เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 135 ตัวประหลาดไร้อนันต์

สามในสี่ส่วนต้องถูกคัดออก? น่ากลัวเกินไปแล้ว จากสามหมื่นคนจะหลงเหลืออยู่ไม่ถึงแปดพันคน ส่วนที่เหลือนั้นก็ต้องไสหัวไปทั้งหมดเลยอย่างนั้นหรือ?

ผู้คนมากมายเกิดอาการแตกตื่นตกใจขึ้นมา ถึงแม้จะได้ยินมาก่อนแล้วว่าสำนักพลิกสวรรค์มีคัดสรรลูกศิษย์อย่างเข้มงวด ทว่ากลับไม่คิดว่าจะเป็นวิธีที่ลดทอดลงอย่างโหดร้ายถึงเพียงนี้

ทว่าเหล่ายอดฝีมือบางส่วนกลับหัวเราะหึหึขึ้นมาอย่างเยือกเย็น พวกเขาต่างก็เชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าตัวเองจะต้องผ่านการทดสอบไปได้อย่างราบรื่นแน่นอน

“ป้ายหยกในมือของพวกเจ้าจะมีตัวอักษรสลักเอาไว้อยู่ ซึ่งแบ่งเป็นสวรรค์ (天) โลกา (地) ลี้ลับ (玄) และราชา (黄) การทดสอบก็คือพวกเจ้าจะต้องรวบรวมตัวอักษรทั้งหมดนี้ให้ครบ เช่นนั้นจึงจะถือว่าผ่านการทดสอบ

หากกล่าวถึงการรวบรวมแล้วนั้น ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าคงจะเฉลียวฉลาดกันอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นที่จะต้องอธิบายเพิ่มเติมให้รู้สึกกระอักกระอ่วนกันไปยกใหญ่” ศิษย์พี่ว่านกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“บ้าบอกันไปใหญ่แล้ว พวกเจ้าล่อลวงพวกเราหรืออย่างไร การกระทำเช่นนี้แทบจะไม่ต้องอันใดจากการฆ่าตัวตายไม่ใช่หรือ นี่ถือเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมเกินไปแล้ว” ชายหนุ่มผู้หนึ่งตะเบ็งเสียงดังขึ้นมาด้วยความโกรธเกรี้ยว

คนผู้นี้คงจะเคยอยู่ในจุดสูงสุดของขุมกำลังขนาดเล็กของตน ทว่าเมื่อมาเยือนในสถานที่แห่งนี้แล้วกลับได้พบเจอกับบุคคลที่แข็งแกร่งจนน่ากลัวอยู่มากมาย จึงทราบได้ทันทีว่าตัวเองเป็นเพียงการคงอยู่ที่ต่ำต้อยเท่านั้น

และเมื่อได้ยินศิษย์พี่ว่านกล่าวออกมาเช่นนั้น เขาจึงรู้สึกว่าการทดสอบนี้ไม่ต่างอันใดไปจากการให้ผู้คนแย่งชิงกันเอง ด้วยพลังเช่นเขาย่อมไม่มีแม้แต่ความหวังอันริบหรี่ ฉะนั้นจึงได้เอ่ยว่าไม่ยุติธรรมออกมา

“ไม่ยุติธรรม? ชิ ใต้โลกหล้าแห่งนี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่ายุติธรรมอยู่อีกหรือ? แต่ก็นั่นสินะ พวกเจ้าล้วนแต่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดเป็นผู้สืบทอดของตระกูล เจ็บป่วยก็มีโอสถชั้นดี อีกทั้งยังมียอดฝีมือคอยตามล้างตามเช็ดให้อยู่ตลอด

หากเทียบกับประชาชนชั้นสามัญที่เกิดมาอย่างต้อยต่ำแล้ว พวกเจ้ายังกล้าเรียกหาความยุติธรรมอยู่อีกอย่างนั้นหรือ?

พวกเจ้าจงจำเอาไว้ ภายในสำนักพลิกสวรรค์แห่งนี้ ไม่ว่าคำใดก็สามารถพูดออกมาได้ ทว่าอย่าได้เอ่ยถึงความยุติธรรม นี่เป็นกฎของสำนักที่มุ่งเน้นสู่การเป็นยอดฝีมือเท่านั้น

ในเมื่อไม่มีความอดทนอดกลั้นที่เพียงพอแต่กลับคิดที่จะอยู่เหนือผู้อื่น คนเช่นนี้สมควรจะไสหัวออกไปซะ อีกทั้งสำนักพลิกสวรรค์นั้นมีทรัพยากรที่จำกัด จึงไม่อาจเลี้ยงดูคนที่ไม่เอาไหนได้หรอก” ศิษย์พี่ว่านตอบกลับไปอย่างเย็นชา

หลงเฉินพยักหน้าไปมาอย่างเห็นด้วยอย่างยิ่ง หากคิดจะพยุงสำนักที่ใหญ่โตเช่นนี้เอาไว้ย่อมต้องเลือกสรรบุคคลที่มีคุณภาพควรค่าแก่การเลี้ยงดูปูเสื่อ ส่วนผู้ที่ด้อยคุณค่านั้นเลี้ยงไปก็รั้นแต่จะเสียข้าวสุก อีกทั้งยังทำให้สำนักไม่อาจก้าวหน้าไปได้

ถึงแม้ว่าศิษย์พี่ว่านจะกล่าวออกมาอย่างไม่น่าฟัง ทว่าเรื่องเช่นนี้กลับเป็นความจริงอย่างถึงที่สุด ภายใต้โลกหล้าแห่งนี้ไม่มีการคงอยู่ของความยุติธรรมอีกแล้ว ผู้คนที่มักจะกัดกินความยุติธรรมเหล่านั้นก็เห็นจะเป็นเหล่าคุณชายหรือผู้คนในตระกูลใหญ่ต่างๆ เท่านั้น พวกเขาเหล่านี้แทบจะไม่เข้าใจถึงความอยุติธรรมที่แท้จริงเลยแม้แต่น้อย

“หากทนไม่ได้ก็ไสหัวไปซะ อย่าได้มาทำตัววุ่นวายในที่แห่งนี้ แต่ก่อนหน้าที่เจ้าจะจากไป ช่วยส่งป้ายหยกคืนมาด้วย” คนผู้หนึ่งกล่าวออกมาอย่างทนไม่ได้

“มารดาเถิด หากข้าได้อยู่ในสำนักแห่งนี้จริง จะต้องมาถูกเจ้าลูกเต่าตัวนี้ล่อลวงด้วยอย่างนั้นหรือ” ชายหนุ่มผู้ต้องการความยุติธรรมตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราด มีหรือที่จะส่งป้ายหยกกลับคืนไปอย่างง่ายดาย

“ได้ เจ้ารอข้าก่อนเถิด อย่าให้ข้าเจอในสถานที่ภายนอกก็แล้วกัน ไม่เช่นนั้นเจ้าจะได้มีน้ำมูกไหลท่วมผืนแผ่นดินย่างแน่นอน” คนผู้นั้นดูไม่ได้มีอารมณ์ขุ่นเคืองอันใดมากมาย ทว่ากลับกล่าววาจารุนแรงคล้ายกับโกรธเคืองเสียยกใหญ่

“เงียบก่อน”

ศิษย์พี่ว่านตะเบ็งเสียงขึ้นมาจนทำให้โสตประสาทของผู้คนเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง พลันก็ได้รีบหุบปากลงไปในทันที

“ในเมื่อพวกเจ้าทราบถึงการคงอยู่ของป้ายหยกเป็นอย่างดีกันแล้ว ข้าก็จะบอกว่าป้ายหยกเหล่านั้นมีด้วยกันทั้งหมดเจ็ดพันเก้าร้อยหกสิบสามชุด หากรู้สึกว่าไร้ซึ่งความหวังแล้วก็สามารถสละป้ายหยกได้ หรือไม่ก็โยนทิ้งลงในแม่น้ำก็ย่อมได้เช่นเดียวกัน

ในเมื่อคิดว่าตัวเองไม่สามารถเข้าไปได้ เช่นนั้นอีกสามคนที่เหลือก็อย่าได้คิดจะเข้าไปได้ด้วยเช่นกัน หากไม่อยากถูกทำร้ายอย่างไม่ยุติธรรมก็จงใช้วิธีที่ข้าบอกซะ” ศิษย์พี่ว่านมองไปที่คนผู้นั้นแล้วกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

หลงเฉินพยักหน้าไปมา ศิษย์พี่ว่านผู้นี้ช่างเป็นคนดีอย่างถึงแก่นแท้เหลือเกิน ถึงแม้ว่าจะถูกผู้มารายงานตัวรังเกียจไปมากกว่าครึ่งหนึ่งก็ตามที

วิธีการคัดเลือกศิษย์ของสำนักพลิกสวรรค์ย่อมแตกต่างจากสำนักทั่วไป ทว่าด้วยวิธีการเช่นนี้ย่อมได้ศิษย์ที่ควรค่าแก่การส่งเสริม ที่สำคัญยังเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดว่าผู้ใดถูกคัดเลือกหรือว่าจะถูกคัดออก

“กัวเหริน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” หลงเฉินไม่ได้ถามออกไปเพราะเป็นห่วง ทว่ากลับรู้สึกว่าเจ้าหนูผู้นี้ ดูแปลกประหลาดไปจากเดิม

“พี่หลง ท่านวางใจเถิด ข้าเก็บข้อมูลของคนเหล่านี้เอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว” กัวเหรินหันซ้ายทีขวาที เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดจับตามองอยู่จึงได้คลายความวิตกแล้วตอบหลงเฉินด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“แน่ใจถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?” หลงเฉินขมวดคิ้วขึ้นมา

“เหอะเหอะ เช่นนั้นข้าขอไม่ปกปิดท่านก็แล้วกัน ข้าได้รับบัตรเทียบเชิญมานานแล้ว ข้าจึงมีวิธีการของข้าเอง

เหอะเหอะ ความจริงแล้วข้าได้เก็บโอสถเอาไว้ไม่น้อยเลย บางโอสถถึงกับทำให้ผู้คนที่พบเห็นต้องเกิดอิจฉาตาร้อนขึ้นมาได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าอย่างไรการทดสอบนี้ย่อมต้องมีผู้คนมากมายถูกคัดออกไป ขอเพียงข้าสามารถใช้ทักษะลิ้นเทวะแลกเปลี่ยนโอสถกับพวกเขาได้สำเร็จ แน่นอนว่าย่อมไม่มีปัญหาอันใดแล้ว” กัวเหรินยิ้มขึ้นมาอย่างมีเลศนัยราวกับไม่วิตกกังวลกับวิธีของตัวเองเลยแม้แต่น้อย

“แล้วหากว่ามีคนหมายจะแย่งชิงแผ่นป้ายของเจ้าไปเล่า เจ้าจะทำอย่างไร?” หลงเฉินเอ่ยถามออกไป เพราะเมื่อครู่นี้ศิษย์พี่ว่านได้บอกกล่าวแล้วว่าไม่สามารถเก็บป้ายหยกเอาไว้ในช่องว่างของแหวนมิติได้ ไม่อย่างนั้นตัวอักษรบนป้ายจะเลือนหายไป ซึ่งแทบจะไม่ต่างอันใดไปจากการถูกคัดออกในทันที

“เหอะเหอะ ส่วนเรื่องนี้ท่านก็วางใจได้เช่นกัน ข้ามีการเตรียมพร้อมเอาไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว เมื่อครู่นี้ขาเพียงเสแสร้งแกล้งทำให้ผู้คนมองข้ามข้าไปก็เท่านั้น

ทว่าบัดนี้ข้ากลับเป็นห่วงท่านมากกว่า ถึงแม้ว่าการทดสอบนี้จะไม่ใช่เรื่องยากเย็นสำหรับท่าน แต่ท่านไปปะทะกับชีซิ่งเข้าให้แล้ว เช่นนั้นจึงเป็นเรื่องที่ยุ่งยากอย่างถึงที่สุด

นอกจากชีซิ่งแล้ว ดูเหมือนว่าเหร่ยเชียนซังก็ไม่ถูกชะตากับท่านเป็นอย่างยิ่งด้วยเช่นกัน ถ้าหากพวกเขาเกิดจิตใคร่ที่จะจัดการท่านให้ตกรอบไปจะทำอย่างไรเล่า” กัวเหรินกล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล

สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องยุ่งยากภายในสายตาผู้อื่น ทว่ากับหลงเฉินเองแล้วย่อมไม่รู้สึกระคายเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าพลังการต่อสู้ของพวกเขาจะน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง ทว่าหลงเฉินก็ไม่เกรงกลัว อย่างมากก็แค่ต่อสู้กันสักตั้งหนึ่งแล้วให้ผลลัพธ์ตัดสินว่าผู้ใดจะกลัวผู้ใดกันแน่

“นับตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไปจะเป็นการทดสอบ พวกเจ้าจะต้องส่งสัตว์มายาให้กับคนของตระกูลเพื่อนำกลับไป ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจนำสัตว์มายาเข้าไปในสำนักพลิกสวรรค์ได้”

หลงเฉินแตกต่างขึ้นมายกใหญ่ ที่นี่มีกฎเกณฑ์เช่นนี้ด้วยหรือ? ผู้อื่นต่างก็มีคนของตระกูลมารับสัตว์มายากลับไปได้ ทว่าเขาไม่อาจกระทำได้

เสี่ยวเสว่ยเองก็ไม่มีทางที่จะแยกจากหลงเฉินอย่างแน่นอน ทว่าตอนนี้ก็ใกล้จะถึงเวลาที่ต้องเข้าไปรับการทดสอบแล้ว หลงเฉินจึก้มหน้าก้มตาสั่งการกับเสี่ยวเสว่ยอยู่หลายประโยค เสี่ยวเสว่ยส่งเสียงขึ้นมาเบาๆ คล้ายกับบอกว่าจะออกไปจากที่แห่งนี้

“เอาล่ะ กฎระเบียบทั้งหมดก็ได้บอกออกไปอย่างชัดเจนแล้ว ด้านหลังของบัตรเทียบเชิญของพวกเจ้าจะมีแผนที่เขียนเอาไว้ เมื่อพวกเจ้าเข้าไปในพื้นที่ทดสอบแล้วจงใช้พลังแห่งจิตวิญญาณไหลเวียนเข้าไปภายในบัตรเพื่อให้ทราบตำแหน่งของตัวเอง ซึ่งเป็นวิธีเดียวกันกับการเปิดใช้แหวนมิติ มีใครมีคำถามอีกหรือไม่?”

ศิษย์พี่ว่านกวาดสายตามองไปโดยรอบ หลังจากที่ไม่พบการเคลื่อนไหวอันใดก็ได้พยักหน้าไปมาแล้วกล่าวต่ออีกว่า “เช่นนั้นก็จงเตรียมตัวให้พร้อม จำไว้ให้ดี พื้นที่ในการทดสอบนั้นมีกับดักที่สามารถทำร้ายให้บาดเจ็บไปจนถึงขั้นคร่าชีวิตของพวกเจ้าได้เลย ระมัดระวังไว้ด้วยล่ะ”

“ส่งตัว!”

เมื่อสิ้นเสียงศิษย์พี่ว่านแล้ว หลงเฉินก็รู้สึกว่าป้ายหยกที่อยู่ในมือแผดไอร้อนออกมาอย่างท่วมท้นในขณะเดียวกันก็ได้ถูกหมุนอยู่รอบหนึ่งแล้วฉากเบื้องหน้าก็เริ่มเกิดการสั่นไหวไปมา

ภายในจิตใจของหลงเฉินเกิดอาการแตกตื่นขึ้นมายกใหญ่ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบเจอสถานการณ์เช่นนี้ เพียงพริบตาเดียวที่เบื้องหน้าของเขาก็เป็นฉากของหุบเขาลูกหนึ่งไปเสียแล้ว

“ช่างเป็นพลังปราณฟ้าดินที่เข้มข้นยิ่งนัก”

เมื่อตั้งสติกลับคืนมาได้แล้ว เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังปราณฟ้าดินอันหนาแน่นที่ไหลเวียนอยู่โดยรอบ ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของสายลม เพียงแค่หายใจเข้าออกก็สามารถเพิ่มพูนพลังฝีมือให้ก้าวหน้าขึ้นมาได้เลย

หลงเฉินกวาดสายตามองไปโดยรอบ ตำแหน่งที่เขาอยู่ในตอนนี้เป็นบริเวณภายในหุบเขา ถัดลงไปก็มีสายธารเส้นหนึ่งไหลเอื่อยๆ อยู่ด้านล่าง

“ศิษย์พี่ว่านบอกเอาไว้ว่าภายในแผนที่มีสิ่งของให้โชคอยู่นับไม่ถ้วน ลองหากันดูก่อนก็แล้วกัน ในเมื่อมีเวลาการทดสอบตั้งหนึ่งเดือน พอถึงช่วงเวลานั้นค่อยตามหาป้ายหยกให้ครบชุด”

หลังจากจัดอาภรณ์อยู่ครู่หนึ่งจนเรียบร้อยแล้ว หลงเฉินก็ได้กวาดสายตาไปที่แผ่นที่บนป้ายหยก เมื่อแน่ใจแล้วว่าตัวเองอยู่ในตำแหน่งใด เขาก็มุ่งหน้าไปยังทิศทางอื่นอย่างรวดเร็ว

ยอดเขาแห่งหนึ่งที่มีต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้ามีสองเงาร่างยืนอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ ร่างหนึ่งนั้นเป็นเฒ่าชราที่มอบบัตรเทียบเชิญให้หลงเฉิน เขาก็คือผู้อาวุโสถู่ฟางนั่นเอง

ส่วนอีกเงาร่างหนึ่งนั้นมีอายุประมาณสามสิบกว่าปี ท่าทางของเขาสุขุมเยือกเย็น บนแผ่นหลังของเขามีฝักกระบี่ยาวดูเก่าแก่สะพายเอาไว้อยู่ด้ามหนึ่ง ภายในดวงตาคู่นั้นแฝงเอาไว้ด้วยความอบอุ่นอย่างถึงที่สุด

ชายหนุ่มผู้นั้นก็คือสุดยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งสำนักพลิกสวรรค์ ผู้ที่เป็นมือกระบี่อันดับหนึ่งที่มีชื่อเสียงมาสามร้อยปีอันมีนามว่าหลิงหวินจื่อ

“คนผู้นั้นคือหลงเฉิน?” หลิงหวินจื่อเอ่ยถามขึ้นมา

“อือ เดิมทีข้าไม่ได้คิดจะมอบบัตรเทียบเชิญของข้าให้แก่เขาเลย แต่ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุอันใด ข้าถึงรู้สึกว่าเขาสามารถเดินทางมาจนถึงที่แห่งนี้ได้ทันเวลา จึงยื่นบัตรให้เขาไป” ถู่ฟางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ยินดีกับท่านด้วยถู่ฟาง นับวันท่านก็ยิ่งเข้าใกล้ระดับวิถีสวรรค์ไปแล้ว” หลิงหวินจื่อส่งยิ้มให้เฒ่าชรา

“ท่านจ้าวสำนัก เหตุใดจึงได้กล่าวขึ้นมาเช่นนี้?” ถู่ฟางเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความตกใจ

“ผู้ที่เข้าใกล้วิถีสวรรค์เท่านั้นที่จะสามารถใช้วิชาแห่งโชคชะตาเหล่านั้นได้ เหมือนที่ข้าเองก็รู้สึกได้เมื่อร้อยปีก่อนว่าเจ้าจะสำเร็จวิถีสวรรค์ เพียงแต่มีปัญหาอยู่ที่เวลาเท่านั้น” หลิงหวินจื่อกล่าว

“ความหมายของท่านจ้าวสำนักก็คือหลงเฉินผู้นี้……” ถู่ฟางจ้องมองไปยังใบหน้าของชายหนุ่มอย่างลึกซึ้ง

“อือ จุดตันเถียนของเขานั้นเงียบสงบเป็นอย่างยิ่ง ทว่าโลหิตภายในกลับพุ่งพล่านประดุจมังกรพิโรธ อีกทั้งกายเนื้อยังแข็งแกร่งเทียบเท่าสัตว์มายาระดับสาม นี่ถือเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอย่างนั้นหรือ?

ที่ผู้คนทั้งหลายคาดเดาไม่ถึงนั่นก็คือพลังสภาวะทั้งหมดของเขากลับถูกซ่อนเอาไว้ที่ใต้ฝ่าเท้าข้างซ้าย หากได้ปะทุขึ้นมาก็จะทำให้พลังการต่อสู้เพิ่มพูนขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว” หลิงหวินจื่อทอดสายตาเป็นประกายไปที่หลงเฉินแล้วตอบกลับไป

“ข้าเองก็ไม่ทราบ ท่านจ้าวสำนักช่างนับถือยิ่งนัก ข้านั้นมองเห็นแต่เพียงว่าภายในจุดตันเถียนของเขานั้นไร้เส้นรากปราณ ทว่ากลับไม่ทราบว่าเขามีพลังเก็บซ่อนอยู่ที่ใต้ฝ่าเท้าข้างซ้ายด้วย” ถู่ฟางถอนหายใจออกมา ก่อนจะกล่าวชื่นชมต่อชายหนุ่ม

“ไม่ใช่เพราะว่าข้านั้นมองออก เพียงแต่ใช้ความรู้สึกอันเลือนรางสัมผัสเข้าไปก็เท่านั้นเอง แม้ว่าในตอนนี้หลงเฉินผู้นั้นจะมีพลังยุทธ์อยู่เพียงขอบเขตก่อโลหิตตอนกลางเท่านั้น ทว่าหากเขาได้เข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นไปได้แล้ว ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องจับตาดูเอาไว้อย่างแน่นอน” หลิงหวินจื่อกล่าว

“เป็นไปไม่ได้หรอก ท่านเองก็เป็นการคงอยู่ในระดับสูงสุดของขอบเขตเชื่อมชีพจร สามารถเข้าสู่ขอบเขตวิถีสวรรค์ได้ทุกเมื่อ มีหรือที่จะไม่สามารถมองออกว่าเด็กน้อยผู้นั้นไม่อาจทะลวงสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นได้?” ถู่ฟางทอสีหน้าแตกตื่นขึ้นมาแล้วกล่าวออกไป

“รอให้ถึงเวลาที่เจ้าเข้าสู่ขอบเขตเช่นข้าก็จะมองออกเอง หลงเฉินผู้นี้มาเยือนสำนักพลิกสวรรค์ของพวกเราแล้ว เกรงว่าหลังจากนี้ภายในสำนักคงจะไร้ซึ่งความสงบอีกต่อไป” หลิงหวินจื่อกล่าวแล้วถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ท่านจ้าวสำนัก เรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นเพราะข้าได้กระทำไปโดยพลการ ขอท่านจ้าวสำนักโปรดให้การลงโทษด้วย” หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของหลิงหวินจื่อแล้ว ถู่ฟางก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตกใจขึ้นมายกใหญ่ พลันก็ได้รีบกล่าวขอรับผิดอย่างมีมารยาทออกมา

หลิงหวินจื่อยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยแล้ตอบกลับไปว่า “นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ต่างก็เป็นโชคชะตาที่ถูกกำหนดมาแล้ว เจ้าหนูผู้นี้มาเพื่อเปลี่ยนแปลงสำนักพลิกสวรรค์ ทว่าข้าไม่ทราบว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีหรือว่าเลวร้ายเท่านั้นเอง”

“หลงเฉินผู้นี้มีความร้ายกาจถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?” ถู่ฟางเอ่ยถามอย่างที่ไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง ถ้าหากว่าชายหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่ท่านจ้าวสำนักที่เขานับถือ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่เชื่อตั้งแต่ต้นแล้ว

“ร้ายกาจหรือไม่นั้นไม่อาจทราบได้ ขอเพียงเขาไม่ตายตกลงไปย่อมทำให้ใต้หล้าแห่งนี้เกิดความพลิกผันเพราะเขาอย่างแน่นอน ด้วยเหตุที่ว่าเขานั้นเป็นบุคคลในตำนานที่มีการคงอยู่ระหว่างฟ้าดิน——อี่ซู่ (异数ตัวประหลาดไร้อนันต์)” หลิงหวินจื่อเหม่อมองไปยังท้องฟ้าสีคราม น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาแฝงเอาไว้ด้วยความหวาดกลัวอย่างไร้ที่เปรียบ

“พรวด” ฝนโลหิตสายหนึ่งถูกพ่นออกมาจนทำให้ถู่ฟางตกใจเสียยกใหญ่ ….

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset