ใบหน้าของถังหว่านเอ๋อร้อนผ่าวขึ้นมาประดุจมีเพลิงสุม นางยังเป็นเพียงเด็กสาวเท่านั้น สมควรจะใช้ปากถ่ายลมหายใจให้กับผู้อื่นได้อย่างไรกัน? ทว่าเมื่อมองไปยังท่าทีที่คล้ายกับกำลังจะสั่งเสียของหลงเฉินแล้ว กลับทำให้นางลำบากใจยิ่งนัก
“ไม่ได้ แน่นอนว่าข้าไม่อาจกระทำได้” ถังหว่านเอ๋อทอสีหน้าแดงก่ำพร้อมทั้งส่ายหน้าไปมาอย่างรุนแรง
“ข้า……”
หลงเฉินส่งเสียงร้องขึ้นมาได้เพียงคำเดียว ทว่าไม่มีลมหายใจเพียงพอที่จะกล่าวต่อไปได้จึงได้แต่ขยับปากไปมาอย่างไร้ซึ่งซุ่มเสียง อีกทั้งลมหายใจยังโรยรินลงไปเรื่อยๆ จนสามารถตายตกไปได้ทุกเวลา
ถังหว่านเอ๋อทอสีหน้าปั้นยากขึ้นมาแล้วก็กวาดสายตาคู่งามมองไปยังบริเวณโดยรอบ “เอาเถิด ในเมื่อเจ้ากำลังจะตายแล้ว ข้าก็จะให้เจ้าได้เอ่ยวาจาตามที่ปรารถนาก็แล้วกัน” ถังหว่านเอ๋อกัดฟันกรอดแล้วค่อยๆ โน้มตัวลงไปใกล้ใบหน้าของหลงเฉิน
หลงเฉินทอแววตาเป็นประกายเจิดจ้าไปที่ถังหว่านเอ๋อ ส่วนถังหว่านเอ๋อเองก็หัวใจเต้นระรัวจนหอบหายใจอย่างรุนแรง ริมฝีปากบางค่อยๆ เข้าไปใกล้ปากของชายหนุ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
‘เหอะเหอะ ถูกเล่นงานมาหลายครั้ง วันนี้ขอคิดบัญชีในทีเดียวเลยก็แล้วกันนะคุณหนู’
หากผู้คนทั้งหลายได้ทราบว่าถังหว่านเอ๋อได้จุมพิตกับเขาแล้ว แน่นอนว่าคงจะเกิดความอิจฉาตาร้อนจนบ้าคลั่งไปเลยก็เป็นได้
หลงเฉินพยายามสูดกลิ่นหอมจากร่างกายของถังหว่านเอ๋อที่โชยพัดเข้ามาเตะจมูก ทันใดนั้นที่ขาข้างหนึ่งก็ได้เกิดอาการเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างรุนแรงจนอดไม่ได้ที่จะร้องเสียงหลงขึ้นมาด้วยความตกใจ
“โอ๊ย”
หลงเฉินเบิกดวงตากลมโตขึ้นมาในทันที แล้วก็ได้พบว่าถังหว่านเอ๋อกำลังจ้องมองมาที่เขาด้วยท่าทีหยอกล้อ จากนั้นก็เห็นว่ามืออันขาวผ่องข้างหนึ่งกำลังบิดเนื้อที่ต้นขาของเขาอยู่
“เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ ข้ากำลังจะตายนะ มาหยิกข้าด้วยเหตุอันใดกัน?” หลงเฉินส่งเสียงดังขึ้นมาอย่างเกรี้ยวกราด ทว่าผ่านไปเพียงพริบตาเดียวก็ทอสีหน้าตะลึงขึ้นมา ‘จบสิ้นแล้ว ถูกจับได้แล้ว’
“คนใกล้ตายสามารถด่าทอผู้อื่นได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ? เจ้าคงอยากจะตายไปจริงๆ สินะ” ถังหว่านเอ๋อจ้องเขม็งไปที่หลงเฉิน
“อา? ข้านึกขึ้นมาได้แล้ว เดิมทีข้าก็กำลังจะตายไปอยู่แล้ว ทว่าข้านึกขึ้นมาได้ว่าหากข้าตายไป เกรงว่าการตายต่อหน้าเจ้าจะกลายเป็นทำร้ายเจ้าแทน ฉะนั้นข้าจึงตัดสินใจที่จะไม่ตายแล้ว” หลงเฉินยิ้มกริ่มขึ้นมาในทันที
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็รีบตายไปซะ เจ้าตัวบัดซบ!”
ทันทีที่กล่าวจบ ถังหว่านเอ๋อก็ได้ยกกำปั้นละเลงไปทั่วทั้งร่างของหลงเฉินประดุจหยาดน้ำฝนกระหน่ำลงมาอย่างไรอย่างนั้น หลงเฉินเองก็รีบยกแขนปัดป้องร่างกายพัลวัน ทว่าการทุบตีจากถังหว่านเอ๋อกลับให้หลงเฉินรู้สึกเพียงเจ็บๆ คันๆ เท่านั้น
ทั้งหมัดและเท้าประดุจบีบนวดอยู่สักพักหนึ่งก็ค่อยๆ เพลาลง ไม่ทราบว่าเป็นเพราะถังหว่านเอ๋อเหนื่อยล้าไปแล้วหรืออย่างไรจึงได้หยุดการโจมตีเช่นนั้นลงอย่างกะทันหัน
“เจ้าลุกขึ้นมา พวกเรามาพูดจากันดีดีเถิด” ถังหว่านเอ๋อกล่าวพร้อมกับหอบหายใจเสียงดัง
หลงเฉินเงยหน้าขึ้นไป ก่อนที่จะค่อยๆ คลายเกราะกำบังลง ดวงตาคู่คมจดจ้องไปที่ใบหน้าของถังหว่านเอ๋อที่กำลังยืนอยู่ จากใบหน้าที่เกรี้ยวกราดกลับบังเกิดความอบอุ่นขึ้นมากมาย
“คุณหนูหว่านเอ๋อ เจ้าทราบได้อย่างไรกัน?”
ภายในจิตใจของหลงเฉินเกิดความหดหู่ขึ้นมาอย่างไร้ที่เปรียบ อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้นก็จะสามารถจัดการหญิงสาวให้มาอยู่ในเงื้อมมือได้แล้ว ทว่าในท้ายที่สุดกลับพลาดท่าจนตัวเองกลายเป็นตัวโง่งมขึ้นมาเสียได้
และที่สำคัญที่สุดก็คือเขาคิดว่าตัวเองมีวิชาการแสดงที่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกทางสีหน้า การเคลื่อนไหวร่างกาย และการสร้างบรรยากาศที่ได้คิดไตร่ตรองมาเป็นอย่างดีแล้ว ทว่าเหตุใดจึงเกิดข้อผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัยเช่นนี้ได้นะ?
“ชิ ข้ายอมรับว่าการแสดงของเจ้านั้นยอดเยี่ยมมาก ทว่าก็ยังไม่มากพอที่จะหลอกคนอย่างข้าได้หรอก” ถังหว่านเอ๋อทอสีหน้าไม่สบอารมณ์แล้วตอบกลับไป
ในขณะที่หลงเฉินกำลังหลับตาลงเพื่อรอคอยเวลาที่ลมหายใจของถังหว่านเอ๋อจะถ่ายเข้าไปภายในปากของเขาอยู่นั้น เขาได้ล้มทับลงไปยังพื้นดินที่ปกคุลมด้วยหญ้าสีเขียวชอุ่มซึ่งประจวบกับเป็นบริเวณที่มีต้นไม้ขนาดเล็กประดุจหางหนูโผล่ขึ้นมา
ผลไม้หางหนูนั้นแฝงเอาไว้ด้วยพิษที่ให้ความรู้สึกคัน ถึงแม้ว่าฤทธิ์ของพิษจะไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก ทว่าก็เพียงพอที่จะทำให้คนผู้หนึ่งเกิดอาการคันจนต้องเกาอย่างรุนแรง
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาหลงเฉินก็ได้อดทนและกล่ำกลืนความรู้สึกนั้นเอาไว้โดยตลอด ทว่าก่อนที่หลงเฉินจะทำสำเร็จเพียงไม่กี่พริบตาเดียว ความคันก็ได้คุกคามเขาจนต้องแอบใช้เท้าอีกข้างหนึ่งเกาไปยังขาอีกข้างหนึ่งที่ต้องพิษ
ผลลัพธ์เช่นนี้ย่อมไม่อาจรอดพ้นไปจากสายตาอันเฉียบคมของถังหว่านเอ๋อได้ ในขณะที่นางกำลังโน้มตัวลงไปก็ช่างประจวบเหมาะกันช่วงเวลาที่เห็นหลงเฉินเขี่ยเท้าไปมา คนที่ใกล้จะตายสามารถรู้สึกคันได้ด้วยหรือ?
ทันใดนั้นเองถังหว่านเอ๋อจึงได้เบิกพลังแห่งจิตวิญญาณออกไปสำรวจร่างกายของหลงเฉิน แล้วก็พบว่าพลังแห่งจิตวิญญาณของเขากลับไม่ลดทอนลงไปเลย ซึ่งหากเป็นคนที่ใกล้ตายจริงย่อมต้องเปลี่ยนแปลงจนถึงขึ้นอ่อนแอลงไปเรื่อยๆ
อีกทั้งยังได้เห็นใบหน้าที่กรุ้มกริ่มของหลงเฉินที่ปรากฏขึ้นมา นางจึงมีปฏิกิริยาคืนกลับมาได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังบังเกิดโทสะขึ้นมาอย่างท่วมท้นด้วยการลงมือแก้เผ็ดต่อหลงเฉินอย่างสาแก่ใจ
เมื่อเห็นว่าถังหว่านเอ๋อไม่ยอมกล่าวอันใดตอบกลับมา หลงเฉินจึงเบนความสนใจไปในทันที เขาไหลเวียนพลังแห่งอัสนีบาตขึ้นมาอีกครั้งจนตัวเองต้องขมวดคิ้วเข้มขึ้นมา
“เหตุใดเจ้าถึงได้โง่งมเช่นนี้ ยังจะชักนำพลังแห่งอัสนีบาตเข้าสู่เส้นลมปราณของตัวเองอีก หากเกิดข้อผิดพลาดจนทำลายเส้นชีพจรจะทำอย่างไร ให้ข้าช่วยเถิด เพียงแค่สิบวันก็จะสามารถขจัดพลังนั้นออกไปจนหมดสิ้น
ทว่าในตอนนี้เจ้ากลับไหลเวียนจนเข้าไปยังเส้นลมปราณส่วนลึกแล้ว ต่อให้ขจัดพลังแห่งอัสนีบาตไปได้ แต่เส้นลมปราณของเจ้าก็คงจะอยู่ในอาการสาหัสอยู่ดี จึงจำเป็นจะต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูอย่างยาวนานเลยทีเดีย” ถังหว่านเอ๋อกล่าวออกมาเสียยืดยาว เพราะไม่คิดเลยว่าหลงเฉินจะกระทำสิ่งที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้ได้ ซึ่งไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
“จ้าดูหมิ่นนางฟ้าไปเสียแล้ว ข้าช่างเป็นคนบาปหนายิ่งนัก มีแต่ต้องถูกลงโทษสินะ……” หลงเฉินถอนหายใจออกมายกใหญ่ ทันใดนั้นที่ต้นขาของเขาก็บังเกิดความเจ็บปวดขึ้นมาเป็นสายอีกครั้ง “หยุดมือเถิด ที่ข้ากล่าวออกมานี้ถือเป็นความสัตย์จริงเชียวนะ”
ถังหว่านเอ๋อรีบรั้งมือกลับมาแล้วตอบกลับไปว่า “บอกความจริงออกมาตั้งแต่แรกก็จบเรื่อง เหตุใดต้องมาแสดงอันใดใหญ่โตด้วย”
หลงเฉินบีบนวดไปที่ต้นขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะเอ่ยถามออกไปว่า “กัวเหรินกล่าวว่าเจ้าเป็นบุคคลที่น่าคบหามากที่สุดในหมู่ยอดฝีมือทั้งห้าคน ข้าจึงเชื่อในวาจาของเขา”
ถังหว่านเอ๋อยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ทว่าในสายตาของหลงเฉินกลับเป็นรอยยิ้มหวานฉ่ำ อีกทั้งยังงามหยาดเยิ้มยิ่งนัก ใบหน้าอันขาวผ่องของนางคล้ายกับดอกซากุระที่เบ่งบานในเดือนสามอย่างไรอย่างนั้น
“คิดว่าพูดเช่นนี้แล้วข้าจะรู้สึกดีมากขึ้นอย่างนั้นหรือ” ถังหว่านเอ๋อหัวเราะจนน้ำตาซึมออกมา
“อืออือ” หลงเฉินพยักหน้าอย่างไม่รู้ตัว ถังหว่านเอ๋อช่างงดงามและควรค่าแก่การใกล้ชิดเป็นอย่างยิ่ง
“อือบ้านเจ้าสิ หากไม่อยากอมบอระเพ็ดก็รีบบอกมาว่าเพราะเหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้ด้วย?” ถังหว่านเอ๋อทอสีหน้าดุร้ายขึ้นมาในทันที
หลงเฉินถอนหายใจออกมาอย่างอดสู แล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าจะบอกต่อเจ้าก็ได้ ทว่าเจ้าต้องรับคำก่อนว่าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ว่าเจ้าจะไม่บอกต่อผู้ใดด้วย”
เมื่อเห็นหลงเฉินเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังขึ้นมาอย่างถึงที่สุด ถังหว่านเอ๋อจึงขมวดคิ้วขึ้นมา นางไม่อาจปรับสภาวะอารมณ์ไปตามหลงเฉินได้ทันแล้ว ทว่าก็ยังคงพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย “วางใจเถิด ข้าไม่ใช่คนที่ชอบกล่าวให้มากความอยู่แล้ว”
หลงเฉินจึงตอบกลับไปอย่างแผ่วเบาว่า “ข้ากำลังจะหยิบยืมพลังแห่งอัสนีบาตของเหร่ยเชียนซังมาหลอมเป็นพลังแห่งอัสนีบาตของข้าเอง”
เมื่อได้ฟังคำพูดของหลงเฉินจนจบ ถังหว่านเอ๋อเองก็ทอสีหน้าแตกตื่นขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรกัน?”
“แล้วเหตุใดจะเป็นไปไม่ได้เล่า?” หลงเฉินเบือนสายตาไปยังทิศทางอื่นอย่างไม่แยแส
“เหร่ยเชียนซังได้รับพลังแห่งอัสนีบาตโดยสืบทอดมาจากสายโลหิต ทว่าเจ้ากลับไม่ได้เป็นสายโลหิตเดียวกับเขา ฉะนั้นพลังแห่งอัสนีบาตย่อมมีแต่จะทำร้ายร่างกายของเจ้าก็เท่านั้น ความคิดของเจ้าไม่ต่างอันใดไปจากใช้ฝ่ามือพลิกผืนฟ้าเลย”
“จริงหรือ?” หลงเฉินเอ่ยถามออกไป
“แน่นอนว่าไม่ได้ เจ้าจะปะทุพลังแห่งอัสนีบาตเพื่อเข้าไปทำลายจุดตันเถียนของเจ้าหรือ ข้าขอเตือนเจ้าเอาไว้เลยนะว่าอย่าได้ลองเด็ดขาด ถึงแม้ว่าเจ้าจะเลวร้ายจนมีแต่ผู้คนเกลียดชัง ทว่าเจ้าก็ยังมีพลังการต่อสู้ที่ไม่เลวเลย การตายตกลงไปเช่นนี้ย่อมน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง” ถังหว่านเอ๋อส่ายหน้าไปมาแล้วกล่าว
หลงเฉินยิ้มแล้วกล่าว “เจ้าเป็นห่วงข้าหรือ ช่างน่าปลาบปลื้มใจยิ่งนัก ทว่าไม่ว่าอย่างไรข้าก็ยังยืนยันว่าจะต้องหลอมมันให้ได้”
“เจ้าอยากตายอย่างนั้นหรือ?” ถังหว่านเอ๋อระเบิดโทสะขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“เจ้าเป็นคนพูดเองว่าข้านั้นเป็นคนเลว ฉะนั้นคนเลวย่อมไม่ตายไปอย่างง่ายดายหรอก” หลงเฉินยิ้มน้อยๆ แล้วตอบกลับไป
ในเมื่อเขาไม่มีจุดตันเถียน แล้วจะถูกทำลายไปได้อย่างไรกัน? ต่อให้ถูกทำลายไปก็ยังมีจุดดารากักวายุให้ใช้แทนอยู่ดี หากว่าทำลายไปจนถึงจุดดารากักวายุด้วยเล่า? เหอะเหอะ
“คุณหนูหว่านเอ๋อ เจ้าไปตามทางของเจ้าเถิด ข้าจะเริ่มทำการหลอมรวมแล้ว” หลงเฉินปรายสายตามองไปยังถังหว่านเอ๋อแล้วกล่าวออกไป
“ข้าจะอยู่ในบริเวณนี้ หากว่าเจ้าเกิดความผิดพลาดขึ้นมา หรือได้รับบาดเจ็บสาหัส อย่างน้อยข้าก็ยังพอที่จะช่วยชีวิตน้อยๆ ของเจ้าได้” ถังหว่านเอ๋อส่ายหน้าไปมา ก่อนที่จะเดินห่างออกไปหลายสิบเซียะ แล้วก็ได้นั่งลงกับพื้นที่สะอาดสะอ้านแห่งหนึ่ง
หลงเฉินยิ้มให้หญิงสาว ถึงแม้ว่าถังหว่านเอ๋อจะขยับปากด่าทอเข้าไม่หยุด ทว่าภายในจิตใจของนางกลับไม่ได้คิดร้ายต่อเขาเลยแม้แต่น้อย จากนั้นหลงเฉินก็ค่อยๆ หลับตาลงแล้วไหลเวียนพลังลมปราณไปทั่วทั้งร่างกายเพื่อเริ่มต้นการหลอมรวมพลังแห่งอัสนีบาต
ภายในเส้นลมปราณของหลงเฉินมีพลังแห่งอัสนีบาตไหลเวียนอย่างบ้าคลั่งเข้าไปยังทั่วทุกส่วนของร่างกายอย่างรวดเร็ว หากเป็นเส้นลมปราณของยอดฝีมือขั้นก่อโลหิตโดยทั่วไปก็คงจะถูกแผดเผาจนไม่เหลือเศษซากไปตั้งแต่แรกอย่างแน่นอน
ทว่าเส้นลมปราณของหลงเฉินทั้งแข็งแรงและมีขนาดใหญ่ขึ้นมากจึงสามารถรองรับพลังอันมหาศาลเช่นนี้ได้ พลังแห่งอัสนีบาตรเหล่านี้จึงไม่อาจทำลายเส้นลมปราณของเขาได้แม้แต่น้อยนิด นี่จึงเป็นเหตุผลว่าเหตุใดหลงเฉินถึงได้กล้าทำเรื่องเช่นนี้
“มาให้ข้าหลอมซะดีดี”
จุดดารากักวายุถูกกระตุ้นพลังขึ้นมาจนไหลเวียนพลังลมปราณไปทั่ว อีกทั้งยังบ้าคลั่งจนถึงขั้นกดดันพลังแห่งอัสนีบาตเหล่านั้นเอาไว้ได้ เมื่อพลังแห่งอัสนีบาตได้พบกับแรงกดดันอันมหาศาลของพลังลมปราณก็เกิดการดิ้นพล่านอย่างไม่คิดชีวิตขึ้นมาอย่างรุนแรง
คล้ายกับว่าพลังทั้งสองกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดภายในเส้นลมปราณของหลงเฉิน อีกส่วนหนึ่งก็คล้ายกับพยายามจะทำลายเส้นลมปราณของเขาอย่างไม่คิดชีวิตด้วยเช่นกัน ทว่าเส้นลมปราณของหลงเฉินนั้นคล้ายกับห้วงอากาศขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะถูกโจมตีเข้าไปอย่างไรก็ไม่อาจสะเทือนเลยแม้แต่น้อย
ในขณะที่พลังลมปราณของหลงเฉินกำลังกักเก็บพลังแห่งอัสนีบาตเอาไว้ไม่หยุดอยู่นั้น พลังแห่งอัสนีบาตก็ได้ปะทุพลังอันประหลาดบางอย่างขึ้นมาอย่างไม่ยินยอมความพ่ายแพ้เลย
“ช่วยเพิ่มพลังให้ข้าอีกหน่อยก็แล้วกัน”
ซูม!
พลังเพลิงกาฬที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในเส้นลมปราณลุกโชนขึ้นมาอย่างท่วมท้นแล้วเข้ากดดันพลังแห่งอัสนีบาตอย่างบ้าคลั่งอีกสายหนึ่ง ทันใดนั้นเองพลังแห่งอัสนีบาตที่พยายามดิ้นรนเพียงลำพังก็เริ่มลดทอนแรงตึงเครียดลงทีละน้อย
ทว่าหลงเฉินก็ยังจำเป็นที่จะต้องเพิ่มพลังลมปราณกับพลังเพลิงกาฬให้มากขึ้นไปอีกเพื่อใช้ทะลวงพลังแห่งอัสนีบาตได้อย่างหมดจด
อีกทั้งยังใช้พลังแห่งจิตวิญญาณของตัวเองเข้าขจัดพลังดั้งเดิมของเหร่ยเชียนซังออกไป ราวกับว่าไร้ซึ่งเจ้าของไปอ่างสิ้นเชิง ก่อนที่จะประทับพลังของตัวเองลงไปเพื่อยืนยันว่าพลังนี้เป็นของเขาแล้ว
หากเทียบกับประสบการณ์ของการหลอมสัตว์เพลิงแล้วถือว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตนัก เพียงแต่มีบางช่วงที่สร้างความยุ่งยากให้แก่เขาอยู่บ้าง
“ซูม”
หลังจากเวลาได้ผ่านพ้นไปกว่าสามชั่วยาม หลงเฉินก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาช้าๆ บนใบหน้าขาวซีดเสียยิ่งกว่ากระดาษขาว ทว่าภายในดวงตาคู่คมกลับเปี่ยมไปด้วยความยินดีอย่างยิ่ง .