เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 132 ความเกรี้ยวกราดของเสี่ยวเสว่ย

ชายหนุ่มทะลวงกำปั้นข้างหนึ่งออกมากดดันหลงเฉิน ทั่วทั้งผืนฟ้าปรากฏแสงสว่างเจิดจ้าประดุจมีอัสนีบาต พลังทำลายอันน่าหวาดหวั่นโหมกระหน่ำเข้ามาจนทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดผวา เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มผู้นี้จะต้องเป็นยอดฝีมือที่แท้จริงผู้หนึ่งแน่นอน

หลงเฉินสบถเสียงดังชิขึ้นมา ขณะที่กำลังจะลงมือนั้น เบื้องหลังของเขาก็ได้มีเสียงคำรามดังกึกก้องขึ้นมา จากนั้นอุ้งเท้าขนาดใหญ่ข้างหนึ่งก็ได้กวาดกรงเล็บอันแหลมคมออกไปขวางทางหลงเฉินเอาไว้

“เสี่ยวเสว่ย”

หลงเฉินสะดุ้งตัวโยนขึ้นมาในทันที เสี่ยวเสว่ยคงจะสัมผัสได้ถึงโทสะของเขาที่ถูกชายหนุ่มผู้นั้นกระตุ้นขึ้นมาจึงได้รีบลงมือด้วยความเกรี้ยวกราด

“ตูม”

กรงเล็บของเสี่ยวเสว่ยปะทะเข้ากับคมหมัดของชายหนุ่มผู้นั้นอย่างจัง เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวเป็นระลอก เกิดเป็นสายลมโหมกระหน่ำพัดชายหนุ่มให้ลอยออกไปไกลหลายจั่ง

เสี่ยวเสว่ยนั้นเป็นสัตว์มายาระดับสามที่หายาก ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีพลังที่แข็งแกร่งจนถึงขั้นสูงสุด ทว่าพลังที่มีอยู่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ชายหนุ่มผู้นั้นจะสามารถต้านทานเอาไว้ได้

หลังจากที่ปลดปล่อยพลังออกไป เสี่ยวเสว่ยก็ได้คำรามขึ้นมาเสียงดังอย่างเกรี้ยวกราด บรรยากาศของความน่าหวาดกลัวและขุมพลังอันเลวร้ายแผ่ซ่านไปทั่วทุกสารทิศจนทำให้สัตว์มายาที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างก็แตกตื่นตกใจขึ้นมาจนเนื้อตัวสั่นเทิ้มไปตามๆ กัน นี่ถือเป็นพลังสภาวะกดดันของสัตว์มายาระดับราชาเลยก็ว่าได้

ทันใดนั้นเสี่ยวเสว่ยก็อ้าปากกว้างขึ้นมา คมวายุทอประกายแสงเจิดจ้าพุ่งตัดช่องว่างของอากาศจนเกิดเป็นเส้นทางกลางบรรยากาศ มุ่งสู่เบื้องหน้าของชายหนุ่มที่กำลังทอสีหน้าแตกตื่นขึ้นมาอย่างถึงที่สุด

“เสี่ยวเสว่ย อย่า!”

หลงเฉินตกใจขึ้นมายกใหญ่ ทว่าคำห้ามปรามกลับพ่นออกมาในช่วงเวลาที่สายเกินไปเสียแล้ว

เสี่ยวเสว่ยนั้นเชื่อมต่อความรู้สึกหลงเฉินได้ ทว่าจิตสำนึกของเจ้าหนูน้อยกลับแตกต่างไปจากหลงเฉินจึงไม่อาจเข้าใจภาวะของความวิตกกังวลได้ เมื่อเห็นหลงเฉินบังเกิดความโกรธเกรี้ยวขึ้นมาจึงพ่นคมวายุออกไปอย่างไม่นึกคิดอันใด

คมวายุที่มีรูปร่างคล้ายกับเคียวของเทพแห่งความตายผ่าสายลมกลางอากาศออกไปอย่างรวดเร็ว พลังปะทุดังเสียดแก้วหูของทุกผู้คนจนต้องยกมือขึ้นมาปิด ผืนดินสั่นสะเทือนเลือนลั่นไปมาอย่างบ้าคลั่งจนผู้คนทั้งหมดเกิดความหวาดผวาจนแทบจะสลบเหมือดลงไป

ไม่มีผู้ใดล่วงรู้มาก่อนว่าสัตว์มายาของหลงเฉินนั้นจะเป็นถึงสัตว์มายาระดับสามตัวหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นสัตว์มายาระดับสามที่มีการคงอยู่ของขุมพลังอันมหาศาลที่น่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง

อีกทั้งยังแตกต่างสัตว์มายาของผู้ฝึกยุทธ์คนอื่น เพราะโดยส่วนมากแล้วสัตว์มายาเหล่านั้นต่างก็ถูกประทับจิตวิญญาณกับผู้เป็นนายเอาไว้แล้ว พวกมันจึงไม่อาจทรยศผู้เป็นนายได้อีกต่อไป

ทว่าเสี่ยวเสว่ยกับหลงเฉินนั้นอยู่ในสถานะของสหายผู้หนึ่ง และไม่ได้ทำข้อตกลงหรือผูกจิตวิญญาณเป็นทาส ฉะนั้นเสี่ยวเสว่ยจึงมีความคิดอ่านเป็นของตัวเอง และสามารถปะทุพลังได้มากกว่าสัตว์มายาตัวอื่นหลายเท่าตัวนัก

เมื่อสัตว์มายาตัวใดถูกการประทับจิตวิญญาณไปแล้วก็จะทำให้พลังการต่อสู้ลดทอนลงไปกว่าครึ่ง ทว่าก็เป็นเรื่องที่ย่อมต้องแลกเปลี่ยนกับความเชื่องของมัน เพราะอาจเกิดเหตุการณ์สัตว์มายากลืนกินผู้เป็นนายของตัวเอง จึงไม่มีผู้ใดปรารถนาให้เป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว

ชายหนุ่มผู้นั้นแตกตื่นจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำ ทั่วทั้งศีรษะปรากฏเหงื่ออันเย็นเยียบเม็ดใหญ่ผุดขึ้นมา แม้แต่จะขยับหนีสักก้าวหนึ่งก็ยังเป็นไปอย่างยากลำบาก

ผู้คนทั่วทั้งบริเวณต่างก็ส่งเสียงร้องอย่างตกใจขึ้นมา เมื่อคิดว่าชายหนุ่มผู้นั้นจะต้องตายลงไปอย่างแน่นอน อีกทั้งสำนักพลิกสวรรค์ยังมีกฎที่ว่าห้ามให้ลูกศิษย์ฆ่าฟันกันจนถึงแก่ชีวิต

กลางป่าลึกที่ไกลออกไป มีเงาร่างบางของถังหว่านเอ๋อยืนมองดูการต่อสู้อย่างคึกคักอยู่ ทว่าทันใดนั้นใบหน้างดงามก็ได้เหยเกขึ้นมากะทันหัน นางคิดเพียงจะแก้แค้นหลงเฉินจึงไมได้สังเกตว่าสัตว์มายาที่ข้างกายของชายหนุ่มผู้นั้นเป็นถึงสัตว์มายาระดับสาม

“แย่แล้ว”

ถึงแม้ว่าจะไม่พอใจต่อความหยาบคายของหลงเฉิน ทว่าก็เป็นแค่ความเกลียดชังเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และไม่ได้ต้องการให้หลงเฉินถูกขับไล่ออกไปด้วยเหตุการณ์เช่นนี้อย่างแน่นอน

“โล่ปราณวารี”

ทันใดนั้นเงาร่างสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาขวางอยู่หน้าคมวายุของเสี่ยวเสว่ย พลันก็ได้ยื่นมือข้างหนึ่งพร้อมโล่สีฟ้าครามขนาดยักษ์ออกมา

โล่สีฟ้าครามชิ้นนั้นมีรัศมีสามเซียะ ภายในใจกลางมีการรวมตัวของวังวนวารีขนาดครึ่งช่วงตัวของคนผู้หนึ่ง

“เพล้ง”

คมวายุปะทะกับโล่ปราณวารีจนเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นมา สายวารีสาดกระเซ็นไปทั่วทุกสารทิศ อีกทั้งพื้นดินด้านล่างก็ได้ทรุดลงไปจนกลายเป็นหลุมขนาดกว่าร้อยเซียะ

“ชีซิ่ง”

เสียงร้องดังระงมไปทั่วทั้งบริเวณ เมื่อเห็นว่าผู้ที่เข้ามาต้านทานคมวายุอันน่าหวานกลัวนั้นเอาไว้ เป็นชีซิ่งนั่นเอง

หลงเฉินผ่อนลมหายใจออกมาอย่างผ่อนคลายเมื่อคมวายุไม่ได้สังหารผู้ใด ทว่าในเวลาเดียวกันก็แตกตื่นตกใจอย่างถึงที่สุด การโจมตีของเสี่ยวเสว่ยถูกเขาต้านทานเอาไว้ได้ นี่เป็นบุคคลที่ถูกเรียกขานกันว่าเป็นสัตว์ประหลาดอย่างนั้นหรือ?

“ชิ ก็แค่สัตว์ที่ไม่ได้ถูกสั่งสอน ไร้ค่าสิ้นดี” ชีซิ่งมองไปที่หลงเฉินแล้วกล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชา

ทว่าหลงเฉินกลับรู้สึกขัดหูขัดตากับการเสแสร้งแกล้งทำของชายหนุ่มยิ่งนัก จึงกล่าวออกไปอย่างเย้ยหยันว่า “สัตว์เลี้ยงที่แข็งแกร่งย่อมต้องมีพลังการต่อสู้ที่แกร่งกล้าด้วย และในตอนนี้พวกเขาก็กำลังต่อสู้กันอยู่ การสอดมือเข้ามาพร่ำเพื่อถือเป็นผู้ที่ไม่ได้รับการสั่งสอนอย่างแท้จริง หากปรารถนาที่จะขอร้องให้หยุดลงมือ ก็จงถอดกระโปรงออกแล้วมาสู้กัน

แล้วเหตุใดตัวโง่งมอย่างเจ้ายังกล้าคิดที่จะไล่ตามหญิงสาวของผู้อื่นอย่างถังหว่านเอ๋อกัน? อีกทั้งยังเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ผู้หนึ่งแล้วยังจะมาเสแสร้งแกล้งทำตัวเป็นนักวิชาการผู้สูงส่ง เช่นนั้นเหตุใดยังไม่รีบไปเข้าสอบกันเล่า มาเสนอหน้าอยู่ในสถานที่แห่งนี้ไปเพื่อการอันใดกัน?

เจ้าทราบหรือไม่ว่า (娘娘腔) กะเทยนั้นเป็นเช่นไร? ก็ดูจากท่าทางดัดจริตของเจ้าอย่างไรเล่า แต่เอ๊ะ! ดูจากสีหน้าของเจ้าแล้วก็คล้ายกับว่าทราบอยู่แก่ใจอยู่แล้วนะ”

หลงเฉินพ่นวาจาออกมาเป็นสายอย่างไม่เกรงใจผู้ใด จนทั่วทั้งบริเวณเงียบสงัดลงดั่งป่าช้า ไม่ได้ผู้ใดคาดคิดว่าหลงเฉินจะหาญกล้ายืนด่าทอผู้มีพรสวรรค์ในระดับสัตว์ประหลาดผู้หนึ่งได้เจ็บแสบถึงเพียงนี้ เขาไม่เกรงกลัวความร้ายกาจของคนเหล่านี้หรืออย่างไรกัน?

“ครืน”

ท่ามกลางป่าลึกที่อยู่ไกลออกไปก็ได้บังเกิดเสียงหัวเราะขึ้นมา ถังหวานเอ๋อจึงรีบยกมือขึ้นป้องปากอย่างรีบร้อน

“ถึงแม้ว่าชายผู้นั้นจะเป็นคนที่น่ารังเกียจ ทว่าที่เขากล่าวออกมานั้นไม่มีผิดเลย ชีซิ่งผู้นั้นไม่ใช่ตัวดิบดีต่างอย่างใด เขาเพียงแกล้งทำตัวเป็นสุภาพบุรุษก็เท่านั้น นี่แหละหนาที่เขาเรียกว่าศัตรูของศัตรูก็คือสหายผู้หนึ่ง”

ถังหว่านเอ๋อพึมพำกับตัวเอง หญิงสาวที่ติดตามอยู่ข้างกายอีกสองนางก็ได้สบตากันอย่างโง่งม จากนั้นก็ได้แต่ก้มหน้ามองพื้นพร้อมทั้งสายหน้าไปมา

กัวเหรินที่ยืนอยู่เบื้องหลังของหลงเฉินคล้ายกับจะร่ำไห้ออกมาอย่างไร้ซึ่งหยาดน้ำตา ภายในจิตใจรู้สึกถึงความผิดหวังที่ให้หลงเฉินเป็นพี่ใหญ่ขึ้นมาอย่างใหญ่หลวง อีกทั้งยังล่วงรู้ได้ว่าชีวิตของเขาคงจะต้องตายก่อนวัยอันควรอย่างแน่นอน หลงเฉินผู้นี้กำลังคิดจะทำอันใดอยู่กันแน่นะ?

ชีซิ่งมีสีหน้าดำคล้ำขึ้นมาในทันที หลายปีมานี้ไม่มีผู้ใดด่าทอเขาอย่างหนักหน่วงถึงเพียงนี้ แม้แต่ผู้อาวุโสประจำตระกูลก็ยังไม่หายกล้า อีกทั้งโลกภายนอกนี้ยังสร้างรูปปั้นของเขาขึ้นมาเพื่อให้ผู้คนสักการะ ทว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นใครกัน เหตุใดถึงกล้าลบหลู่เขาได้อย่างไม่เกรงกลัวความตาย?

“นี่เจ้ากำลังท้าทายข้าอยู่นะ แล้วเจ้าทราบหรือไม่ว่าผลลัพธ์ของมันก็คือความเจ็บปวดอย่างที่ไม่อาจต้านทานได้” ชีซิ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา ทว่าเปี่ยมไปด้วยความจริงจัง

“ท้าทาย? ไม่ ข้าไม่เคยกระทำเรื่องที่น่าเบื่อเช่นนั้นมาก่อนเลย ความอิจฉาที่กลบเกลื่อนด้วยการเสแสร้งแกล้งทำเรื่องโง่เง่าอย่างที่เจ้าชมชอบกระทำนั้น ข้าย่อมไม่อาจกล้ำกลืนกระทำลงไปได้อย่างแน่นอน เพียงแค่คิดก็กระอักกระอ่วนชวนให้คลื่นไส้แล้ว” หลงเฉินส่ายหน้าแล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว

ผู้คนทั้งหมดต่างก็สะดุ้งตัวโยนขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน เจ้าหนูผู้นี้มาจากที่แห่งใดกัน? ถึงกับกล้ากล่าววาจาเย้ยหยันต่อชีซิ่งได้อย่างหน้าตายถึงเพียงนี้ เขาไม่อยากใช้ชีวิตอยู่ในสำนักพลิกสวรรค์อย่างสงบสุขอย่างนั้นหรือ? หรืออยากจะออกไปทีนี่จนยอมทุบหม้อข้าวหม้อน้ำของตัวเอง นี่เป็นความตั้งใจของเขาแน่หรือ?

“บังอาจนัก! เช่นนั้นขอข้าดูความสามารถของเจ้าหน่อยว่าจะเก่งเหมือนฝีปากหรือไม่”

ชีซิ่งถูกเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงม ไม่มีผู้ใดกล้าเย้ยหยันเขาเช่นนี้ โดยเฉพาะต่อหน้าผู้คนมากมาย หากในวันนี้เขาไม่สั่งสอนหลงเฉินให้รู้สำนัก ชื่อเสียงของเขาก็คงถึงคราวจะต้องย่อยยับลงไปเสียแล้ว

เมื่อสิ้นเสียงพูด ชีซิ่งก็ค่อยๆเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของหลงเฉิน ทุกฝีก้าวของชายหนุ่มได้แผ่ขุมพลังขึ้นมาต่อเนื่องจนบรรยากาศโดยรอบเกิดการสั่นไหวไปมาอย่างรุนแรง หลงเฉินสัมผัสได้ถึงสภาวะของชีซึ่งที่ลึกล้ำยิ่งกว่าตอนที่ต่อสู้กับเหร่ยเชียนซังเป็นอย่างมาก

ถังหว่านเอ๋อที่ยังคงซ่อนตัวอยู่ก็ได้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ได้ก้าวเท้าออกไปสองก้าว ทว่าท้ายที่สุดแล้วก็หยุดฝีเท้าลง ไม่คิดที่จะปรากฏตัวออกไป “ข้าบอกไปแล้วว่าอย่าถึงกับเอาชีวิต ไม่เช่นนี้จะต้องเจ็บปวดไปอีกนาน แล้วเจ้าเด็กน้อยผู้นั้นใยต้องมาเข้าไปเช่นนั้นด้วย จะเข้าไปหยุดก็คงจะไม่ใช่เรื่องง่าย เช่นนั้นก็คงต้องรอดูกันต่อไปแล้ว”

เดิมทีถังหว่านเอ๋อเพียงจะดูว่าหลงเฉินจะทำอย่างไรเมื่อได้เห็นเหร่ยเชียนซังกับชีซิ่งแสดงการต่อสู้กัน ทว่ากลับไม่คิดเลยว่าชายหนุ่มจะด่าทอออกมาอย่างไม่น่าฟังได้ถึงเพียงนี้

อีกทั้งเรื่องราวในตอนนี้ยิ่งดำเนินต่อไปก็ยิ่งจะย่ำแย่ลงจนไม่มีทีท่าว่าจะควบคุมได้ หากหลงเฉินต่อสู้จนได้รับบาดเจ็บสาหัส จิตใจของนางก็ไม่ได้รู้สึกดีไปกว่ากันเลย

ทว่านางกลับรู้สึกว่าหลงเฉินคล้ายกับเป็นตะเกียงที่มีน้ำมันเหลืออยู่ ฉะนั้นจึงอยากจะเฝ้าดูต่อไปก่อน ส่วนเรื่องเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นในภายหลังก็ค่อยว่ากันอีกทีก็ยังไม่สาย

“กัวเหริน เจ้าถอยไปให้ไกลซะ แล้วก็อย่าให้ทำตัวเช่นนั้นด้วย” เมื่อเห็นว่ากัวเหรินยังคงยืนอยู่เบื้องหลังของตัวเอง อีกทั้งยังเอาแต่เอ่ยปากขับไล่ผู้คนออกไป ภายในจิตใจของหลงเฉินจึงเกิดความเป็นห่วงขึ้นมา

“พี่หลง ข้าก็อยากจากไปแทบแย่แล้ว ทว่าขาของข้าสั่นไปหมดจึงไปต่อไม่ไหว” กัวเหรินกล่าวขึ้นมาราวด้วยใบหน้าที่คล้ายกับจะร่ำไห้ออกมาอย่างไร้หยาดน้ำตา

“ให้ตายเถิด”

หลงเฉินขยับเท้าข้างหนึ่งช้อนไปที่บั้นท้ายของกัวเหริน แล้วออกแรงส่งกัวเหรินทะยานออกไปยังที่ที่ไกลออกไปประดุจพลุสายหนึ่ง

หลังจากที่มั่นใจว่ากัวเหรินจะไม่ได้รับผลกระทบ หลงเฉินจึงกระโดดขึ้นไปบนหลังของเสี่ยวเสว่ย แล้วกล่าวต่อชีซิ่งด้วยสีหน้าเย่อหยิ่งว่า “เจ้าหนู เข้ามาเลย”

ชีซิ่งส่งเสียงดังชิขึ้นมาอย่างเย็นชา แล้วออกแรงที่ใต้ฝ่าเท้าจนร่างกายพุ่งออกไปด้านหน้าประดุจดาวตกสายหนึ่ง

“กึง”

ในขณะที่ร่างกายของเขากำลังจะพวยพุ่งประชิดร่างของหลงเฉินอยู่นั้น คมวายุของเสี่ยวเสว่ยก็ได้ฝ่าสายลมเข้ามาที่เขาในทันที ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีพลังทำลายมากมายเท่าครั้งก่อนหน้านี้ ทว่าหากรับโดยตรงก็คงจะต้องบาดเจ็บสาหัส

ชีซิ่งรีบพลิกร่างกายไปด้านข้างเพื่อหลบการโจมตีสายนั้น ทว่ากลับมีคมวายุอีกสายหนึ่งพวยพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว

“ซูมซูมซูม……”

เสี่ยวเสว่ยปลดปล่อยคมวายุออกมาไม่หยุด ถึงแม้ว่าจะไม่ได้แข็งแกร่งมาก ทว่าความเร้นลับบางอย่างทำให้เขามือไม้พันกันอย่างวุ่นวาย

หลงเฉินมองดูชีซิ่งที่เอแต่หลบไปทางซ้ายหายไปทางขวาที แล้วส่งเสียงกู่ร้องอกไปว่า “พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย เชิญโยนสมบัติของพวกท่านเข้ามาได้เลย ขณะนี้ละครลิงกำลังจะเริ่มการแสดงแล้ว หวังว่าทุกท่านจะช่วยสนับสนุนการแสดงในครั้งนี้ด้วยเศษเงินทอง

เห็นกันชัดเจนแล้วใช่หรือไม่ว่าลิงตัวนี้กระโดดได้สูงเพียงใด หากไม่มีประสบการณ์ในการฝึกยุทธ์ถึงแปดปีสิบปีก็ไม่อาจกระทำเช่นนี้ได้อย่างหมดจดแน่นอน ”

หลงเฉินนั่งควบคุมการโจมตีอยู่บนหลังของเสี่ยวเสว่ย พร้อมทั้งจับตาดูระดับพลังจากการเคลื่อนไหวของชีซิ่ง ผู้คนที่ยืนอยู่ในบริเวณท่ำกลออกไปต่างก็กรอกดวงตาตามเงาร่างของยอดฝีมือไปมาราวกับกำลังดูชีซิ่งแสดงละครลิงอยู่อย่างไรอย่างนั้น

“เจ้าหนู เจ้ารนหาที่ตาย”

ชีซิ่งระเบิดเพลิงโทสะขึ้นมาอย่างแรงกล้า บรรยากาศบนร่างกายปะทุสภาวะของวารีขึ้นมาอย่างหนานแน่น ทั่วทั้งผืนฟ้าคล้ายกับมีสิ่งที่โปร่งใสปกคลุมไปทั่ว แล้วเงาร่างนั้นก็ได้หอบสายวารีปะทะกับคมวายุของเสี่ยวเสว่ยเข้ามาหาหลงเฉินในทันที

“เสี่ยวเสว่ยจัดการเลย”

ก่อนหน้านี้หลงเฉินให้เสี่ยวเสว่ยลดทอนสภาวะพลังการโจมตีลงเพื่อประเมินพลังฝีมือของชีซิ่งเท่านั้น เมื่อเห็นว่าชีซิ่งเริ่มเอาจริง เขาจึงให้เสี่ยวเสว่ยใช้กระบวนท่าที่ไม่ซ้ำกันออกมาในทันที

เสี่ยวเสว่ยคำรามด้วยความเกรี้ยวกราด เส้นขนสีขาวโพลนชูชันขึ้นมา พลังกดดันอันน่าหวาดกลัวถูกปะทุขึ้นมาอย่างมหาศาล พลันก็ได้อ้าปากกว้างแล้วปล่อยก้อนแสงลูกหนึ่งลอยออกไป ….

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset