ฝนโลหิตสาดกระเซ็นประดุจพลุสีแดงสะท้อนกับแสงจากดวงอาทิตย์ที่สาดส่งลงมาจนเกิดเป็นประกายแสงอันน่าหวาดกลัวขึ้นมา
ผู้มีพรสวรรค์ที่อยู่ในขอบเขตก่อโลหิตตอนปลายผู้หนึ่งกลับต้องมาตายไปเช่นนี้ อีกทั้งยังไม่เหลือแม้แต่ซากศพ ถึงแม้ว่าหมอกโลหิตจะจางหายไปแล้ว ทว่ากลิ่นคาวกลับยังคงรุนแรงอยู่จนผู้คนที่ได้สูดดมเข้าไปถึงกับปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมาในทันที
เหล่าศิษย์พี่คนอื่นยังคงอยู่ในท่าทีที่สงบและเยือกเย็น แม้ว่าจะได้เห็นการลงมืออย่างโหดเ**้ยมของสหายร่วมชั้น
หลงเฉินเองก็มีท่าทีแตกตื่นไปต่างจากผู้มารายงานตัวคนอื่นๆ ที่เขาตกใจไม่ใช่เพราะการตายของชายหนุ่มผู้หลอกลวง ทว่ากับเป็นการลงมืออันหมดจดของศิษย์พี่ผู้นั้นต่างหาก
การโจมตีของชายผู้นั้นแปลกประหลาดจนเกินไป หลังจากไหลเวียนพลังลมปราณขึ้นมาจนถึงขีดสุดแล้ว ร่างกายของชายหนุ่มผู้หลอกลวงก็ได้แตกสลายไปในทันที ที่น่าตกใจก็คือศิษย์พี่ผู้นั้นไม่ได้ใช้ทักษะยุทธ์ออกมา ทว่าเป็นเพียงพลังลมปราณที่แผ่ออกมาจากร่างกายในอีกรูปแบบหนึ่งเท่านั้น
เพียงไหลเวียนพลังลมปราณภายในร่างกายด้วยขุมพลังอันมหาศาลถึงเพียงนั้นก็ถือว่ากระทำได้ยากลำบากเป็นอย่างยิ่งแล้ว ทว่าศิษย์พี่ผู้นั้นถึงกับปลดปล่อยออกมาภายนอกร่างกายได้ด้วยการควบคุมที่มั่นคง ช่างเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจอย่างถึงที่สุด
หากไม่ได้อยู่ในวิถีแห่งผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริงย่อมไม่อาจใช้เพียงพลังลมปราณเช่นนี้ออกมาสังหารผู้คนได้ เมื่อผู้มีพรสวรรค์ทั้งหลายได้เห็นพลังฝีมือเช่นนั้นต่างก็เกิดความเย็นเยียบขึ้นมาภายในจิตใจอย่างท่วมท้น
ทันใดนั้นก็มีเงาร่างทั้งหมดสามร่างกระโดดออกมาจากกลุ่มผู้มารรายงานตัวด้วยความว่องไวระดับปีศาจ ผู้คนทั้งหมดจดจ้องไปที่เงาร่างสามสายนั้นแล้วเข้าใจขึ้นมาได้ทันทีว่าพวกเขาคงจะเกิดปัญหาเช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้หลอกลวงอย่างแน่นอน
ศิษย์พี่คนเดิมเหยียดรอยยิ้มเย้ยหยันขึ้นที่มุมปาก จากนั้นก็ได้ดีดนิ้วครั้งหนึ่งจนเกิดเป็นสภาวะไร้รูปร่างสายหนึ่งลอยผ่านอากาศออกไปประดุจคมกระบี่สายหนึ่ง
“พรวดพรวดพรวด”
ทันใดนั้นสภาวะไร้รูปร่างก็ได้แทงทะลุร่างทั้งสามคนที่กำลังจะวิ่งออกจากลานกว้างไป กลุ่มคนนั้นห่างออกไปกว่าร้อยเซียะ ทว่ากลับถูกเด็ดชีวิตได้อย่างรวดเร็วและหมดจด
ความไม่พึงพอใจต่อ ‘พวกปลายแถว’ เมื่อครู่นี้หายวับไปในพริบตาเดียว ความรู้สึกเย้ยหยันทั้งหมดต่างก็ถูกแทนที่ด้วยความหวาดกลัวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ โดยเฉพาะชายหนุ่มที่เป็นเจ้าของคำพูด ‘พวกปลายแถว’ เมื่อสักครู่ที่บัดนี้ได้มีใบหน้าซีดเผือด อีกทั้งยังหลั่งเหงื่อออกมาอย่างท่วมท้น
“มาตรวจสอบบัตรเทียบเชิญกันต่อเถิด”
ชายหนุ่มชุดดำขลับที่เรียกตัวเองว่าครูฝึกสอนนั้นทำการตรวจสอบบัตรเทียบเชิญของผู้มารายงานตัวคนต่อไปอย่างละเอียดรอบรอบเป็นอย่างยิ่ง
แม้แต่ผู้มารายงานตัวอย่างเหร่ยเชียนซังหรือแม้แต่ชีซิ่งเองก็ได้ยื่นบัตรเทียบเชิญของตัวเองออกไปด้วยท่าทีที่อ่อนน้อมถ่อมตน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เกรงกลัวต่อศิษย์พี่ ทว่าก็ไม่อยากจะกลายเป็นตัวโง่งมต่อหน้าผู้คน
เพราะศิษย์พี่เหล่านี้ต่อให้อยู่ในระดับที่ต่ำต้อยที่สุดของรุ่น ทว่าก็ได้ผ่านการฝึกยุทธ์จากสำนักพลิกสวรรค์มาถึงสามปีแล้ว ฉะนั้นด้วยพลังสภาวะเช่นนั้นย่อมต้องไม่ใช่ระดับที่สมควรจะทำปีกกล้าขาแข็งใส่ได้ในตอนนี้
ทว่าอีกด้านหนึ่งของจิตใจก็บังเกิดความตื่นเต้นขึ้นมาไม่น้อย ด้วยพลังของพวกปลายแถวยังถึงกับสังหารผู้คนลงไปได้อย่างง่ายดาย ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าศิษย์ของสำนักพลิกสวรรค์เป็นการคงอยู่ที่น่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง
หลงเฉินทำการตรวจสอบไปที่ร่างกายของครูฝึกสอนอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่งก็พบว่าชายผู้นั้นมีพลังในการฝึกยุทธ์อยู่ในขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นเท่านั้น
ซึ่งเทียบได้กับชายหนุ่มชุดขาวที่หลงเฉินเคยประมือด้วย ทว่าหากกล่าวถึงพลังการต่อสู้ของทั้งสองคนแล้วช่างต่างกันราวฟ้ากับดิน หรือเรียกได้ว่าแตกต่างกันสุดขั้วเลยทีเดียว
เพราะในขณะที่ชายหนุ่มชุดดำขลับโจมตีออกมานั้น ไม่ได้ใช้ทักษะยุทธ์ที่มีความลึกล้ำแต่อย่างใด เช่นนั้นก็คงจะเป็นกระบวนท่าที่อยู่ต่ำกว่าระดับพสุธาอย่างไม่ต้องสงสัย
ต่อให้เป็นทักษะยุทธ์ธรรมดา ทว่าเขากลับใช้สังหารผู้คนได้อย่างหมดจด อีกทั้งผลลัพธ์ยังแทบจะเทียบเท่ากับทักษะยุทธ์ระดับพสุธาของชายหนุ่มชุดขาวด้วยซ้ำไป
และที่สำคัญที่สุดก็คือเขาสามารถโจมตีออกมาได้ถึงสามครั้งติดต่อกันโดยที่ไม่มีความเปลี่ยนแปลงของสภาวะภายในเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังใช้ออกมาเพียงช่วงอึดใจเดียวเท่านั้น
เมื่อเทียบกับการโจมตีของผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดาสามัญแล้ว หลังจากทำการโจมตีในทุกครั้งต่างก็ใช้เวลาชั่วครู่หนึ่งเพื่อให้สภาวะจิตใจแน่นิ่งแล้วจึงจะโจมตีในครั้งต่อไปได้ นี่จึงเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าพวกเขาเหล่านี้ฝึกฝนมาอย่างชำนาญและใช้เคล็ดวิชาลับเฉพาะอย่างแน่นอน
“ถือว่ามาเยือนถูกสถานที่แล้ว สำนักพลิกสวรรค์แห่งนี้เปรียบเสมือนคลังสมบัติขนาดใหญ่เลยก็ว่าได้” หลงเฉินเกิดความลิงโลดขึ้นมาอย่างถึงที่สุด
ศิษย์พี่ผู้หนึ่งเดินมาถึงเบื้องหน้าของหลงเฉิน จากนั้นก็ได้ทำการตรวจสอบบัตรเทียบเชิญของหลงเฉินอยู่ครู่หนึ่ง
“หือ?”
ชายหนุ่มผู้นั้นมองไปที่บัตรเทียบเชิญของหลงเฉินด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย พลันก็ได้ตรวจทานอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง แล้วหันมาจ้องมองหลงเฉินด้วยความสงสัย
ท่าทางของศิษย์พี่ผู้นั้นได้ทำให้กัวเหรินที่ยืนอยู่ด้านข้างตกใจขึ้นมาจนแทบจะสลบลงไป บัตรเชิญของพี่หลงคงจะไม่ได้มีปัญหาหรอกกระมัง
และท่าทีของเขายังดึงดูดความสนใจจากผู้มารายงานตัวที่อยู่โดยรอบไปไม่น้อยเลย เพราะว่าหลงเฉินนั้นยืนอยู่แถวหลังสุด ส่วนคนเหล่านั้นต่างก็ถูกตรวจสอบบัตรเทียบเชิญกันไปแล้ว
เมื่อถังหว่านเอ๋อเห็นชายหนุ่มผู้นั้นจ้องไปที่หลงเฉินอย่างเย็นชา ภายในจิตใจของนางก็เกิดเต้นระรัวขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง เจ้าเด็กบัดซบผู้นั้นคงจะไม่ได้ใช้วิธีสกปรกหรอกนะ แล้วทันใดนั้นจิตใจของนางก็เริ่มว้าวุ่นขึ้นมา ไม่อยากจะคิดเลยว่าหลงเฉินจะถูกฆ่าด้วยหรือไม่
มีเพียงเหร่ยเชียนซังกับชีซิ่งที่จ้องมองเข้ามาทางด้านนี้อย่างเย็นชา ชีซิ่งยิ่งปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาบนใบหน้า เขานั้นได้เกิดความเกลียดชังต่อหลงเฉินจนแทบจะฟาดให้ตายคามือเลยก็ว่าได้
“ศิษย์พี่ว่าน ท่านช่วยดูบัตรเทียบเชิญของเด็กหนุ่มผู้นี้ก่อน” ชายหนุ่มผู้นั้นโบกมือไปมา แล้วยื่นบัตรเทียบเชิญของหลงเฉินให้ครูฝึกสอนอย่างรวดเร็ว
ศิษย์พี่ว่านก็รับบัตรเทียบเชิญไปตรวจด้วยสีหน้าฉงนสงสัยเล็กน้อย เมื่อตรวจสอบไปสักครู่หนึ่งแล้วก็ได้ย้ายสายตามามองที่หลงเฉินแล้วถามว่า “เจ้าคือหลงเฉินอย่างนั้นหรือ?”
