เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 136 ดอกเบญจมาสมนุษย์เซียน

ทันทีที่หลิงหวินจื่อกล่าวจบก็ได้กระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง

“ท่านจ้าวสำนัก!” ถู่ฟางตะโกนเสียงดังลั่นด้วยความตกใจ

หลิงหวินจื่อโบกมือขึ้นมา แล้วกล่าวว่า “ช่างเถิด แค่โลหิตอันน้อยนิด ทว่าก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าการคาดเดาของข้านั้นไม่มีผิดเพี้ยนไปเลย”

ถู่ฟางรู้สึกกระอักกระอ่วนจนไม่ทราบว่าจะกล่าวอันใดออกไป เรื่องในวันนี้อยู่เหนือการคาดเดาของเขาไปทั้งหมดอย่างไม่อาจทานรับเอาไว้ได้แล้ว

“พลังการฝึกยุทธ์ขั้นต่ำมีข้อดีของมันอยู่ เพราะไม่จำเป็นจะต้องรับผลกระทบอันแข็งแกร่งจนเกินไป ทว่าหากก้าวเข้าสู่ขอบเขตวิถีแห่งสวรรค์แล้ว เกรงว่าคงจะต้องถูกพลังทำลายของมันล้างผลาญจนสิ้นซากไปเลยก็เป็นได้” หลิงหวินจื่อหัวเราะหึหึแล้วกล่าวออกมา

“ท่านจ้าวสำนัก ท่านเป็นเช่นไรบ้าง” ถู่ฟางเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

“ไม่เป็นไร เป็นผลสะท้อนจากวิถีแห่งสวรรค์เท่านั้น ขอเพียงพักฟื้นสักหลายเดือนก็คงจะกลับมาได้ทั้งหมดแล้ว” หลิงหวินจื่อตอบกลับไปอย่างไม่แยแส

“สักหลายเดือน?” ถู่ฟางโพล่งวาจาขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อหู ด้วยพลังอันน่าหวาดกลัวเช่นนี้เพียงหยิบยืมพลังแห่งฟ้าดินมารักษาอาการบาดเจ็บจากกระดูกหักหรือเส้นเอ็นฉีกขาดย่อมฟื้นฟูขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วแน่นอน ทว่าเพียงแค่การกระอักโลหิตคำเดียวกลับต้องใช้เวลาถึงหลายเดือน นี่ช่างน่าแปลกประหลาดจนเกินไปแล้ว

“ถู่ฟาง เจ้าจงจดจำเอาไว้ว่าลิขิตสวรรค์นั้นยากจะเปลี่ยนแปลง เรื่องที่ข้าได้กระทำในวันนี้ เจ้าอย่าได้กระทำตามโดยเด็ดขาด

การบาดเจ็บนี้ไม่ใช่อาการบาดเจ็บตามร่างกาย ทว่าเป็นการบาดเจ็บไปจนถึงจิตวิญญาณซึ่งยากจะรักษาได้” หลิงหวินจื่อส่งเสียงทุ้มต่ำออกมา

“ท่านจ้าวสำนัก การกระทำเช่นนี้จะคุ้มค่าอย่างนั้นหรือ?” ถู่ฟางถามขึ้นมาก่อนที่จะถอนลมหายใจออกอย่างแรง

“เหอะเหอะ แน่นอนว่าย่อมคุ้มค่า นี่เป็นครั้งแรกในรอบหมื่นปีที่ได้พบเจอ หากเมื่อใดที่เขามีพลังฝึกยุทธ์ที่สูงล้ำขึ้นไป บนร่างกายของเขาจะเริ่มปรากฏวิถีแห่งสวรรค์ขึ้นมาอย่างที่ไม่มีผู้ใดจะสามารถมองออกได้

จะว่าไปแล้วการได้พบพานกับบุคคลเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นความสูงส่งในรอบหลายร้อยปีที่ผ่านมาของข้าก็เป็นได้ สิ่งที่ข้าแลกไปในวันนี้ย่อมคุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง” หลิงหวินจื่อกล่าวอย่างเย็นชา ทว่าภายในดวงตากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความเย้ยหยันฟ้าดิน

ตัวประหลาดไร้อนันต์นั้นพบเจอได้ยากนักในท่ามกลางหมู่มวลมนุษย์ อีกทั้งตัวประหลาดไร้อนันต์ที่ยังไม่ถูกวิถีแห่งสวรรค์พบเจอนั้นกลับมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยลงไปอีก เพราะโดยมากแล้วตัวประหลาดไร้อนันต์นั้นมักจะถูกทำลาย หรือไม่อาจถูกชุบเลี้ยงให้เติบโตขึ้นมาได้

“แล้วข้าควรจัดการกับหลงเฉินผู้นี้อย่างไรดี?” ถู่ฟางเอ่ยถามขึ้นมา

ถึงแม้ว่าคำพูดของหลิงหวินจื่อบางช่วงจะยังคงเป็นที่สงสัยอยู่ ทว่าเมื่อเห็นว่าเขาถูกทัณฑ์จากวิถีแห่งสวรรค์แล้ว ถู่ฟางจึงปักใจเชื่ออย่างถึงที่สุด

“เมื่อบุคคลเช่นนี้ได้ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว ห้วงชีวิตของเขาก็ไม่ต่างอันใดจากดาวหางที่ทอประกายแสงไปนับร้อยปฐพี แรงผลักดันจะทำให้เขาก้าวข้ามยอดฝีมือนับไม่ถ้วนเพื่อที่จำให้ตัวเองเดินหน้าต่อไป” หลิงหวินจื่อพึมพำกับตัวเองราวกับหวนคิดถึงความทรงจำในอดีต

“ทว่าน่าเสียดายที่บุคคลเช่นนี้มักถูกมองข้ามไปจากวิถีแห่งสวรรค์ ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งมากถึงเพียงใด ท้ายที่สุดแล้วย่อมต้องตายอยู่ภายใต้ ‘โชคชะตา’ แม้แต่ซากศพก็ไม่หลงเหลือ” เมื่อกล่าวมาจนถึงตอนท้าย หลิงหวินจื่อก็ได้ถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง

แม้ว่าตัวประหลาดไร้อนันต์จะไม่ถูกวิถีแห่งสวรรค์ยอมรับ ทว่าด้วยความแข็งแกร่งอันมหาศาลอย่างไร้ขีดจำกัดของพวกเขากลับถูกวิถีแห่งสวรรค์จัดให้อยู่ในอันดับของความร้ายกาจขั้นสูงสุด

บุคคลเช่นนี้มีเส้นทางในการฝึกยุทธ์คล้ายกับดอกไม้ที่ค่อยๆ เบ่งบานจนทำให้ผู้คนตื่นตกใจในความงดงามของมัน ทว่ากลับน่าเสียดายที่ช่วงชีวิตของพวกเขานั้นช่างสั้นนัก ผ่านไปไม่นานก็ต้องแห้งเ**่ยวโรยราลงไป

“น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง” ถู่ฟางเองก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา

“ด้วยเหตุนี้ท่ามกลางสุดยอดฝีมือจะยืนอยู่ในจุดสูงสุดมักจะไร้ซึ่งการคงอยู่ของตัวประหลาดไร้อนันต์ ทว่าข้าไม่ทราบว่าหลงเฉินผู้นี้จะสามารถดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดได้อีกนานเพียงใดจึงจะสามารถเปล่งประกายความงดงามของตัวเองออกมา” หลิงหวินจื่อเหม่อมองออกไปยังที่ที่ห่างไกลออกไป

“แล้วพวกเราสมควรจะกระทำการเช่นไรบ้าง?” ถู่ฟางเอ่ยถามอีกครั้ง

“ปล่อยให้เป็นไปตามโชคชะตาเถิด บุคคลเช่นนี้ถูกกำหนดชะตาชีวิตเอาไว้แล้วนับไม่ถ้วน อยู่ที่ว่าเขาจะเลือกเดินในเส้นทางนั้นหรือไม่ หากพวกเราสอดมือเข้าไปช่วยเปลี่ยนแปลง มีแต่จะทำให้เรื่องราวยุ่งยากมากขึ้น นั่นไม่ใช่เป็นผลลัพธ์ที่ยิ่งหนักหนาเข้าไปใหญ่หรอกหรือ

พวกเรากระทำได้เพียงแค่คอยจับตาดูเอาไว้ให้ดีก็เท่านั้น ข้านั้นมีนิมิตว่าเด็กน้อยกลุ่มนี้จะนำพาสำนักพลิกสวรรค์ของพวกเราขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดได้ เหอะเหอะ” ดวงตาของหลิงหวินจื่อทอประกายเจิดจ้าขึ้นมา

“หากเป็นเช่นนี้พวกเราสามารถขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นได้อีกหรือไม่?” ถู่ฟางถามกลับไปด้วยสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง

“หมู่ตึกย่อยภายในสำนักพลิกสวรรค์มีอยู่ทั้งหมดหนึ่งร้อยกับอีกแปดหมู่ตึก ในทุกครั้งที่มีการทดสอบภายใน พวกเรามักจะอยู่ในอันดับรั้งท้ายเสมอมา

อันดับยิ่งต่ำก็ส่งผลให้ทรัพยากรที่จะได้รับก็ยิ่งน้อยลงไป และหากปล่อยให้เหตุการณ์เลวร้ายเช่นนี้ดำเนินต่อไป พวกเราและหมู่ตึกอื่นๆ คงจะห่างไกลกันเป็นอย่างมาก

นับตั้งแต่ที่ข้าก้าวขึ้นมาเป็นจ้าวสำนัก ก็ได้ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ ทว่าก็ยังไม่อาจเปลี่ยนแปลงอันใดให้ดีขึ้นได้ ช่างน่าเสียใจแทนเหล่าอาจารย์จริงๆ” หลิงหวินจื่อถอนหายใจออกมาจนนับครั้งไม่ถ้วน

หลิงหวินจื่อเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์อันสูงล้ำ เขาสามารถเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นได้ตอนอายุเพียงยี่สิบปี ใช้กระบี่ยาวเรื่อยมาจนทะลวงมาถึงขอบเขตปรือกระดูก พลังของเขาก้าวหน้าประดุจสายลมโชยพัดอยู่ในอากาศ นับตั้งแต่กำเนิดมาก็เป็นหนึ่งไม่มีสองมาโดยตลอด

หลังจากที่ถูกรับเข้าสู่สำนักแล้วก็ได้รับความไว้วางใจจากจ้าวสำนักจนกลายเป็นศิษย์รัก และในขณะที่จ้าวสำนักใกล้จะสิ้นลมก็ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งจ้าวสำนักในวัยเพียงสามสิบหกปีเท่านั้น

ตั้งแต่นั้นมาหลิงหวินจื่อจึงพยายามเปลี่ยนแปลงสภาวะภายในหมู่ตึกแห่งสำนักพลิกสวรรค์เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณของเหล่าอาจารย์ ทว่าแม้จะแลกด้วยหยาดโลหิตไปมากมายก็ยังไม่อาจเปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่ได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหลายปีที่ผ่านมานี้ เหล่าลูกศิษย์ต่างก็ท้อแท้ในการฝึกยุทธ์ทำให้ไม่มีการปรากฏของเหล่ายอดฝีมือเลยแม้แต่คนเดียว ยิ่งทำให้จิตใจของหลิงหวินจื่อท้อแท้ยิ่งไปกว่าเดิม

ทว่าหลังจากที่ได้รวบรวมรายชื่อของผู้รายงานตัวเอาไว้เมื่อปีที่แล้ว กลับพบการปรากฏตัวของเหล่าสัตว์ประหลาดจำนวนไม่น้อย จึงทำให้จิตใจของหลิงหวินจื่อเริ่มตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง

การปรากฏตัวของถังหว่านเอ๋อและเหล่าผู้มีพรสวรรค์ได้สร้างความทะเยอทะยานในการเข้าชิงตำแหน่งจ้าวสำนักใหญ่อีกครั้ง และเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงสภาวะภายในหมู่ตึกแห่งนี้ให้ไต่อำดับที่สูงขึ้นไป

ทว่าสิ่งที่ทำให้เขายิ่งทวีความลิงโลดขึ้นมาอย่างมากเห็นจะเป็นการปรากฏตัวของหลงเฉิน แม้ว่าความสุขเหล่านี้จะต้องแลกกับการลงทัณฑ์จากวิถีแห่งสวรรค์ก็ต้องได้พลังแฝงอย่างหลงเฉินมาให้ได้ ขอเพียงหลงเฉินยังไม่ตายก็ย่อมเฉิดฉายความเกรียงไกรขึ้นมาได้อย่างแน่นอน

ผู้มีพรสวรรค์ในระดับสัตว์ประหลาดห้าคน เพิ่มเติมด้วยตัวประหลาดไร้อนันต์อีกหนึ่ง เช่นนั้นหมู่ตึกแห่งสำนักพลิกสวรรค์แห่งนี้ย่อมสามารถก้าวกระโดดสู่จุดสูงสุดได้ไม่ยากแล้ว

หลิงหวินจื่อผ่อนลมหายใจออกมาอย่างผ่อนคลายแล้วกล่าวว่า “นอกจากหลงเฉินแล้ว ผู้มีพรสวรรค์คนอื่นๆ ต่างก็ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี พวกเขาจึงเป็นเสมือนความหวังอันยิ่งใหญ่ อย่าได้เสียดายที่จะต้องสูญเสียทรัพยากรไป แม้จะต้องทุบหม้อข้าวหรือจมเรือของตัวเองก็จำเป็นจะต้องกระทำ เพราะนี่เป็นโอกาสเดียวที่พวกเรามีและจะต้องไขว่คว้ามาให้ได้ ”

“ขอรับ” ถู่ฟางรับคำในทันที

“ข้าต้องกลับไปรักษาตัวแล้ว ขอมอบหน้าที่ดูแลหมู่ตึกในช่วงนี้ให้เจ้าก่อนก็แล้วกัน ทำตัวให้เป็นปกติ อย่าได้ไปสังเกตหรือใส่ใจในหลงเฉินให้มากรัก ไม่เช่นนั้นจะเป็นการทำร้ายหมู่ตึกของพวกเราในทางอ้อม”

หลิงหวินจื่อทิ้งท้ายเสร็จก็หายลับไปจากยอดเขาแห่งนั้นในทันที หลงเหลือไว้แต่เพียงเงาร่างของถู่ฟางที่เหม่อมองออกไปยังบริเวณที่ห่างไกล ภายในจิตใจก็ยังตกตะลึงกับสิ่งที่เพิ่งทราบมาอย่างไม่เสื่อมคลาย

……

ในอาณาบริเวณที่ห่างไกลออกมาไปกว่าพันหุบเขาก็ได้มีหมู่ถ้ำอันงดงามแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ หญิงสาวผู้มีใบหน้างดงามหมดจด สวมอาภรณ์ตัวยาว กำลังใช้มืออันขาวผ่องลูบไปตามสมุดภาพด้วยความชื่นชมอย่างเงียบเชียบ

ใบหน้าอันขาวผ่องมีดวงตาคู่งามประดุจพฤกษชาติแรกแย้มกรอกไปตามสมุดภาพด้วยความอ่อนโยน ไม่ว่าผู้ใดที่ได้มาพบเห็นจะต้องเกิดอาการหวั่นไหวอย่างถอนตัวไม่ทัน นางคงอยู่ของนางจึงเสมือนการเปลี่ยนโลกมนุษย์ให้กลายเป็นสรวงสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น

ฝีปากบางที่มีลักษณะคล้ายดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวพึมพำอย่างแผ่วเบากับตัวเองว่า “หลงเฉิน ในขณะนี้เจ้าได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งการฝึกยุทธ์แล้ว นั่นเป็นเพราะกระทำเพื่อข้าหรือไม่กัน?”

“คิกคิก เจี่ยเจี่ย เหตุใดท่านต้องมาแอบนั่งครุ่นคิดอยู่เพียงลำพังด้วย?” ทันใดนั้นก็มีหญิงสาวอีกนางหนึ่งปรากฏขึ้นมาที่ข้างกายของม่งฉีอย่างไร้ซุ่มเสียง

“ซูเอ๋อ เจ้า……น่าชังยิ่งนัก” ม่งฉีทอใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาในทันที แล้วใช้มืออันขาวผ่องเก็บสมุดภาพซ่อนเอาไว้ด้านหลัง

“ฮาฮา สาวงามอันดับหนึ่งแห่งหอวิญญาณวายุกลับถูกช่วงชิงดวงใจไปเสียแล้ว ไม่ทราบว่าจะต้องมีผู้คนมากมายเท่าไรที่ต้องผิดหวังกันนะ” ลู่ซูเอ๋อยังไม่ยอมลดละต่อความคิดของม่งฉี จึงได้แต่ยักไหล่แล้วกล่าวออกไป

“ซูเอ๋อ……เจ้านี่ช่างดื้อรั้นเสียจริง……หากยังกระทำต่อ ข้าจะไม่สนใจเจ้าอีกแล้วนะ” ม่งฉีกล่าวด้วยใบหน้าที่ขุ่นเคืองเล็กน้อย

“ข้ารู้ตัวอยู่แล้วว่าวันนี้จะต้องมาถึง ในเมื่อท่านมีคนรักแล้ว พี่น้องอย่างข้าจะเป็นที่ต้องการได้อย่างไรกัน” ลู่ซูเอ๋อปรายสายตาเป็นประกายไปที่ม่งฉีพร้อมชักสีหน้าอ้อล้อขึ้นมา

“เจ้า……”

“ฮาฮา ข้สก็แค่หยอกล้อเท่านั้นเอง อย่าได้โกรธเคืองไปเลย” เมื่อเห็นว่าม่งฉีคล้ายกับจะเอาจริงขึ้นมา ลู่ซูเอ๋อจึงได้แตะไปที่ไหล่ขอม่งฉีแล้วลูบเบาๆ คล้ายกับปลอบโยน

“แต่จะว่าไปหลงเฉินผู้นั้นก็ช่างร้ายกาจเสียจริง ขณะที่ยังมีพลังอยู่เพียงขอบเขตขั้นก่อรวมก็ยังสามารถสังหารยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นลงได้ อีกทั้งตอนนี้ยังได้เป็นศิษย์ของสำนักแห่งหนึ่งอีก ช่างน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว” ลู่ซูเอ๋อกล่าวขึ้นมาด้วยความสงสัย

ตลอดมานี้พวกนางได้ใช้พลังฝีมือชนิดหนึ่งคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของหลงเฉิน อีกทั้งยังได้ทราบข่าวคราวมาจากทางจักรวรรดิเฟิงหมิง จึงทำให้พวกนางเกิดความแตกตื่นอย่างมาก

ม่งฉีมีใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง ภายในดวงตาคู่งามก็ได้สาดประกายความอบอุ่นขึ้นมาเป็นสาย แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รู้จักมักคุ้นกันมากนัก ทว่าข้ากลับรู้สึกได้ว่าเขาจะต้องเป็นผู้ที่ไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งใดด้วยจิตใจที่มั่นคงและแน่วแน่ดวงนั้น เพราะกว่าจะมาถึงวันนี้ได้เขาคงจะต้องฟันฝ่าผู้คนมามากมายนับไม่ถ้วนอย่างแน่นอน”

“กล่าวได้น่าฟังยิ่งนัก การที่ผู้ฝึกยุทธ์ผู้หนึ่งจะสูงส่งเหนือผู้อื่นได้ย่อมต้องแบกรับความลำบากไว้บนหลังตลอดเวลา ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจก้าวข้ามกฎเกณฑ์ข้อนี้ได้

ทว่าตอนนี้ที่น่ากังวลใจก็คงจะเป็นเรื่องที่ว่าหลงเฉินนั้นจะได้รับคัดเลือกเป็นศิษย์ของสำนักพลิกสวรรค์ที่เคร่งครัดจนเลื่องชื่อได้หรือไม่” ลู่ซูเอ๋อถอนหายใจออกมาคำหนึ่งพร้อมทั้งกล่าวออกมาด้วยความเป็นห่วงอยู่ส่วนหนึ่ง

ม่งฉีนำสมุดภาพที่ซ่อนไว้ออกมา พลันก็ได้จ้องไปยังภาพชายหนุ่มที่สง่างามประดุจเทพสงครามด้วยดวงใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นไหลเวียนไปมา

หลงเฉิน สู้เขานะ ข้าจะรอคอยวันที่ได้พบเจอกับเจ้าอีกครั้ง

……

“หยุด! เส้นทางนี้ข้าเจอก่อน และต้นไม้ต้นนี้ข้าก็ปลูกขึ้นมาเองกับมือ หาก……”

“เพี๊ยะ”

เสียงดังอย่างรุนแรงทำให้ใบหน้าของคนผู้นั้นหันไปด้านข้างในทันที วาจาที่เคยเอ่ยออกมาก็ได้หยุดลง หลงเฉินก็ชี้นิ้วไปที่คนผู้นั้นแล้วด่าทอขึ้นมาว่า

“คิดว่าข้าเป็นตัวโง่งมหรืออย่างไรกัน ต้นไม้ในสถานที่แห่งนี้มีชีวิตมาเกือบหลายพันปีแล้ว เวลาเช่นนั้นแม้แต่บรรพบุรุษของเจ้าเองยังไม่ทราบว่าเป็นดินโคลนอยู่ในที่แห่งใดกัน แล้วจะเป็นฝีมือของเจ้าที่ปลูกขึ้นมาได้อย่างไรกัน?”

ในระหว่างที่หลงเฉินกำลังจะเดินทางต่อนั้น เด็กน้อยผู้ที่มีหน้าตาไม่สบอารมณ์ผู้นั้นก็ได้กระโดดตัวเข้ามาขวางทางเอาไว้ อีกทั้งยังใช้ขวานพุ่งเขามาที่หลงเฉินอย่างรวดเร็ว

ทว่าทุกอย่างกลับหยุดลงเมื่อหลงเฉินฟาดเข้าที่ใบหน้าของเขาอีกฉาดหนึ่งจนเด็กน้อยทอสีหน้าหวาดกลัวแล้วมองไปที่หลงเฉิน “เจ้า……เจ้า……”

ในขณะที่เอ่ยวาจาออกมาได้เพียงแค่คำสองคำ เด็กน้อยผู้นั้นก็ออกวิ่งตะบึงจากไปพร้อมทั้งใช้มือทั้งสองข้างกุมไปที่แก้มอันบวมเป่งของตัวเอง

เขานั้นแสนจะเกลียดชังตัวเองที่โง่เขลาได้ถึงเพียงนี้ คิดจะช่วงชิงก็ไม่รู้จักดูให้ดีเสียก่อน จึงเกือบจะถูกสำเร็จโทษโดยมารร้ายเข้าให้แล้ว

หลงเฉินมองตามเงาร่างที่วิ่งจากไปอย่างบ้าคลั่ง พลันก็ได้ส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมระอา นี่เขาจะต้องมาอยู่ร่วมสำนักกับผู้คนที่มีความฉลาดได้แค่นี้อย่างนั้นหรือ?

จากนั้นหลงเฉินก็เดินเลียบไปตามแนวภูเขาอย่างไม่ยอมหยุดพัก ทันใดนั้นดวงตาคู่คมก็ได้ทอประกายเจิดจ้าขึ้นมาอย่างถึงที่สุด

“ดอกเบญจมาสมนุษย์เซียน”

ด้านบนของผนังศิลาที่อยู่เบื้องหน้าของเขามีดอกไม้ชนิดหนึ่งงอยเงยขึ้นมาคล้ายกับวัชพืชชนิดหนึ่ง ลำต้นของมันมีความสูงประมาณหนึ่งเซียะ ดูโดยรวมแล้วคล้ายกับมนุษย์ผู้หนึ่ง ตำแหน่งของศีรษะเป็นดอกไม้ขนาดเล็กที่กำลังผลิบานประดุจดอกทานตะวันน้อยๆ หันหน้าไปต้อนรับแสงจากดวงอาทิตย์  . .

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset