้าของม่งฉี ภายจิตใจก็ได้เต็มเปี่ยมไปด้วยความเร้าร้อน
แต่เมื่อนึกถึงศิษย์ของพี่ม่งฉีผู้นั้น หลงเฉิงก็ได้แต่ส่งเสียงขึ้นมาภายในใจอย่างเย็นชา ครั้งหน้าที่ได้พบกับเจ้า ข้าจะอัดเจ้าให้ปัสสาวะออกมาเลยคอยดู
ทันใดนั้นประตูห้องหลงเฉินก็ได้มีเสียงดังขึ้น ประกายแสงจากการฝึกปรือก็ได้ลอดออกมา วันนี้ถือเป็นวันที่ต้องไปยังตำหนักฝึกสอนขุนนางนั้นเอง
เมื่อมองเห็นแสงที่อยู่บนท้องฟ้า หลงเฉินก็รีบเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่ และวิ่งไปยังตำหนักฝึกสอนขุนนางในทันที หลงเฉินได้ทอสีหน้าลิงโลดขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งตลอดทาง และยังไม่มีทีท่าว่าจะสลายหายไป
ที่เขาต้องลิงโลดขึ้นมาก็เพราะพบว่าภายในจุดดารากักวายุของตนเองสามารถที่จะเรียกได้ว่าอัดแน่นไปด้วยพลังลมปราณที่มากมาย ในการหลอมโอสถหลังจากนี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าลมปราณจะไม่เพียงพออีกแล้ว
การต่อสู้กับหลี่เฮ่าเมื่อครั้งที่แล้ว หลงเฉินได้ใช้ทักษะยุทธ์พลังวัวคลั่ง ซึ่งมีพลังทำลายมหาศาลอย่างน่าประหลาด เพียงหมัดเดียวก็สามารถล้มหลี่เฮ่าลงได้แล้ว
แต่หมัดนั้นก็ใช้พลังลมปราณทั้งหมดที่มีอยู่ของเขา ในตอนนี้เขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลปัญหาเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว
เมื่อสัมผัสพลังลมปราณของดารากักวายุที่อยู่ภายใน จากการคาดการณ์ปริมาณก็พอที่จะให้เขาใช้พลังวัวคลั่งได้สิบกว่าครั้งแล้ว นี่ถือได้ว่าเป็นข้อแตกต่างของการเข้าสู่พลังดารากักวายุที่แท้จริง
ที่สำคัญที่สุดก็คือ หลังจากที่เพิ่มพูนพลังลมปราณแล้ว พลังอันมหาศาลในร่างกายของเขาก็ได้เพิ่มพูนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะไม่ได้ทำการทดสอบมาก่อน แต่เขาก็ยังทราบได้ว่าจะต้องน่าแตกตื่นตกใจแน่นอน
ขณะที่กำลังลิงโลดอยู่ ประตูใหญ่ตำหนักฝึกสอนขุนนางก็ได้อยู่เบื้องหน้าสายตาแล้ว เมื่อเดินผ่านประตูบานใหญ่ หลงเฉินก็รีบวิ่งไปที่หอศึกษาทันที
เมื่อมาถึงหอศึกษา เดิมทีหอศึกษาที่มีเสียงสนทนากันอยู่ก็ได้เงียบลงเพราะการเข้ามาของหลงเฉิน
การตายของหลี่เฮ่าได้ทำให้ผู้คนไม่น้อยเกิดอาการยากที่จะรับได้ การต่อสู้เมื่อวันนั้น โดยส่วนมากแล้วต่างก็เป็นเหล่าบุตรขุนนางที่เข้าชมแทบทั้งสิ้น พวกเขาได้เห็นหมัดที่อัดแน่นด้วยพลังอันมหาศาลของหลงเฉิน เหล่าบุตรขุนนางที่เอาแต่ดูถูกดูแคลนหลงเฉิน ภายในใจก็ได้เกิดความหวาดกลัวขึ้นมา
“ฮ่าฮ่า พี่หลง”
เจ้าอ้วนและพวกเมื่อพบเห็นหลงเฉินมาถึงก็อดไม่ได้ที่จะยินดีขึ้นมา พวกเขารีบเข้ามาห้อมล้อมหลงเฉินเอาไว้
“พี่หลง นับวันก็ยิ่งสดใสขึ้นเลยนะ”
“พี่หลง เชิญนั่ง”
“พี่หลง เชิญดื่มน้ำชา”
“พี่หลง ข้าจะนวดหลังให้”
หลงเฉินหัวเราะขึ้นมาพร้อมกับด่าทอออกมา “มาไม้นี้ให้มันน้อยๆหน่อย หาอะไรให้ข้ากินหน่อย ข้ายังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย”
หลงเฉินหาที่นั่งบริเวณหัวมุมแล้วจึงได้นั่งลง กระทั่งเจ้าอ้วนได้นำติ่มซำยกเข้ามา มีหลายคนดวงตาทอเป็นประกายขณะมองไปที่หลงเฉิน
แน่นอนว่าหลงเฉินย่อมต้องหิวอยู่แล้ว หลายวันมานี้สิ่งที่เขากินเข้าไปเรียกได้ว่ามีแต่เพียงแค่โอสถ เขาหยิบติ่มซำขึ้นมาและกัดกินเข้าไปอย่างมูมมาม
เพิ่งจะกินได้ครู่หนึ่ง ซือเฟิงก็ได้มาถึง เมื่อเห็นเข้า หลงเฉินก็กวักมือเรียกทันที
ซือเฟิงเดินเข้ามาถึงเบื้องหน้าหลงเฉิน หลงเฉินยื่นขวดหยกขวดหนึ่งให้แก่ซือเฟิงแล้วกล่าว “เอาไปสิ นี่ใช้ได้ไม่นานหรอก แต่ก็พอที่จะทำให้เจ้าสามารถเข้าสู่ยอดฝีมือขอบเขตขั้นก่อโลหิตสำเร็จได้”
เสียงของหลงเฉินแม้จะไม่ได้ดังมาก แต่เจ้าอ้วนและพวกต่างก็ได้ยินอย่างชัดเจน พวกเขาอดไม่ได้ที่จะตกใจกับคำพูดเช่นนี้
ซือเฟิงเองก็เกิดอาการตกใจขึ้นมาเช่นกัน เขารีบร้อนเปิดขวดหยกออก กลิ่นหอมอันเข้มข้นของโอสถก็ได้โชยเข้าไปยังภายในจมูก ที่ด้านในนั้นมียาโอสถลูกกลมๆอยู่หนึ่งเม็ด
“สิ่งนี้คือ…?”
หลงเฉินหัวเราะขึ้นมาเบาๆ เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยอยู่สามคำ “หนิงฮวาตัน(โอสถรวมสมาธิ)”
คนอื่นๆถึงแม้จะไม่ทราบว่าโอสถนั้นคืออะไร แต่เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นผู้มีพลังขั้นก่อรวมขั้นที่แปดอย่างซือเฟิงย่อมต้องทราบดี นี่ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อยอดฝีมือที่มีพลังขั้นก่อรวมขั้นที่เก้าเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังกล่าวได้ว่าเป็นดั่งสมบัติที่ใฝ่หาอย่างถึงที่สุด
โอสถรวมสมาธิเป็นสิ่งที่ช่วยในการรวมพลังโดยเฉพาะ ยาโอสถนี้ช่วยในการรวมพลังเข้าสู่พลังขอบเขตก่อโลหิต ภายในของยาถือได้ว่ารวมเอาไว้ด้วยพลังที่มหาศาล
ที่สำคัญที่สุดก็คือโอสถรวมสมาธิส่งผลช่วยในการฝึกปรือในภายหลัง อีกทั้งยังไม่มีผลกระทบที่จะตามมาแต่อย่างไร
ทว่าโอสถรวมสมาธิถือได้ว่ายากที่จะหลอมรวมขึ้นมาได้ ทั้งยังมีโอกาสล้มเหลวที่สูง โดยเฉพาะขั้นตอนสุดท้ายของการหลอมโอสถ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นดั่งฝันร้ายของผู้หลอมโอสถทั้งหลายเลยทีเดียว
โอสถรวมสมาธิธรรมดาเพียงแค่เม็ดเดียวเรียกได้ว่ามีราคาที่มากถึงร้อยหมื่น(1 ล้าน)ตำลึงทองเลยทีเดียว อีกทั้งยังเป็นที่ขาดแคลนของตลาดด้วย
ร้อยหมื่นตำลึงทอง เมื่อเทียบกับทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มีอยู่ของซือเฟิง เรียกได้ว่าไม่อาจที่จะมีได้เลย
“หลงเฉิน นี่มัน……”
“จะมาอะไรมากมายกัน เจ้าเอาไปเถอะ ในเวลาที่ข้าเอาของของเจ้ามา เจ้าไม่เคยจะอิดออดหรือลังเลเลย อย่าได้ทำท่าทางเหมือนกับเหล่าแม่นางไปสิ” หลงเฉินโบกมือขึ้นมาตัดบท
ซือเฟิงพยักหน้า ในเวลาเช่นนี้ต่อให้พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ เขาจึงได้ฝืนเก็บความรู้สึกตื้นตันเอาไว้ภายในจิตใจแล้วกล่าว “ได้ งั้นรอจนข้าเข้าสู่ขึ้นก่อรวมระดับที่เก้าได้แล้ว ข้าจะรีบใช้ทันที”
“ไม่ต้องรอหรอก หรือว่าที่แท้เจ้าไม่ได้เห็นชั้นแสงที่อยู่ด้านบนของมันกัน? เมื่อเจ้ากลับไปแล้วก็รีบใช้ซะ”
ซือเฟิงเพิ่งพบว่าที่ด้านบนของยาโอสถนั้นมีชั้นแสงปรากฎอยู่อย่างหนาแน่น เมื่อเห็นเช่นนั้นก็เกือบจะตกใจจนร้องขึ้นมา นี่ถึงกับเป็นยาโอสถระดับกลาง ไม่รู้ว่าในส่วนของราคาจะมากกว่าเดิมอีกไม่รู้กี่เท่า
“รีบเก็บเอาไว้เถอะ ระหว่างพวกเราพี่น้องไม่จำเป็นที่จะต้องกล่าวมากความไปหรอก” หลงเฉินกล่าว
ซือเฟิงก็ได้แต่ทอนัยน์ตาแดงก่ำขึ้น แล้วก็เก็บโอสถขวดนั้นเก็บเอาไว้เป็นอย่างดี น้ำใจระหว่างพี่น้องของหลงเฉินนั้นมีค่ามากกว่ายาโอสถนี้เสียอีก
“พี่หลง”
“ใต้เท้าหลง”
“ท่านปู่หลง”
“……”
เจ้าอ้วนและพวกหลายคน ถึงแม้จะไม่ทราบว่าโอสถรวมสมาธินั้นคือสิ่งใด แต่เกี่ยวกับยาโอสถที่พวกเขาทราบกัน ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่มีค่าอย่างยิ่ง ในเวลาเช่นนี้พวกเขาจึงได้ใช้สายตาที่หิวกระหายดุจดั่งหมาป่าจ้องมองไปทางหลงเฉิน
หลงเฉินได้ถูกหลายคนเรียกจนรู้สึกขนลุกขนพองขึ้นมา รีบเร่งกล่าวให้พวกเขาหยุด “วางใจเถอะ เรื่องที่ข้าเคยบอกต่อพวกเจ้าไป ข้าย่อมต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว”
ความจริงแล้วที่พวกเขาไม่อาจที่จะฝึกปรือได้ก็เป็นเพราะเส้นรากปราณของพวกเขานั้นย่ำแย่จนเกินไป จึงไม่อาจที่จะสัมผัสได้ถึงพลังปราณที่แท้จริง
คนอื่นๆถึงแม้จะไม่อาจจะทำอะไรได้ แต่หลงเฉินเป็นผู้ใดกัน? เขาเป็นถึงผู้ที่รวมเข้ากับความทรงจำของจักรพรรดิโอสถ ถ้าแม้แต่เรื่องแค่นี้ยังไม่สามารถที่จะทำได้ แล้วจะเรียกว่าเป็นจักรพรรดิโอสถได้อย่างไรกัน
“เอ้า ทุกคนเอาไปคนละหนึ่งขวด กินทุกวันสามเวลา งดอาหารสด งดสุรา งดการมีเพศสัมพันธ์ จะเห็นผลได้ภายในเจ็ดวัน และจะสามารถสัมผัสได้ถึงพลังภายในครึ่งเดือน ในส่วนที่ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะเข้าสู่พลังขั้นก่อรวมได้นั้น ก็ต้องดูที่ความพยายามของแต่ละคนแล้ว”
หลงเฉินแจกจ่ายให้พวกเขาคนละขวด ภายในขวดใส่เอาไว้ด้วยยาเหลวเต็มขวด ซึ่งเป็นสิ่งที่หลงเฉินผสมเองกับมือ
ยาเหลวนั้นถึงแม้จะไม่มีราคาแพงมากนัก แต่ก็ยังส่งผลต่อผู้ที่มีเส้นรากปราณย่ำแย่ มันสามารถที่จะทำการเปลี่ยนแปลงเส้นรากปราณของพวกเขาได้ แต่หลงเฉินก็ยังมีข้อจำกัด จึงไม่อาจที่จะเปลี่ยนแปลงขีดจำกัดของแต่ละคนได้
ยาเหลวสามารถที่จะทำให้พวกเขาเข้าสู่ขอบเขตก่อรวมได้ถือว่าไม่เป็นปัญหาอะไร ถ้าหากดวงดีแล้วล่ะก็อาจจะถึงขั้นก่อโลหิตเลยก็เป็นได้ แต่ถ้าสูงขึ้นกว่านี้ย่อมไม่อาจเป็นไปได้อยู่แล้ว
สำหรับเจ้าอ้วนและพวก ยาเหลวนี้ถือได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่ไม่กล้าแม้แต่จะคิดเลยด้วยซ้ำ มีอยู่หลายคนที่มองไปที่ขวดด้วยความตื่นเต้น
“พี่หลง ถ้าเกิดพวกเราสามารถเข้าสู่การฝึกปรือได้แล้ว จะส่งกระทบต่อท่านหรือไม่?” เจ้าอ้วนถึงแม้จะอ้วน แต่ก็ยังถือว่ามีสมองอยู่ เขาเป็นคนแรกที่ถามถึงปัญหาข้อนี้ออกมา
ถ้าหากหลงเฉินสามารถทำให้พวกไร้ประโยชน์เหล่านี้ฝึกปรือขึ้นมาได้ เกรงว่าคงจะส่งผลกระทบในภายหลังต่อหลงเฉินอยู่ไม่น้อย อาจจะเป็นไปได้ว่าจะกลายเป็นที่จับตามองจนสร้างความยุ่งยากให้ก็เป็นได้
ความหมายของเจ้าอ้วนก็คือต้องการให้เก็บความลับหรือไม่ แต่หลงเฉินเพียงแต่หัวเราะแล้วกล่าว “ไม่เป็นไร ตัวยาเหล่านี้ต่างก็มาจากท่านปรมาจารย์หวินฉีทั้งสิ้น ผู้ใดต้องการก็คงจะต้องไปตามเอากับปรมาจารย์หวินฉีเองแล้วล่ะ”
“ปรมาจารย์หวินฉี?!”
มีหลายคนที่เกิดอาการตกใจขึ้นมา พวกเขาคิดที่จะถามหลงเฉินว่าล้อเล่นใช่หรือไม่ แต่ในเวลานี้กลับมีเสียงของฝีเท้าดังเข้ามาจนต้องหันกลับไปมอง ในตอนนั้นสีหน้าของแต่ละคนต่างก็แตกตื่นขึ้นมาตามๆกัน