เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 15 เบิกฟ้า

“ไม่……”

องค์ชายเจ็ดแผดเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวด เสียงดังก้องไปทั่วทั้งตำหนักศึกษา

จิตใจของผู้คนทั้งหมดที่เห็นภาพเช่นนั้นแทบจะหล่นไปถึงตาตุ่ม หลงเฉินผู้นี้คิดจะก่อกบฏจริงอย่างนั้นหรือ? แต่ว่าที่ทำให้ผู้คนทั้งหมดต่างก็อ้าปากตาค้างก็คือ หลงเฉินกลับหยุดมือไว้กลางอากาศใกล้กับใบหน้าขององค์ชายเจ็ด ไม่ได้กระทบต่อร่างกายของเขาแต่อย่างใด

องค์ชายเจ็ดตกใจกลัวจนหลับตาลง ทว่ารอคอยอยู่นานกลับยังไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ตอนนี้จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาทีละน้อย

และพบว่าในมือของหลงเฉินถือป้ายหยกแผ่นหนึ่งเอาไว้ ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มเรียบเฉย เทียบไม่ได้กับเทพสังหารที่เจอเมื่อก่อนหน้านี้ ราวกับเป็นคนละคนกันไปเลย

“องค์ชายเจ็ด เจ้าดูให้ดี นี่คือป้ายประจำตัวของผู้หลอมโอสถ เจ้าถามข้าไม่ใช่หรือว่าเหตุใดจึงไม่คุกเข่าให้เจ้ากัน?”

องค์ชายเจ็ดที่ก่อนนี้พยายามหนีหัวซุกหัวซุน กลับถูกหลงเฉินพลิกสถานการณ์กลับจนแทบจะตั้งตัวไม่ถูก ไม่มีพอที่จะสามารถดูได้ว่าแผ่นป้ายนี้เป็นของจริงหรือของปลอมกันแน่?

“ไม่จำเป็น……ไม่จำเป็นเลย” องค์ชายเจ็ดมองไปที่หลงเฉินด้วยความหวาดกลัว

ก่อนหน้านี้หลงเฉินที่เพิ่งจะปลดปล่อยพลังทำลายล้างออกมา ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความน่าเกรงขามของชายผู้นี้ ความตายที่เข้ามาใกล้เสียจนหายใจไม่ออก การที่ปัสสาวะไม่เรี่ยราดออกมาขณะนี้ก็ถือว่าเป็นความกล้าหาญที่ใหญ่ยิ่งแล้วหากย้อนไปมองชีวิตที่แสนดีเลิศตลอดมาของเขา

“ขอขอบคุณองค์ชายเจ็ดที่อภัยโทษให้”

หลงเฉินยิ้มออกมาน้อยๆ แล้วกล่าวกับคุณชาย เขานึกเพียงแต่ต้องการที่จะหลอกให้องค์ชายขวัญเสียก็เท่านั้น ถึงแม้เขาจะมีแผ่นป้ายของผู้หลอมโอสถ แต่ก็ไม่หาญกล้าพอที่จะทำอันใดต่อองค์ชายได้จริง อีกทั้งยังอาศัยอยู่ในจักรวรรดิด้วย

“ลุกขึ้นมาเถอะ”

หลงเฉินยืนมือข้างหนึ่งออกไปยังเบื้องหน้าขององค์ชายเจ็ดที่ทรุดนั่งลงกับพื้น

องค์ชายเจ็ดตัวสั่นเทิ้มไปทั่วร่าง เขามองไปที่หลงเฉินอย่างหวาดระแวง แล้วจึงค่อยๆ ยื่นมือยอมรับในการช่วยเหลือนั้น แล้วใช้มืออีกข้างดันตัวเองให้ลุกขึ้นยืน

ถึงแม้ว่าจะเป็นถึงองค์ชาย แต่ก็ยังถูกโจวเย้าหยางหลอกใช้ หลงเฉินจึงไม่คิดที่จะผูกใจเจ็บกับเขาจริงๆ อย่างไรเสียความจริงก็คือนี่เป็นแผนชั่วของโจวเย้าหยางเพียงผู้เดียว

แม้หลงเฉินไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก แต่ว่าการถูกผู้อื่นหลอกใช้เช่นนั้นย่อมต้องรู้สึกไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง ที่เขาทำเช่นนี้ถือได้ว่าเป็นการเปิดทางลงจากเวทีให้แก่องค์ชายเจ็ดแล้ว

องค์ชายเจ็ดที่เพิ่งจะมีอายุได้สิบห้าปี รูปร่างที่สูงใหญ่เกินกว่าวัย แต่ว่าประสบการณ์กลับมีน้อยนิดจนถึงขั้นน่าสงสาร เมื่อถูกหลงเฉินลงมือกำราบเช่นนี้ก็ทำอะไรไม่ถูก หลังจากที่เขาลุกขึ้นมาก็ไม่ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะกล่าวอันใดออกไปดี

“องค์ชายเจ็ด หรือไม่เช่นนั้นท่านก็นั่งอีกสักครู่ก่อนดีหรือไม่?” หลงเฉินกล่าวเพื่อเรียกสติ

“อ๋ออ๋อ ไม่แล้ว ข้า……หมายถึงข้ายังมีเรื่องที่ต้องทำ ข้าขอตัวกลับก่อน” กล่าวจบ องค์ชายเจ็ดก็หันกายออกจากหอตำราอย่างรวดเร็ว ขาที่ย่างก้าวเดินไปทีละก้าวอย่างเชื่องช้านั้นทั้งสั่นและไร้เรี่ยวแรงเสมือนจะทรุดลงได้ทุกเมื่อ

ขณะเดินไปก็นึกคิดอยู่ในใจไปว่า เมื่อครู่ที่ผ่านมาเขาได้มองเห็นรอยยิ้มของเทพแห่งความตายอยู่ จิตสังหารอันแรงกล้า สัมผัสได้ว่าความเป็นตายของเขานั้นขึ้นอยู่กับความคิดชั่ววูบของหลงเฉินแต่เพียงผู้เดียว

เมื่อเห็นองค์ชายเจ็ดเดินลับหายจากไป หลงเฉินก็ได้หันหน้ากลับมามองที่กลุ่มของลูกขุนนางคราหนึ่ง พวกผู้คนที่เพิ่งจะรายล้อมหลงเฉินเพื่อเตรียมเข้าปะทะ

ทว่าจากฝีมือการจัดการโจวเย้าหยางอย่างดุเดือดของหลงเฉินจนทำให้เขาอาการสาหัส จนทำให้พวกคนกลุ่มนั้นหยุดนิ่ง ไม่อาจเคลื่อนไหวใดใดได้ พากันถอยกรูออกไปทางด้านหลังและวิ่งลับออกไปจนพ้นสายตาของหลงเฉิน

หลงเฉินคร้านที่จะสนใจพวกเขา แม้ว่าเมื่อก่อนพวกเขาจะเคยทำให้หลงเฉินแค้นเคืองจนอยากจะจับแยกร่างเป็นชิ้นๆ อยู่มากก็ตาม แต่ว่าในวันนี้ได้อยู่กันคนละระดับชั้นกับเขาไปเสียแล้ว ความเกลียดชังเช่นนั้นก็ไม่ได้มีผลต่อชีวิตของเขาอีกต่อไป

หลงเฉินค่อยๆ ก้าวเดินไปยืนอยู่เบื้องหน้าของโจวเย้าหยางที่กำลังหายใจรวยรินอยู่บนพื้น ดวงตาทั้งสองของเขามีแต่ความอ่อนล้า พร้อมที่จะหมดลมหายใจลงไปได้ทุกเมื่อ

“หลงเฉิน เจ้าไม่ควรที่จะฆ่าเขา พวกเราจะต้องนำตัวเขาส่งไปที่สภาผู้หลอมโอสถ ยังพอที่จะต่อลมหายใจของเขาเอาไว้ได้”

ซือเฟิงเดินเข้ามาใกล้ๆ เพื่อแนะนำ นั่นเป็นเพราะสถานที่แห่งนี้ไม่ใช่เวทีประลองเป็นตาย เป็นเพียงการปะทะส่วนตัวเท่านั้น หากถึงขั้นเอาชีวิตผู้คน หลงเฉินย่อมไม่อาจที่จะเลี่ยงจากการรับโทษได้

“วางใจเถิด การเป็นคนดีย่อมไม่ทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ชีวิต คนพวกนี้คงอยู่นานนับพันปี เจ้าดูไปที่หว่างคิ้วประดุจหญ้าของเขาสิ กะโหลกสมองคงจะมีข้อบกพร่อง ความคิดอย่างคนต่ำทราม คนเช่นนี้ย่อมไม่ตายอย่างง่ายดายแน่นอน เจ้ายังไม่เห็นใบหน้าของเขาที่แดงก่ำอย่างไม่เป็นปกติเลยอย่างนั้นหรือ?” หลงเฉินหัวเราะออกมาแล้วกล่าว

เจ้าอ้วนและพวกพ้องต่างไม่อาจเอ่ยวาจาใดออกมาได้ โจวเย้าหยางถือได้ว่าเป็นชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่ง ถึงแม้ว่าหว่างคิ้วจะยุ่งเหยิงคล้ายพงหญ้า กะโหลกคงจะมีข้อบกพร่อง แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับสิ่งที่กล่าวออกมาในตอนท้ายเลย แต่หลงเฉินกลับเปรียบเทียบแดกดันคล้ายกับว่าร่างกายถูกเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปแล้วเสียอย่างนั้น

อีกทั้งยังจะบอกว่าใบหน้าที่แดงเปล่งปลั่งอีกอย่างนั้นหรือ? นั่นคงจะเป็นเพราะโลหิตไม่อาจที่จะไหลเวียนได้จนอัดแน่นกันอยู่บนใบหน้า ความแดงชาดเช่นนี้เรียกว่าแดงอมม่วงยังจะเหมาะสมเสียกว่า ไม่เห็นจะมีเค้าโครงของใบหน้าที่แดงเปล่งปลั่งแม้แต่น้อย

หลงเฉินคว้าเอาโอสถเม็ดหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วยัดเข้าไปภายในปากของโจวเย้าหยาง

“เพียะเพียะ”

ใบหูขนาดใหญ่ทั้งสองข้างสั่นสะเทือนจากแรงกระแทก โจวเย้าหยางถูกตบเข้าไปที่ใบหน้าสองฉาด เนื่องจากไร้เรี่ยวแรงที่จะกลืนโอสถลงไปแล้ว การทำเช่นนี้จะช่วงให้โอสถไหลลงสู่กระเพาะของเขาไปได้อย่างราบรื่น

ถึงแม้หลงเฉินจะเกลียดชังในตัวของโจวเย้าหยางดุจไส้เดือนกิ้งกือ แต่ก็ให้โอสถไปเม็ดหนึ่ง อาการบาดเจ็บของโจวเย้าหยางอาจจะแสนสาหัสอยู่มาก แต่ว่าย่อมไม่ถึงกับตายอย่างแน่นอน

เมื่อตนเองได้นำโอสถที่ตนเองหลอมออกมาเพื่อช่วยทุเลาอาการบาดเจ็บ ก็เพียงพอที่จะสามารถยืนยันได้ว่าเขาจะไม่ตายอย่างแน่นอน รวมไปถึงบาดแผลภายนอกด้วย เหอะเหอะ คนของตระกูลโจวผู้นั้นก็ได้จบปัญหาจนหมดแล้ว ขอเพียงแค่หลงเฉินไม่ต้องถึงกับจัดการเขาให้ตายไปก็พอ

“พวกเจ้าทั้งหมด ถ้าหากไม่ต้องการให้โจวเย้าหยางตายในตอนนี้ ก็รีบแบกมันออกไปซะ!” หลงเฉินชี้หน้าบุตรขุนนางหลายคนที่กำลังยืนอึ้งอยู่ แล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ไม่นานกลุ่มคนเหล่านั้นก็ได้รีบแบกโจวเย้าหยางขึ้นอย่างระมัดระวัง วางร่างไร้สตินั้นลงบนโต๊ะที่วางเรียงต่อกันเป็นแนวยาว

และประจวบกับหวังหมางที่สิ้นสติอยู่ไม่ไกล ก็ถูกยกขึ้นวางบนโต๊ะด้วยเช่นกัน เมื่อเห็นว่าน่าจะเรียบร้อยแล้ว พวกเขาจึงถูกแบกออกไปพร้อมกันทั้งคู่

“เจ้า เจ้า แล้วก็เจ้า เข้ามาเช็ดคราบเลือดที่พื้นให้สะอาด!”

หลงเฉินชี้ไปทางด้านบุตรขุนนางอีกกลุ่มหนึ่งแล้วกล่าว เด็กน้อยหลายคนในนั้นได้เย้ยหยันหลงเฉินอยู่ไม่น้อยเมื่อก่อนหน้านี้ แม้หลงเฉินไม่ได้คิดที่จะลงดาบกับพวกเขา แต่ก็ยังไม่วายจัดการงานให้พวกเขาทำ เหมือนกับได้ระบายความโกรธไปอีกรูปแบบหนึ่ง

เจ้าพวกเด็กน้อยที่ถูกหลงเฉินเรียกไปนั้นไม่กล้าแม้แต่จะผายลม เร่งรีบเข้าไปเก็บกวาดทันที รวดเร็วเสียยิ่งกว่าม้าติดปีก เพียงชั่วพริบตาเดียวก็เก็บกวาดจนสะอาดสะอ้าน แม้แต่ฟันของหวังหมางหลายสิบเม็ดนั้นก็ยังถูกหาพบจนหมดทุกชิ้น

สิ่งที่หลงเฉินคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าก็คือ หลังจากที่เก็บกวาดไปแล้วราวครึ่งชั่วยามกว่าๆ อาจารย์ผู้สอนจึงได้เพิ่งเข้ามาถึง

ชายชราผู้ที่มาเยือนนั้นมองไปทางหลงเฉินด้วยความฉงนสงสัย จากนั้นก็เริ่มต้นบรรยายตามปกติ หลงเฉินอดไม่ได้ที่จะแอบด่าทอยกใหญ่อยู่ภายในใจ

เจ้าแก่ตายซาก จะต้องรับประโยชน์มาจากโจวเย้าหยางอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นก็คงจะไม่ปรากฏตัวขึ้นมาได้ล้าช้ากว่าครึ่งชั่วยามเช่นนี้แน่

ให้ตายเถิด หลงเฉินเพ่งมองชายชราผู้นั้นด้วยสายตาดูถูก ความจริงคิดเอาไว้ว่าผู้ที่ร่ำเรียนหนังสือแล้วกระดูกน่าจะสะอาดและสูงส่ง วันนี้หลงเฉินจึงได้ลบล้างความคิดเช่นนี้ออกไปจากหัวจนหมดสิ้น รู้สึกว่าตนเองถูกหลอกลวง ครั้งที่แล้วชายชราผู้นี้ยังเป็นผู้ที่ทำให้หลงเฉินมีความรู้สึกที่ดีด้วยอยู่หลายส่วน แต่บัดนี้กลับมลายหายไปจนหมด

หลังจากที่ผ่านช่วงเวลาที่อยากจะลงไปนอนเสียให้ได้ ก็ถึงเวลาทาอาหารกลางวัน หลังจากนั้นก็จะได้รวมตัวกันเพื่อที่จะไปยังหอทักษะยุทธ์

เจ้าอ้วนและพวกพ้องไม่ได้เข้ามาด้วย เพียงแต่ขอกลับบ้านเพื่อที่จะทานโอสถ วันนี้ทุกคนต่างก็ตะลึงงึงงันกับท่วงท่าของหลงเฉิน มันทำให้พวกเขาเกิดอาการวิตกจนมวนไปทั่วท้อง ราวกับเห็นอนาคตของตนเอง

หลังจากที่หลงเฉินเดินเข้ามายังหอทักษะยุทธ์แล้ว เขาพลิกตำราดูอยู่หลายเล่ม แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาสะดุดตาเลยแม่เพียงเล่มหนึ่ง พลังทำลายของทักษะการต่อสู้ในตำราเหล่านั้นยังถือได้ว่าธรรมดามากเกินไป ไม่อยู่ในสายตาของหลงเฉินเลยก็ว่าได้

เขากวาดสายตาดูหนังสืออย่างรวดเร็ว เพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็ได้พลิกดูตำราทักษะยุทธ์ไปแล้วกว่าหลายร้อยเล่ม แต่ก็ยังคงทำได้แค่ส่ายหน้าไปมาเท่านั้น

ไม่แปลกใจเลยที่เปิดให้เข้ามาดูอย่างง่ายดาย สิ่งเหล่านี้ต่างก็ถือได้ว่าเป็นทักษะยุทธ์ระดับขยะแทบทั้งสิ้น การไหลเวียนพลังที่ซับซ้อนแต่พลังทำลายกลับน้อยนิด และเหล่าคัมภีร์ที่อยู่บนชั้นสอง ก็มีเพียงยอดฝีมือระดับขั้นก่อโลหิตเท่านั้นที่จะมีคุณสมบัติได้เปิดอ่าน

ทักษะยุทธ์อื่นในตำรากับหลงเฉินนั้นไม่ได้มีประโยชน์อันใดมากนัก เขาผู้ที่มีท่าเท้าไล่วายุ ทักษะยุทธ์พลังวัวคลั่ง ที่ถือได้ว่าเป็นทักษะยุทธ์ชั้นแนวหน้าในตอนนี้ ต่อให้ศึกษาไปก็ไร้ซึ่งประโยชน์

หลงเฉินถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง และจะไม่ยอมเสียเวลาอีกต่อไป ทันใดนั้นเขาได้ตั้งสมาธิขึ้นมาแล้วมุ่งหน้ากวาดสายตามองเข้าไปยังชั้นหนังสือที่อยู่ชั้นล่างสุดของหัวมุมหนึ่ง

ชั้นหนังสืออื่นต่างก็ถูกจัดเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย วางเรียงเอาไว้ด้วยทักษะยุทธ์เล่มหนึ่ง แต่ว่าในชั้นล่างสุดนั้นกลับมีข้าวของกระจัดกระจายทั่วไปหมด

สิ่งของที่อยู่ตรงนั้นต่างก็เป็นทักษะยุทธ์ ทว่ากลับมีอยู่ส่วนหนึ่งที่ดูเก่าแก่อย่างยิ่ง อีกทั้งส่วนมากแล้วต่างก็เป็นทักษะยุทธ์ที่ไม่สมบูรณ์ ขาดพลังซ้อนเร้น จะบอกว่าเป็นเพียงขยะก็ว่าได้ ครั้นจะทิ้งไปก็รู้สึกเสียดาย จึงได้ถูกจัดวางเอาไว้อยู่ในมุมหนึ่งที่ลับตาแค่เพียงเท่านั้น

ในช่วงที่สายตาของหลงเฉินได้กวาดเข้าไปที่มุมนั้น คัมภีร์ยุทธ์ม้วนหนึ่งที่ถูกคลุมด้วยหนังปีศาจก็ได้ดึงดูดความสนใจของหลงเฉินเอาไว้

แม้หนังปีศาจม้วนนั้นมีลักษณะเก่าคร่ำครึ แต่ว่าหลงเฉินที่มีพลังแห่งจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง กลับรู้สึกว่าสิ่งที่อยู่ภายในหนังปีศาจนั้นได้เก็บซ่อนพลังบางอย่างที่เก่าแก่เอาไว้กลุ่มหนึ่ง

เมื่อได้ยื่นมือเข้าไปค้นคัมภีร์ยุทธ์หนังปีศาจที่อยู่ภายในกองขยะนั้น หลงเฉินก็รู้สึกถึงการเต้นระรัวภายในอก มันเก่าเสียจนหากเป็นบุคคลอื่นอาจจะมองไม่ออกว่าหนังปีศาจม้วนนี้มีความลับซ่อนเร้นอยู่

เขาที่มีพลังแห่งจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งกลับสามารถที่จะสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าภายในม้วนหนังปีศาจนั้นกำลังแผ่กระจายพลังกดดันอันน่าหวาดกลัวขึ้นมาเป็นระลอก

ด้านบนของหนังปีศาจนั้นมีรอยสักอยู่เล็กๆ รอยหนึ่ง มีจุดฉีกขาดอยู่ไม่น้อย อาจเป็นเพราะว่าได้ผ่านวันคืนแห่งเวลามานับไม่ถ้วน

หลงเฉินคิดว่า เจ้าของหนังปีศาจชิ้นนี้คงจะมีการคงอยู่ของพลังอันมหาศาลอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นแล้วคงจะไม่อาจเก็บซ่อนเอาได้นานถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังสามารถหลงเหลือพลังที่มืดมนไว้ได้จนถึงตอนนี้

ที่น่าตลกไปกว่านั้นก็คือสิ่งของที่มีความน่ากลัวเช่นนี้กลับถูกวางกองเอาไว้ราวกับขยะอยู่ที่มุมหนึ่ง หลงเฉินรีบตรวจสอบหนังปีศาจนั้นอย่างรวดเร็ว

เขาพบว่าภายในนั้นเป็นแผนที่ผืนหนึ่ง ภายในแผนที่นั้นปรากฏเป็นตัวอักษรโบราณ เขียนเป็นเครื่องหมายอยู่สองตัว:

“เบิกฟ้า”

พลังแห่งจิตวิญญาณที่รุนแรงยิ่งนัก หลงเฉินเกิดอาการตื่นตระหนกตกใจ วิชาทักษะยุทธ์ขยะเช่นนี้ กลับกล้าที่จะใช้ชื่อนี้เรียกขาน ช่างไม่เกรงใจกันจนเกินไปแล้วหรือ?

หลงเฉินขมวดคิ้วเข้มของเขาเข้าหากันเมื่อได้มองไปที่แผนที่นั้นอย่างตั้งใจ เขาพบสัญลักษณ์ที่เป็นจุดสีแดงเก้าจุดเท่านั้น นอกนั้นก็ไม่ได้มีสิ่งใดแสดงเอาไว้เลย

ระหว่างจุดทั้งเก้านั้นคล้ายกับว่ามีเส้นบางๆ ที่ไม่แทบจะมองไม่เห็นเชื่อมโยงกันอยู่ แต่ด้วยวันเวลาที่ผ่านไปอย่างยาวนานจึงไม่อาจทราบได้ว่าเป็นสิ่งเดิมที่มีอยู่จริงหรือไม่ หรือว่าเป็นร่องรอยที่เกิดขึ้นมาภายหลัง

“ได้เวลาแล้ว บุตรขุนนางทั้งหมดโปรดปล่อยมือจากชั้นหนังสือ”

เมื่อหมดเวลาแห่งการศึกษาตำราก็ได้มีเสียงเย็นเยียบเสียงหนึ่งดังขึ้นมาทั่วทั้งหอทักษะยุทธ์ ผู้คนมากมายต่างก็อดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้ ช่วงเวลานั้นได้ผ่านเลยไปอย่างรวดเร็วจนทำให้ผู้คนเหล่านั้นเกิดอาการเซื่องซึม อีกหนึ่งเดือนถึงจะมีโอกาสได้กลับเข้ามาอีก ถือได้ว่าทำร้ายกันเกินไปแล้ว

หลงเฉินมองไปที่ม้วนคัมภีร์ที่อยู่ภายในมือ เขารู้สึกเสียดายยิ่งนัก เวลาที่จะได้ฝึกทักษะยุทธ์ถือว่ามีค่ามากอย่างยิ่ง ระยะเวลาอีกหนึ่งเดือนทำให้เขายากที่จะทนไหว

เมื่อคนอื่นๆ ได้ทยอยกันเดินออกไปแล้ว หลงเฉินจึงได้ค่อยๆ เดินตามออกมา แต่ว่าภายในมือของเขานั้นยังคงถือม้วนหนังปีศาจม้วนนั้นเอาไว้แน่น

ยอดฝีมือที่ยืนหน้าประตูเป็นยอดฝีมือขั้นก่อโลหิต สีหน้าของเขาเรียบเฉยและเย็นชา เมื่อเขากำลังจะอ้าปากเอ่ยวาจาอะไรออกมา หลงเฉินก็ได้ชิงตัดหน้าเสียก่อน

“ใต้เท้า ข้าคิดที่จะนำหนังปีศาจม้วนนี้กลับไปทบทวนดูสักครา ขอรบกวนใต้เท้า”

หลงเฉินกล่าวจบและไม่รั้งรอให้ชายผู้นั้นเอ่ยโต้ตอบกลับมา เขาก็ได้ควักโอสถออกมาเม็ดหนึ่ง ทันใดนั้นก็ได้พบเห็นโอสถเม็ดนั้น ยอดฝีมือขั้นก่อโลหิตที่กำลังจะตัดบทพูดก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป

มือของเขายื่นไปคว้าโอสถเม็ดนั้น มันคือโอสถก่อโลหิตเม็ดหนึ่ง ประจวบกับที่เขานั้นอยู่ในขอบเขตก่อโลหิต จึงถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ต้องการอย่างมาก

ที่สำคัญที่สุดก็คือ โอสถก่อโลหิตเม็ดนั้นเป็นถึงโอสถก่อโลหิตระดับกลาง มีค่ามากกว่าโอสถก่อโลหิตปกติถึงกว่าสิบเท่า

ยอดฝีมือขั้นก่อโลหิตผู้นั้นจำเป็นที่จะต้องหยิบยืมพลังแห่งฟ้าดินเข้าสู่กระแสการฝึกยุทธ์แห่งเส้นปราณโลหิต เพื่อที่จะให้ตนเองยิ่งทวีอนุภาพความร้ายกาจแห่งโลหิต และร่างกายเกิดความแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม

และโอสถก่อโลหิตเพียงพอที่จะสามารถเสริมสภาวะแห่งพลังก่อโลหิตให้สูงขึ้นได้อีกหลายเท่าตัว เมื่อมีโอสถก่อโลหิตเม็ดนี้อยู่ในครอบครอง อย่างน้อยๆ ก็สามารถประหยัดเรี่ยวแรงในการฝึกยุทธ์ได้ถึงกว่าครึ่งปี

ยอดฝีมือขั้นก่อโลหิตผู้นั้นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงนับครั้งไม่ถ้วน ท้ายที่สุดก็อดใจเอาไว้ไม่อยู่ น้อมรับโอสถเม็ดนั้นเอาไว้ จากนั้นก็ได้มองไปยังหนังปีศาจเก่าขาดภายในมือหลงเฉินคราหนึ่ง

“จำไว้ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น”

หลงเฉินเข้าใจได้ถึงความหมายของเขาว่าเขาจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไม่เช่นนั้นหลงเฉินคงจะต้องถูกคาดโทษว่าเป็นหัวขโมยอย่างแน่นอน

เมื่อได้รับคำตอบรับเช่นนั้น เขาจึงเก็บหนังปีศาจเก่าม้วนนั้นเอาไว้แล้วจากเดินไป ยอดฝีมือขั้นก่อโลหิตผู้นั้นจึงหันกลับมาตรวจสอบโอสถก่อโลหิตอย่างละเอียดอีกครั้ง

“คิดไม่ถึงว่าเขาจะมีสมบัติล้ำค่าเช่นนี้อยู่ด้วย ไม่ได้แล้ว คงจะต้องสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับที่มาที่ไปของเขาเสียแล้ว” ยอดฝีมือขั้นก่อโลหิตผู้นั้นกล่าวจบก็ได้หายไปจากหอทักษะยุทธ์

หลังจากที่หลงเฉินจากมาได้สักครู่หนึ่งและมุ่งหน้าไปทางด้านหน้าของตำหนัก เขารู้สึกว่าหาญกล้าเกินไปที่นำเอาโอสถก่อโลหิตชิ้นนั้นออกมา ไม่เกรงกลัวผู้ใดจะเข้ามาตรวจสอบ

วันนี้เขาจะทำให้ผู้คนทั้งหลายได้ทราบว่า เขาเป็นหนึ่งในผู้หลอมโอสถ หนึ่งในบุคคลที่ปรมาจารย์ หวินฉียกย่องให้เป็นผู้หลอมโอสถ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ทั้งหมดก็พอที่จะยับยั้งการยกธงเข้ามาของเหล่าทหารได้

ที่เขาใช้วิธีเช่นนี้ก็เพื่อที่จะเป็นการบอกกับอีกฝ่ายว่า หลงเฉินผู้นี้ไม่ได้เป็นเช่นก่อนหน้านั้น ที่พวกเขาต่างก็คิดว่าเป็นเจ้าคนไร้ประโยชน์ที่สามารถรังแกได้ทุกเมื่อ คิดที่จะแตะต้องเขา ยังไงก็จำเป็นที่จะต้องครุ่นคิดถึงผลลัพธ์เอาไว้ให้ดีก่อน

ขณะเดินอยู่บนถนนสายหนึ่ง หลงเฉินครุ่นคิดไปยังผู้ที่อยู่เบื้องหลังของสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ พยายามที่จะขุดคุ้ยหาเหตุขึ้นมาทีละเล็กละน้อย จนหลงเดินเข้ามายังตรอกน้อยสายหนึ่งอย่างไม่ทันรู้สึกตัว

ทันใดนั้นเองก็มีร่างแหขนาดใหญ่คลุมมาจากท้องฟ้า หลงเฉินไม่อาจหลบหนีได้ทันจึงถูกรวบลอยขึ้นสูงไปบนอากาศ . . .

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset