หลังจากที่หลงเฉินลืมตาขึ้นมาแล้ว ถังหว่านเอ๋อที่จับตามองมาโดยตลอดก็รีบถามขึ้นมาว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?”
หลงเฉินยิ้มกลับไปเล็กน้อย แล้วค่อยๆ ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาพร้อมทั้งควบคุมพลังจิตสำนึก ทันใดนั้นที่ปลายนิ้วของเขาก็ได้มีพลังแห่งอัสนีบาตปะทุขึ้นมาจนเกิดเสียงดังเพียะพ๊ะ
ถังหว่านเอ๋อยกมือขึ้นมาป้องปากอย่างไม่อยากที่จะเชื่อ ชายหนุ่มผู้นี้กำลังกระทำเรื่องที่พลิกฟ้าได้สำเร็จอย่างนั้นหรือ นี่เป็นครั้งแรกที่นางแตกตื่นตกใจถึงเพียงนี้เลยก็ว่าได้
“เป็นไปได้อย่างไรกัน?” ถังหว่านเอ๋อมองไปยังปลายนิ้วมือของหลงเฉินที่เต็มไปด้วยพลังแห่งอัสนีบาต ส่องแสงขึ้นมา
“เหอะเหอะ ยอมรับแล้วหรือไม่? เช่นนั้นเจ้าต้องดีต่อข้าเอาไว้ หรือจะรั้งข้าให้อยู่ข้างกายก็ได้นะ ทว่าหากคิดจะรั้งข้าเอาไว้ย่อมต้องมีความสัมพันธ์ที่มากกว่านี้ เจ้าลองไปครุ่นคิดดูก่อนก็ได้” หลงเฉินพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจังอย่างถึงที่สุด
“เหอะ คนอย่างเจ้าหรือ? ก็แค่เจ้าหนูที่มีพลังอยู่ในขอบเขตก่อโลหิตตอนกลางก็เท่านั้น ไม่มีสถานะอันใดที่เหมาะสมกับข้าเลย นี่เจ้ายังไม่ตื่นจากฝันหวานอีกหรือ?” ถังหว่านเอ๋อขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างรุนแรงแล้วกล่าวออกมา
“อือ เจ้าทราบถึงพลังฝีมือของข้าได้อย่างไรกัน?” หลงเฉินถามขึ้นมาด้วยความตกใจ
“ก็ในช่วงเวลาที่เจ้ากำลังต่อกรกับอมนุษย์จ้าวหวู่อย่างไรเล่า ถึงแม้ว่าเจ้าจะพยายามซ่อนเร้นเอาไว้เป็นอย่างดี ทว่าอย่าได้คิดว่าจะรอดพ้นจากความรู้สึกอันเฉียบคมของข้าไปได้ และแน่นอนว่าเหร่ยเชียนซังเองก็คงจะสัมผัสได้เช่นเดียวกัน” ถังหว่านเอ๋อกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“สมกับเป็นผู้มีพรสวรรค์ระดับสัตว์ประหลาดจริงๆ ประสาทสัมผัสของเจ้าช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก”หลงเฉินถอนหายใจออกมา พลางก็เตือนสติตัวเองว่าหลังจากนี้คงต้องระมัดระวังตัวเองให้มากขึ้นเสียหน่อยแล้ว
ผู้มารายงานตัวแทบจะทั้งหมดต่างก็มีพลังอยู่ในขอบเขตก่อโลหิตตอนปลายแล้ว อีกทั้งยังอยู่ในระดับที่เก้ากันอีกด้วย ระหว่างนี้พวกเขาคงจะสามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นได้อย่างไม่ยากเย็น
ทว่าหลงเฉินกลับเป็นเพียงเด็กน้อยที่อยู่ในขอบเขตก่อโลหิตระดับที่หกเท่านั้น จะเรียกได้ว่าเป็นคนเดียวที่อยู่ในระดับนี้ก็ว่าได้ เขาไม่คิดที่จะทำให้ตัวเองโดดเด่นจนเกินไปเพราะจะได้มีไม่ผู้ใดมาคอยจับตามองดู
“หากเจ้ากล่าวว่าพวกข้าเป็นสัตว์ประหลาด ก็จงเชื่อให้สุดใจว่าเจ้าเองก็เป็นสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริงด้วย ด้วยการกระทำที่เย้ยฟ้าดินเช่นนั้นยังสามารถกระทำขึ้นมาได้นะ” ถังหว่านเอ๋อชี้นิ้วไปที่หลงเฉินแล้วส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมระอา
ถึงแม้ว่าถังหว่านเอ๋อจะกล่าวประชดประชันออกไปเช่นนั้น ทว่าภายในจิตใจของนางกลับยอมรับอย่างเต็มเปี่ยมว่าในครั้งนี้หลงเฉินได้ทำให้นางแตกตื่นอย่างถึงที่สุด การทำให้พลังของผู้อื่นมาเป็นของตังเองได้ย่อมเป็นความสามารถที่น่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง
หลงเฉินส่ายหน้าไปมาแล้วตอบกลับไปว่า “เย้ยฟ้า? ล้มเหลวต่างหากเล่า”
“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน? เจ้าหลอมรวมพลังแห่งอัสนีบาตได้แล้วไม่ใช่หรือ?” ถังหว่านเอ๋อส่งเสียงดังขึ้นมาด้วยความตกใจยกใหญ่
“ถึงแม้ว่าจะหลอมรวมพลังแห่งอัสนีบาตได้ ทว่าพลังลมปราณภายในร่างกายของข้ากลับไม่อาจไหลเวียนพลังแห่งอัสนีบาตให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ กล่าวอย่างเข้าใจง่ายก็คือพลังแห่งอัสนีบาตในตอนนี้เป็นสิ่งที่เหร่ยเชียนซังได้ถ่ายทอดมาให้ข้า
หากข้าใช้พลังแห่งอัสนีบาตไปจนหมด ก็ต้องทำการเติมพลังแห่งอัสนีบาตเข้ามาทดแทนด้วย เห้อ! สิ้นเปลืองเวลากว่าครึ่งวันเพื่อพบกับความล้มเหลว ช่างน่าเสียดายจริงๆ” หลงเฉินถอนหายใจออกมารัวแรง
พลังแห่งอัสนีบาตต่างกับพลังเพลิงกาฬอย่างสิ้นเชิง หลงเฉินสามารถใช้พลังลมปราณกระตุ้นเพลิงกาฬขึ้นมาได้อย่างไม่หมดไม่สิ้น ทว่าพลังแห่งอัสนีบาตกลับลดทอนลงไปเรื่อยๆ ตามการใช้งานจนไม่หลงเหลืออีกเลย นอกจากว่าเขาจะเสาะหาแหล่งดูดซับพลังแห่งอัสนีบาตได้ ฉะนั้นหลังจากนี้เขาคงต้องไปมาหาสู่กับเหร่ยเชียนซังเป็นประจำอย่างแน่นอน
ทว่าเหร่ยเชียนซังก็คงจะไม่ใช่คนโง่งม แน่นอนว่าเขาต้องสัมผัสได้ถึงความผิดปกติจนไม่ยอมประมือกับหลงเฉิน ฉะนั้นหลงเฉินคงจะไม่อาจเติมเต็มพลังแห่งอัสนีบาตได้
“ข้าคิดว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งร่างกายยังต้องรองรับพลังแห่งอัสนีบาตด้วย ข้าจึงคิดวิธีหนึ่งได้ นั่นก็คือการพาเจ้าไปเก็บสิ่งที่ต้องการอย่างไรล่ะ” ถังหว่านเอ๋อกล่าวพร้อมส่งยิ้มให้หลงเฉิน
“จริงหรือ?” หลงเฉินถามกลับไปด้วยความประหลาดใจ
“แน่นอนว่าย่อมได้ ขอเพียงเจ้ากล้าไปด้วย” ถังหว่านเอ๋อชี้นิ้วไปยังท้องฟ้าที่อยู่เบื้องบน “หากมีสายฟ้าผ่าลงมา เจ้าก็จะสามารถรับสายฟ้าเอาไว้ได้ตามแต่ใจปรารถนาเลยล่ะ เหอะเหอะ” หลังจากที่กล่าวจบ ถังหว่านเอ๋อก็ได้หัวเราะร่าขึ้นมา
หลงเฉินถอนหายใจออกมานับครั้งไม่ถ้วน “นี่เจ้าอยากให้ข้าไปรับทัณฑ์จากฟากฟ้าอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ใช่ ข้ากำลังแสดงน้ำใจต่อเจ้านะ ด้วยพลังแห่งวายุที่แข็งแกร่งของข้า แน่นอนว่าย่อมส่งเสริมเจ้าด้วยความยินดีอย่างไร้ที่เปรียบ” ถังหว่านเอ๋อยิ้มร่าแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว
ถึงแม้ว่าที่ถังหว่านเอ๋อกล่าวออกมาจะเป็นเพียงการหยอกล้อหลงเฉินเท่านั้น ทว่าภายในจิตใจของเขากลับหวั่นไหวอย่างรุนแรง วิธีการเช่นนี้ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว
เมื่อพบว่าหลงเฉินได้เงยหน้ามองขึ้นไปยังฟากฟ้าอันว่างเปล่าด้วยแววตาที่กำลังดำดิ่งสู่ห้วงแห่งความคิด ถังหว่านเอ๋อจึงทอสีหน้าแตกตื่นขึ้นมาในทันที “ข้าแค่พูดเล่นเท่านั้นนะ เจ้าคงไม่ได้คิดจะลองใช่หรือไม่”
หลงเฉินกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “วิธีของเจ้าก็มีความเป็นไปได้อยู่บ้าง เมื่อถึงเวลาที่ข้าอยากจะทดลอง จะขอให้เจ้าช่วยนะ”
จากนั้นหลงเฉินก็ได้ปัดฝุ่นตามร่างกายพัลวัน แล้วก้มลงเก็บกิ่งไม้แห้งที่อยู่โดยรอบขึ้นมารวมไว้ พลันก็ได้ดีดนิ้วครั้งหนึ่ง เพลิงรูปดาราลอยละล่องขึ้นมารอบกิ่งไม้แห้ง
“นี่เจ้าคิดจะทำอันใด?” ถังหว่านเอ๋อถามออกไป
“เพื่อเป็นการขอบคุณที่เจ้าช่วยเหลือข้า ถึงแม้ว่าจะทำไม่สำเร็จ ทว่าก็ยังต้องขอบคุณเจ้าอยู่ดี ฉะนั้นข้าจะขอเลี้ยงเจ้าด้วยอาหารอันโอชะสักมื้อหนึ่ง” หลงเฉินยิ้มเล็กน้อยแล้วตอบกลับไป
ถังหว่านเอ๋อมีสีหน้าแดงก่ำขึ้นมาในทันที แน่นอนว่าหลงเฉินกำลังพูดถึงเรื่องผายปอดอยู่ “หลงเฉิน หากว่าเจ้ายังกล่าววาจาไร้สาระเช่นนั้นขึ้นมาอีก ข้าจะไม่สนใจเจ้าอีกแล้วนะ”
“วางใจเถิด นี่เป็นความลับระหว่างเจ้ากับข้า ให้ตายลงไปข้าก็จะไม่พูดออกมา” หลงเฉินกล่าวด้วยวาจาขึงขังประดุจกำลังกล่าวคำสัตย์สาบาน
หลังจากสร้างกองไฟขึ้นมาได้แล้ว หลงเฉินก็ได้หยิบปลาฉีหลิงกว่าสิบตัวออกมาทำการปิ้งย่าง
“เจ้าจับปลาฉีหลิงได้ด้วยหรือ?” ถังหว่านเอ๋อเบิกดวงตากลมโตขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“เหอะเหอะ ให้ข้าจับมังกรอีกสองตัวยังได้เลย” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นไปมองถังหว่านเอ๋อเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ตักน้ำเพื่อชำระล้างปลาฉีหลิงจนสะอาด แล้วนำไปย่างบนกองไฟ
“ไร้สาระ มังกรถือเป็นสัตว์ในตำนาน ยังคงอยู่หรือไม่ก็ยังไม่มีผู้ใดทราบได้ เจ้าจำมันได้อย่างนั้นหรือ?” ถังหว่านเอ๋อส่งเสียงกลับไปอย่างไม่สบอารมณ์
“เกิดเป็นคนต้องมีความฝัน หากว่าวันหนึ่งเป็นจริงขึ้นมาจะว่าอย่างไรเล่า? หากมีความฝันย่อมมีการไขว่คว้า ไม่เช่นนั้นชีวิตของผู้คนคงจะเกิดมาอยู่กับความสูญเปล่าแล้ว” หลงเฉินกล่าว
“ความฝันกับการโอ้อวดนั้นแยกออกจากกันได้ยากนัก เจ้าอย่าได้กล่าวถึงเรื่องงมงายเช่นนี้เลย” ถังหว่านเอ๋อกล่าว
“ข้าคร้านที่จะสนทนากับคนงมงายแล้ว รู้สึกเหนื่อยใจอย่างไรก็ไม่รู้” หลงเฉินส่ายหน้าไปมาแล้วหันไปสนใจปลาเผาที่อยู่ในมือ
“เจ้า……” ถังหว่านเอ๋อขมวดคิ้วชนกัน พลันก็บังเกิดความคิดหนึ่ง “หลงเฉิน เจ้าช่างประหลาดยิ่งนัก เจ้าสามารถพูดจาเหมือนกับผู้คนปกติได้หรือไม่?”
“คงต้องรอให้ข้าได้พบเจอกับคนปกติก่อนจึงจะทำได้” หลงเฉินตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เจ้าตัวบัดซบ!”
ถังหว่านเอ๋อรีบยกมือขึ้นมาหมายจะฟาดไปที่หลงเฉิน “เจ้าจะบอกว่าข้านั้นไม่ปกติอย่างนั้นหรือ?”
หลงเฉินเงยหน้าขึ้นมาแล้วกวาดสายตาสำรวจไปที่ถังหว่านเอ๋ออยู่รอบหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นว่า “คุณหนูหว่านเอ๋อผู้งดงาม เจ้าคิดว่าตอนนี้เจ้าปกติอยู่อย่างนั้นหรือ?”
ถังหว่านเอ๋อกัดฟันแน่นแล้วกล่าวออกไปว่า “ข้าปกติดีอยู่แล้ว ทว่าเมื่อได้มาพบกับเจ้าจึงได้กลายเป็นเช่นนี้ไปได้”
“พอเถิด ปลาย่างสุกแล้ว กินกันเถิด”
หลงเฉินเองส่งปลาฉีหลิงย่างให้ถังหว่านเอ๋อตัวหนึ่ง ถังหว่านเอ๋อจึงรีบรับเข้ามาไว้แล้วดมดอมกลิ่นหอมอันเย้ายวนที่กระจายไปรอบทิศจนต้องกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่
“กินเถิด กินอิ่มแล้วจะได้มีแรงมาจัดการกับข้าต่อ” หลงเฉินยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าว
ถังหว่านเอ๋อรีบหันหน้าไปทางอื่น พลันก็ได้ขยับริมฝีปากเล็กน้อยแล้วกัดไปที่เนื้อปลาคำหนึ่ง ทันใดนั้นเองก็ได้ส่งเสียงดังขึ้นมาด้วยความตกใจ “อร่อยมาก ไม่แปลกใจเลยที่ถูกเรียกขานว่าเป็นอาหารเลิศรสแห่งแดนมนุษย์ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้กินมันเลยนะ”
“เหอะเหอะ เช่นนั้นข้าก็ขอใช้คำพูดเดิมที่ว่าหลังจากนี้ก็ดีต่อข้าให้มากเสียหน่อย หากเจ้าดีต่อข้าก็จะได้กินบ่อยขึ้น ทว่าหากใช้ร่างกายมาแลกเปลี่ยน เหอะเหอะ ก็จะได้กินอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้นเลยล่ะ” หลงเฉินยิ้มกริ่มขณะที่จดจ่ออยู่กับการปิ้งปลา
“เหอะ ฝันหวานเสียจริง เจ้าคิดว่าจะหลอกลวงสตรีได้อย่างง่ายดายเชียวหรือ?” ถังหว่านเอ๋อชินชาต่อคำพูดของหลงเฉินจนไม่มีโทสะบังเกิดขึ้นมา เพียงแต่ตอบกลับไปอย่างเย็นชา
เมื่อโฉมงามกินปลาหมดไปแล้วหนึ่งตัว ก็ไม่ได้เกรงใจต่อหลงเฉินอีก มืออันขาวผ่องเอื้อมไปหยิบปลาอีกตัวหนึ่งขึ้นมา แล้วกัดลงไปหลายคำอย่างไม่เกรงอกเกรงใจเหมือนในตอนแรก
“นี่ เจ้าควบคุมพลังเพลิงกาฬได้ เจ้าเป็นผู้หลอมโอสถด้วยหรือ?” หลังจากที่กลืนปลาลงคอไปแล้ว ถังหว่านเอ๋อจึงเอ่ยถามขึ้นมา
“อือ ข้าเป็นผู้หลอมโอสถ” หลงเฉินตอบกลับไป
“ไม่เลวเลย ผู้หลอมโอสถที่เยาว์วัยเช่นนี้จะต้องมีอนาคตไกลอย่างแน่นอน แล้วเหตุใดถึงไม่เลือกวิถีโอสถ? มาเลือกเข้าสู่เส้นทางวิทยายุทธ์เพื่อการใด?” ถังหว่านเอ๋อถามขึ้นมาด้วยความสงสัยอย่างเต็มเปี่ยม
“เอาแต่หลอมโอสถจะมีความหมายอย่างไรกัน? มาฝึกยุทธ์เช่นนี้ยังดีเสียกว่า ได้ต่อยตีบ้าง จีบหญิงสาวบ้าง เห็นผู้ใดขัดตาก็เตะไปสักสองสามที หากได้พบสาวงามเช่นเจ้าก็เข้าไปเกี้ยวพาราสีได้ นี่สีจึงจะเรียกว่าการใช้ชีวิต” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“บัดซบ เจ้ากล่าวล้อเล่นอีกแล้ว ออ หลังจากที่เจ้าเลือกที่จะฝึกยุทธ์ อาจารย์หลอมโอสถของเจ้าก็เห็นด้วยอย่างนั้นหรือ?” ถังหว่านเอ๋อยังคงถามอย่างต่อเนื่อง
หลงเฉินทอแววตาว่างเปล่าขึ้นมาในทันที ภายในความทรงจำของเขาได้ปรากฏภาพใบหน้าของปรมาจารย์หวินฉีขึ้นมา โดยเฉพาะฉากที่ปรมาจารย์หวินฉีได้เลือนลางหายไปหลังจากที่ใช้เพลิงกาฬเพื่อปกป้องเขา ความรู้สึกเจ็บปวดแผ่ซ่านเข้ามาคล้ายกับว่าเพิ่งจะได้พบเจอกับเรื่องราวเช่นนี้เมื่อวันก่อนนี้เอง
“น่าจะเห็นด้วย” หลงเฉินกล่าว
“น่าจะ?” ถังหว่านเอ๋อทอสีหน้าไม่สบอารมณ์ขึ้นมา
“เพราะว่าเขาได้ตายไปแล้ว ข้าจึงไม่อาจทราบได้ว่าเขาคิดเห็นอย่างไรบ้าง” หลงเฉินกล่าวพร้อมกับส่งรอยยิ้มที่อบอุ่นไปยังถังหว่านเอ๋อ
ถังหว่านเอ๋อมสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่แฝงอยู่ในดวงตาของหลงเฉิน จึงอดไม่ได้ที่จะเจ็บปวดในใจขึ้นมาด้วยเช่นกัน เพียงได้จ้อมองยังสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกเช่นนี้ได้ แล้วภายในจิตใจของหลงเฉินนั้นจะเจ็บปวดถึงเพียงใดกันนะ?
“เอาล่ะ ปลาหมดแล้ว เจ้าจงจำคำพูดของข้าเอาไว้ให้ดี หากต้องการกินปลาอีกก็ต้องดีต่อข้า ลาล่ะ” หลงเฉินกล่าวพร้อมกับยันตัวลุกขึ้นยืน
เมื่อเห็นว่าหลงเฉินกำลังจะจากไป ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใดถังหว่านเอ๋อถึงรู้สึกผิดหวังขึ้นมาอย่างถึงที่สุด
“ใช่แล้ว หลงเฉิน เจ้ารวบรวมป้ายได้ครบหรือยัง?”
“ยัง” หลงเฉินส่ายหน้าไปมา ในเมื่อเวลาอีกตั้งมากมายแล้วจะรีบร้อนไปเพื่ออันใดกัน
“ข้ามีอยู่หนึ่งชุด เจ้าเอาไปก่อนเถิด” ทันทีที่กล่าวจบถังหว่านเอ๋อก็ได้ยื่นแผ่นป้ายให้หลงเฉิน
ด้านบนของแผ่นป้ายเหล่านั้นสลักเอาไว้ด้วยตัวอักษรสวรรค์ พสุธา ลี้ลับ และราชัน ครบทั้งสี่ตัวในชิ้นเดียว ทว่ากลับไม่ใช่สี่แผ่นป้ายหรอกหรือ?
หลงเฉินยิ้มน้อยๆ แล้วยื่นมือเข้าไปรับแผ่นป้ายมา “นี่ใช่สิ่งที่เรียกว่ากินของผู้อื่นแล้วจึงไม่คิดจะติดค้างน้ำใจใช่หรือไม่? แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องขอบคุณมาก ทว่าน้ำใจแค่นี้ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ข้าหมอบแทบเท้าเจ้าได้หรอกนะ เว้นแต่ว่าเจ้าจะยอมใช้ร่างกายมาแลกเปลี่ยน”
“ไสหัวไป” ถังหว่านเอ๋อเกรี้ยวกราดขึ้นมายกใหญ่ พลันก็ได้ยกเท้าข้างหนึ่งถีบเข้ามาที่หลงเฉินอย่างรุนแรง
หลงเฉินยิ้มกรุ้มกริ่มพร้อมกับหลบการจู่โจมของถังหว่านเอ๋อพัลวัน จากนั้นก็ค่อยๆ เดินลับหายไปจากบริเวณนั้น
เมื่อไม่เห็นแผ่นหลังของหลงเฉินแล้ว บนใบหน้าของถังหว่านเอ๋อก็ได้สลายความโกรธเคืองลงไป แล้วส่งเสียงหัวเราะออกมาครู่หนึ่ง แล้วก็ได้เดินหายไปยังอีกฟากของหุบเขาด้วยเช่นกัน