หลงเฉินพยักหน้าไปมา ภายในจิตใจกลับรู้สึกแปลกใจขึ้นมาอย่างถึงที่สุด ตาเฒ่าถู่ฟางคงไม่ได้มีความแค้นอันใดกับเขาหรอกกระมัง หรือคงไม่คิดใส่ร้ายป้ายต่อเขา
ที่หลงเฉินยังไม่ทราบก็คือบนบัตรเทียบเชิญของเขานั้นมีสัญลักษณ์พิเศษประทับเอาไว้ ทว่ามีเพียงบุคคลภายในเท่านั้นที่จะทราบว่าสัญลักษณ์นั้นหมายถึงสิ่งใด
และบนบัตรเทียบเชิญทุกใบก็จะมีสัญลักษณ์เขียนเอาไว้ทั้งหมด หากบุคคลภายนอกพบเห็นก็คงจะคิดว่าเป็นสัญลักษณ์ทั่วๆ ไป ทว่าความจริงแล้วสัญลักษณ์เหล่านั้นมีส่วนที่แตกต่างกันอยู่ ภายในสัญลักษณ์เหล่านั้นจะมีการระบุบางสิ่งเกี่ยวกับข้อมูลพื้นฐานของผู้มารายงานตัวเอาไว้ด้วยลายเส้นของปากกาขนหมึกที่มีทั้งสายสั้นและสายยาว
ฉะนั้นหากมีผู้ใดแอบอ้างหรือปลอมแปลงบัตรเทียบเชิญก็ไม่ต่างอันใดกับการส่งตัวเองมายังแดนประหาร ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจึงได้เห็นไปแล้วเมื่อก่อนหน้านี้
“มีปัญหาหรือ?” หลงเฉินจ้องกลับไปที่ครูฝึกสอนที่มีนามว่าว่าน
ศิษย์พี่ว่านส่ายหน้าไปมาแล้วตอบกลับไปว่า “ไม่มีปัญหา เจ้านี่ไม่เลวเลยนะ”
เมื่อได้ยินศิษย์พี่ว่านกล่าวออกมาเช่นนั้น ความรู้สึกหนักอกก็ได้มลายหายไปในทันที “ถ้าหากท่านวีรบุรุษเห็นว่าเป็นเช่นนั้น ข้าเองก็ต้องรู้สึกว่าข้านั้นไม่เลวเหมือนกัน”
ศิษย์พี่ว่านทอสีหน้าประหลาดใจไปที่หลงเฉิน คำพูดของหลงเฉินดูจะขัดกับความเข้าใจของเขาอย่างถึงที่สุด ถังหว่านเอ๋อที่แฝงตัวอยู่ท่ามกลางผู้มารายงานตัวก็เหยียดยิ้มขึ้นมา เด็กน้อยผู้นี้ช่างหน้าด้านหน้าทนเสียจริง ชาวบ้านยื่นเสาให้เจ้าก็ยังปีนป่ายขึ้นไปอีกนะ
ความจริงแล้วไม่มีผู้ใดทราบว่าที่ศิษย์พี่ว่านเอ่ยออกไปว่า ‘เจ้านี่ไม่เลวเลยทีเดียว’ นั้นหมายความว่าอย่างไรกันแน่ ทว่าหลังจากที่ศิษย์พี่ว่านมองไปที่บัตรเทียบเชิญของหลงเฉินแล้วก็ได้รับข้อมูลประหลาดที่ทำให้เขาแทบจะไม่เชื่อ
เส้นรากปราณ: ไม่มี
ในบัตรเทียบเชิญทุกใบต่างก็ระบุชื่อ ส่วนสูง โครงสร้าง อายุ เส้นรากปราณ พรสวรรค์ รวมไปถึงข้อมูลด้านอื่นของผู้มารายงานตัวอย่างละเอียดเท่าที่จะทราบได้
เขานั้นฝึกยุทธ์อยู่ในสำนักพลิกสวรรค์มาแล้วสามปี จึงเข้าใจกฎระเบียบอย่างละเอียดถี่ถ้วน อีกทั้งยังสามารถท่องออกมาได้ทั้งหมด ทว่านี่เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เคยประสบพบเจอมา ‘ผู้ฝึกยุทธ์ที่ไม่มีเส้นรากปราณได้รับบัตรเทียบเชิญของสำนักพลิกสวรรค์ได้ด้วยหรือ’
และเมื่อหลายวันก่อนผู้อาวุโสถู่ฟางก็ได้บอกกล่าวต่อเขามาว่าได้มอบบัตรเทียบเชิญใบหนึ่งให้แก่เด็กหนุ่มผู้หนึ่ง ฉะนั้นหากเขาพบเจอก็ให้ปล่อยเลยตามเลยไปก่อน
ในเวลานั้นเขาจึงเกิดความสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าในเมือท่านผู้คุมกฎได้ให้บัตรเทียบเชิญไปแล้ว มีหรือที่จะไม่ตั้งใจ หรือเป็นเพียงปล่อยไก่ออกไปเท่านั้น?
และเมื่อได้พบหลงเฉินแล้วเขาก็เข้าใจถึงความหมายของผู้อาวุโสถู่ฟางขึ้นมาในทันที ถ้าหากผู้อาวุโสถู่ฟางไม่ได้กำชับเอาไว้ เขาก็คงจะนำเอาบัตรเทียบเชิญใบนี้ไปไถ่ถามผู้อาวุโสอย่างแน่นอน
ภายใต้โลกหล้าแห่งนี้แบ่งเส้นรากปราณออกเป็นระดับต่ำ กลาง และสูง นอกจากนี้ก็มีจำพวกที่เส้นรากปราณพิกลพิการได้ เส้นรากปราณถือเป็นส่วนขั้วของรากฐานแห่งพลังที่อยู่ภายในจุดตันเถียน เส้นรากปราณเป็นสิ่งที่ธรรมชาติได้กำหนดเอาไว้แล้วว่าคนผู้หนึ่งจะมีการเติบโตได้ถึงระดับใดให้ดูที่คุณภาพของมัน
เส้นรากปราณของผู้ฝึกยุทธ์ที่มีพลังอยู่ในขอบเขตขั้นก่อโลหิตนั้นจะอยู่ในระดับต่ำ ส่วนระดับกลางคือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น และเส้นรากปราณระดับสูงนั้นคือพลังจากที่ทะลวงขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นเพื่อเข้าสู่ขอบเขตปรือกระดูก
การรับศิษย์ของสำนักพลิกสวรรค์นั้นจะรับทั้งผู้ที่มีรากปราณระดับต่ำไปจนถึงระดับสูง ขอเพียงมีเส้นรากปราณอยู่ แน่นอนว่าย่อมสามารถทำให้เข้าสู่ระดับสูง นอกจากนี้เส้นรากปราณยังแตกย่อยเป็นระดับทองแดง เงิน และทอง ผู้ฝึกยุทธ์ส่วนใหญ่จะเป็นระดับทองแดง ส่วนระดับเงินและทองขึ้นไปนั้นเปรียบเสมือนเส้นรากปราณในตำนาน
ผู้มารายงานตัวในวันนี้ต่างก็มีเส้นรากปราณอยู่ในระดับทองแดง มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่อยู่ในระดับเงิน ทว่าการรับศิษย์เข้าสำนักในครั้งนี้กลับมีการปรากฏตัวของสัตว์ประหลาดผู้หนึ่งที่มีเส้นรากปราณระดับทองอยู่ด้วย
และเมื่อศิษย์พี่ว่านได้ใช้สายตามองไปที่บัตรเทียบเชิญของหลงเฉิน ภายในจิตใจก็ได้บังเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมาอย่างไม่เสื่อมคลาย เป็นครั้งแรกที่เขาพบศิษย์ที่ไม่มีเส้นรากปราณซึ่งน่าตกใจเสียยิ่งกว่าพบเจอรากปราณระดับทอง
เขาอยู่ในสำนักพลิกสวรรค์มานานจึงย่อมรู้จักผู้อาวุโสผู้คุมกฎเป็นอย่างดี ผู้อาวุโสเป็นคนที่มีความสามารถอย่างสูงล้ำ นอกจากท่านจ้าวสำนักแล้วก็มีผู้อาวุโสถู่ฟางผู้นี้แหละที่มีพลังฝีมือแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด
อีกทั้งยังเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่ชมชอบการกล่าวลับหลังผู้อื่น เป็นที่น่าเกรงกลัวของเหล่าศิษย์ในสำนัก บุคคลเฉกเช่นนี้ย่อมไม่ส่งมอบบัตรเทียบเชิญออกไปอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าแน่นอน
เมื่อครู่หนึ่งเขาก็ได้พบว่าบนร่างกายของหลงเฉินได้แฝงเอาไว้ด้วยบรรยากาศที่ยากจะพบร่องรอยได้จนทำให้รู้สึกเหมือนเป็นบุคคลธรรมดาผู้หนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
ทว่าที่น่าแปลกใจก็คือต่อให้ตัวของเขาเองฝึกยุทธ์ต่อไปอีกหลายปีก็ยังไม่อาจใช้พลังสภาวะกดดันบรรยากาศเอาไว้เช่นนี้ได้
และบรรยากาศแบบธรรมดาของหลงเฉินกลับทำให้เขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันเยือกเย็นที่บ่งบอกว่าหลงเฉินนั้นไม่ธรรมดาอย่างที่เห็น ฉะนั้นเขาจึงเอ่ยปากชมออกมา
หลังจากที่คืนบัตรเทียบเชิญให้หลงเฉินแล้ว ศิษย์พี่ว่านจึงนับจำนวนผู้มารายงานตัวอีกครั้งหนึ่ง พลันก็ได้โบกมือครั้งหนึ่งแล้วกองป้ายหยกขนาดเท่าฝ่ามือก็ปรากฏขึ้นมา บนป้ายหยกเหล่านั้นถูกสลักด้วยตัวอักษรบางอย่างเอาไว้ด้วย
“นำป้ายหยกเหล่านี้ไปแจกจ่าย”
เมื่อหลงเฉินได้รับป้ายหยกมาแล้วก็ได้สำรวจโดยรอบ ป้ายหยกชิ้นนี้มีขนาดเท่าหนึ่งฝ่ามือ มีรูปร่างเป็นสีเหลี่ยม ด้านบนมีตัวอักษรสลักเอาไว้ว่า ‘สวรรค์’
จากนั้นหลงเฉินก็เหลือบไปมองของกัวเหริน บนป้ายหยกของเด็กน้อยผู้นั้นมีตัวอักษรคำว่า ‘ราชา’ สลักเอาไว้ จึงทำให้เขาเกิดความฉงนสงสัยขึ้นมาอย่างยิ่ง
“พี่หลง นี่เป็นหลักฐานว่าพวกเราถูกตรวจสอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อีกประเดี๋ยวก็จะเข้าสู่การทดสอบ ข้าหนักใจเหลือเกินว่าจะผ่านหารทดสอบไปได้หรือไม่” กัวเหรินทอสีหน้าเป็นกังวลอย่างถึงที่สุด
ความสงสัยของหลงเฉินยังไม่คลี่คลายลงไป ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากถามออกไป เสียงของศิษย์พี่ว่านก็ดังขึ้นมาตัดบทสนทนาเสียก่อน
“ในเมื่อพวกเจ้าได้รับป้ายหยกกันครบทุกคนแล้ว จากนี้ไปก็จะเป็นบททดสอบ ทว่าข้าจำเป็นที่จะต้องเตือนสติของพวกเจ้าเอาไว้ก่อนว่าพวกเราจะคัดออกไปอย่างน้อยสามในสี่ส่วนที่อยู่ในที่แห่งนี้”….