เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 159 เตะจนลอย

ผลลัพธ์เป็นไปตามที่หลงเฉินคาดการณ์เอาไว้ทั้งหมด ตลอดเส้นทางที่เขาผ่านมามีแต่ผู้คนส่งสายตาอิจฉามาให้เป็นสาย ทว่าคนเหล่านั้นกลับมองไปที่เยี่ยจื่อชิวและถังหว่านเอ๋อด้วยสายตาหวานหยาดเยิ้มและเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่ชอบพอ

 

 

 

 

 

 

 

“เจ้าหนูผู้นั้นเป็นผู้ใดกัน เหตุใดถึงได้ไปเดินตามติดสองโฉมงามเช่นนั้นได้ พวกเจ้าดูไปที่สายตาของเขาสิ? นั่นเรียกว่าเป็นการเย้ยหยันพวกเราไม่ใช่หรือ ไม่ไหวแล้ว ข้ารับไม่ได้ ข้าจะไปท้าสู้กับเขา แล้วบดขยี้ให้แหลกคามือ” ชายฉกรรจ์หน้าดำผู้หนึ่งด่าทอขึ้นมายกใหญ่

 

 

 

 

 

 

 

“พวกเราจะร่วมสนับสนุนเจ้าเอง ทว่าก่อนจะไปนั้นช่วยถอดแหวนมิติและสิ่งของมีค่าออกมา พร้อมทั้งเขียนจดหมายสั่งเสียสักฉบับหนึ่งเถิด” ชายหนุ่มผู้มีรูปร่างผอมสูงที่ยืนอยู่ด้านข้างกล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชา

 

 

 

 

 

 

 

“เหตุใดต้องทำเช่นนั้นด้วย?” ชายฉกรรจ์หน้าดำเอ่ยถามด้วยความสงสัย

 

 

 

 

 

 

 

“ความหมายของข้าก็คือหากเจ้าไปแล้วก็อย่าได้คิดว่าจะมีชีวิตรอดกลับมา ยอดฝีมืออย่างจ้าวหวู่ยังถูกเขาฆ่าตายมาแล้ว แล้วเจ้าเป็นผู้ใดกันถึงได้หาญกล้าไปท้าสู้ได้?” ชายหนุ่มผู้มีรูปร่างผอมสูงเอ่ยขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

“ที่แท้……เขาคือหลงเฉิน?” ชายฉกรรจ์หน้าดำถอดสีหน้าไปในทันที

 

 

 

 

 

 

 

“คิดว่าข้ากำลังกล่าววาจาไร้สาระหรืออย่างไรกัน? นอกจากเขาแล้วจะมีผู้ใดที่สามารถเข้าใกล้ถังหว่านเอ๋อได้อีก? นี่ เจ้ายังกล้าท้าสู้อีกหรือไม่ พวกพี่ชายอีกหลายท่านกำลังรอดูเจ้าบดขยี้เขาอยู่นะ” ชายหนุ่มผู้มีรูปร่างผอมสูงยังไม่ลืมที่จะกล่าวเพื่อกระพือลมใส่กองไฟขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

วินาทีนั้นชายฉกรรจ์หน้าดำก็รู้สึกได้ว่าใบหน้าของตัวเองนั้นร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทว่าใบหน้าดำคล้ำของเขากลับมองเห็นได้ไม่ชัดเจนเท่าใดนัก

 

 

 

 

 

 

 

“แค่กแค่ก มีหรือที่ข้าจะไม่รู้จักหลงเฉิน เมื่อครู่นี้ข้าเพียงล้อเล่นก็เท่านั้นเอง ดูสิ พวกเจ้ายังจะเชื่ออีกหรือ” ชายฉกรรจ์หน้าดำพยายามหัวเราะฮาฮาเพื่อกลบเกลื่อนความหวาดหวั่น

 

 

 

 

 

 

 

“น่าเบื่อ”

 

 

 

 

 

 

 

“ขี้อวด”

 

 

 

 

 

 

 

“น่ารังเกียจ”

 

 

 

 

 

 

 

ผู้คนโดยรอบส่งเสียงด่าทอและเย้ยหยันขึ้นมาไม่หยุด จากนั้นก็ค่อยๆ แยกย้ายกันเดินจากไป เขายินดีที่จะถูกเย้ยหยันดีกว่าเอาชีวิตเข้าแลกหากท้าสู้กับหลงเฉิน

 

 

 

 

 

 

 

ในระหว่างที่หลงเฉินและทั้งสองโฉมงามกำลังเดินไปตามเส้นทางอยู่นั้นก็ได้พบผู้คนมากมายเดินอยู่ตามรายทางมากขึ้นเรื่อยๆ หลงเฉินลองกวาดสายตามองดูอยู่ครู่หนึ่งกลับมั่นใจว่าผู้คนเหล่านี้มีมากถึงหมื่นกว่าคนแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

“ไม่ต้องแปลกใจไป ไม่ใช่ทุกคนที่จะรวบรวมแผ่นป้ายได้ครบ ในเมื่อพวกเขาสามารถเข้าร่วมการทดสอบได้แล้ว แน่นอนว่าย่อมต้องอยากเปิดหูเปิดตาว่าท้ายที่สุดแล้วการทดสอบจะเป็นอย่างไร” ถังหว่านเอ๋อเอ่ยขึ้นมาเมื่อเห็นว่าหลงเฉินกำลังขมวดคิ้วเข้มเข้าหากัน

 

 

 

 

 

 

 

ถึงแม้ว่าแผนที่สำหรับการทดสอบจะกว้างใหญ่ไพศาล อีกทั้งยังมีสมบัติมากมายนับไม่ถ้วน ทว่าช่วงเวลาในการทดสอบกลับเนิ่นนานมากเช่นกัน ฉะนั้นพวกเขาจึงพอจะเก็บเกี่ยวบางอย่างไปได้พอประมาณแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

นอกจากนี้ยังมีโอกาสได้พบเจอกับสัตว์มายาที่แข็งแกร่ง หากว่าย่ำแย่ที่สุดก็คงจะต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ในสถานที่แห่งนี้ แน่นอนว่าคงไม่มีผู้ใดคิดจะเอาชีวิตเข้าไปเผชิญหน้ากับเรื่องอันตรายอยู่แล้ว ทางที่ดีก็ปล่อยให้ตัวเองไหลไปตามกลุ่มผู้คนยังจะดีกว่า

 

 

 

 

 

 

 

ต่อให้ไม่ผ่านการทดสอบก็ยังพอจะเอาเรื่องราวที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ไปคุยโอ้อวดกับโลกภายนอกได้บ้าง

 

 

 

 

 

 

 

ขณะนี้ผู้คนทั้งหมดต่างก็มาถึงสุดขอบของแผนที่ที่ใช้ในการทดสอบแล้ว ระหว่างนั้นก็ได้มีผู้คนไม่น้อยเดินมารวมอยู่ที่หลงเฉิน เมื่อกวาดสายตามองไปโดยรอยแล้วพวกเขาต่างก็เป็นขุมกำลังของถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวนั่นเอง

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินแอบถามถังหว่านเอ๋อระหว่างที่เดินมาว่าการได้เป็นศิษย์สายตรงของสำนักนั้นยอดเยี่ยมถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อก็ได้ตอบกลับมาว่าหลังจากที่ได้เป็นศิษย์สายตรงแล้วก็จะสามารถสร้างขุมกำลังได้ และในทุกๆ เดือนยังจะได้รับรางวัลเพิ่มเติมอีกด้วย

 

 

 

 

 

 

 

อีกประการหนึ่งก็คือศิษย์สายตรงจะได้รับภารกิจจากสำนักอันมีค่าต่อการฝึกยุทธ์เป็นอย่างยิ่ง และทางสำนักจะมีการทดสอบขุมกำลังทุกเดือนเพื่อจัดลำดับความสามารถของขุมกำลังนั้นๆ อีกด้วย เมื่อได้รับรางวัลเหล่านั้นมาแล้วก็จะสามารถจัดสรรปันส่วนให้ผู้คนได้ตามใจชอบ

 

 

 

 

 

 

 

ประโยคในตอนท้ายนี้ทำให้หลงเฉินเกิดความกังวลเป็นอย่างยิ่ง ปกติแล้วเขามักจะกล่าววาจาล่วงเกินต่อถังหว่านเอ๋ออยู่เป็นประจำ เช่นนั้นหลงเฉินจึงถามถังหว่านเอ๋อกลับไปว่านางจะกลั่นแกล้งเขากลับหรือไม่

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อไม่กล่าววาจาใดออกมา เพียงแต่ส่งเสียงหัวเราะหึหึแล้วมองมาที่เขาอย่างเย็นชา ดวงตาคู่งามส่งความนัยที่คล้ายกับว่าเจ้าเองก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจดีอยู่แล้ว

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากได้ฟังคำอธิบายจากถังหว่านเอ๋อแล้ว ในที่สุดหลงเฉินก็เข้าใจถึงความสำคัญของขุมกำลัง มากยิ่งขึ้น รางวัลที่สำนักได้แจกจ่ายให้นั้นมีอยู่อย่างจำกัด หากต้องการวัตถุดิบเพื่อส่งเสริมการฝึกยุทธ์ก็จะต้องทำภารกิจ

 

 

 

 

 

 

 

และภารกิจก็ใช่ว่าจะมีมากมายไร้จำกัด ปรารถนาจะได้มาก็ต้องแย่งชิง หากไม่มีขุมกำลังใหญ่เป็นที่พึ่งพาก็คงมีแต่จะต้องอดตายไปเพียงผู้เดียว

 

 

 

 

 

 

 

“พี่ใหญ่หลง”

 

 

 

 

 

 

 

ในขณะที่หลงเฉินกำลังเดินก้มหน้าก้มตาอยู่นั้น จู่จู่ก็มีเสียงเรียกดังขึ้นมาที่ข้างหู เมื่อเขาหันไปหาต้นเสียงก็พบว่าเป็นเจ้าหนูกัวเหรินนั่นเอง

 

 

 

 

 

 

 

“ไม่เลวนี่ ข้ายังเป็นกังวลอยู่เลยว่าเจ้าจะข้ามมาได้หรือไม่” เมื่อเห็นกัวเหรินมาถึงแล้วก็ทำให้หลงเฉินรู้สึกเบาใจขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

“ยินดีที่ได้พบคุณหนูหว่านเอ๋อ ยินดีที่ได้พบคุณหนูจื่อชิว”

 

 

 

 

 

 

 

กัวเหรินผู้นี้ช่างมีสายตาที่แหลมคมยิ่งนัก เขากวาดสายตามองเพียงครั้งเดียวก็สามารถหาหลงเฉินพบแล้ว อีกทั้งในตอนนี้ยังรีบโค้งตัวทำการคารวะต่อสาวงามทั้งสองนางอย่างอ่อนน้อม

 

 

 

 

 

 

 

เยี่ยจื่อชิวพยักหน้าเล็กน้อย ส่วนถังหว่านเอ๋อก็เอาแต่จ้องมองมาที่หลงเฉินแล้วกล่าวต่อกัวเหรินว่า “อือ ไม่เลวเลย เมื่อเทียบเจ้ากับพี่ใหญ่ของเจ้าแล้วถือว่ามีมารยาทกว่ามากถึงมากที่สุด ภายภาคหน้าก็จงระวังตัวเอาไว้หน่อยนะ อย่าได้ถูกเสี่ยมสอนจนทำตัวเลวร้ายเช่นนั้น”

 

 

 

 

 

 

 

“ขอรับ ขอรับ ขอรับ คุณหนูหว่านเอ๋อมีวาจาประดุจประกาศิต ข้าน้อยจะจดจำไว้จนขึ้นใจอย่างไม่มีวันลืมเลือน คุณหนูโปรดวางใจ ข้าน้อยพูดแล้วต้องทำได้อย่างแน่นอน……”

 

 

 

 

 

 

 

“เพี๊ยะ”

 

 

 

 

 

 

 

ในขณะที่กัวเหรินคิดจะกล่าวต่อนั้น จู่จู่ใบหน้าของเขาก็หันไปอีกทางหนึ่งอย่างรุนแรง แล้วก็ถูกหลงเฉินด่าทอออกมาว่า “เจ้าเป็นบ้าหรืออย่างไร? รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวหรือ?”

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อหลงเฉินว่า “พวกเจ้าคุยกันไปก่อนนะ ข้าจะไปรวบรวมขุมกำลังมาให้ครบตั้งแต่เนิ่นๆ ที่ด้านหน้านั้น”

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากกล่าวจบ ถังหว่านเอ๋อก็ได้โบกมือให้หลงเฉิน แล้วเดินจากไปกับเยี่ยจื่อชิวจนหายลับไปจากสายตาอย่างรวดเร็ว

 

 

 

 

 

 

 

การทดสอบสุดท้ายในการคัดเลือกศิษย์ของสำนักพลิกสวรรค์ใกล้จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว เหล่าสัตว์ประหลาดจำเป็นจะต้องรวบรวมกำลังคนเอาไว้ให้พร้อมเพื่อจะได้กะเกณฑ์จำนวนคนที่จะเข้าร่วมก่อน

 

 

 

 

 

 

 

กัวเหรินยกหัวแม่โป้งมาที่ใบหน้าของหลงเฉินแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้วว่า “พี่ใหญ่ ข้านับถือท่านจากใจจริง นับตั้งแต่ข้าเป็นหน่วยข่าวกรองมา นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินว่ามีคนถูกสังหารภายในสถานที่แห่งนี้

 

 

 

 

 

 

 

อีกทั้งผู้สังหารยังสามารถเข้ารับการทดสอบต่อไปได้ พี่ใหญ่ ท่านต้องเป็นสุดยอดอันดับหนึ่งได้อย่างแน่นอน”

 

 

 

 

 

 

 

“พอเถิด เจ้าอย่าได้ตะโกนโหวกเหวกอีกเลย ว่าแต่เจ้ารวบรวมแผ่นป้ายมาครบหรือไม่?” หลงเฉินพูดตัดบท

 

 

 

 

 

 

 

“เหอะเหอะ เรื่องเล็กน้อย”

 

 

 

 

 

 

 

กัวเหรินถอดรองเท้าออกแล้วใช้หลายดาบเคาะไปที่ปลายรองเท้าเบาๆ จากนั้นก็มีแผ่นป้ายหลุดออกมาสองชิ้น หลงเฉินเกิดอาการปากอ้าตาค้างขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา

 

 

 

 

 

 

 

แล้วกัวเหรินก็เคาะไปที่ส้นรองเท้าอีกข้างหนึ่ง ฉะนั้นแผ่นป้ายก็ครบหนึ่งชุดพอดี “มีแผ่นป้ายหนึ่งที่ข้าช่วงชิงมาได้ ส่วนสองชิ้นนี้ซื้อมา เหอะเหอะ หลังจากที่รวบรวมครบแล้ว ข้าจึงใส่เอาไว้ในรองเท้ามาโดยตลอด ผู้คนไม่น้อยตามรังควานหมายจะชิงแผ่นป้ายจากข้า ทว่าไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น นี่ ท่านลองดูสี ข้ามีครบหนึ่งชุดแล้ว”

 

 

 

 

 

 

 

“เออ เออ ข้าไม่อยากดู เกรงว่ากลิ่นเท้าของเจ้าคงจะแรงพอตัวเลยทีเดียว” หลงเฉินรีบถอยหลังไปอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งปัดมือไปมาอย่างวุ่นวาย วิธีการเก็บสิ่งของเช่นนี้คงจะมีแต่แค่กัวเหรินเท่านั้นที่กล้าทำ

 

 

 

 

 

 

 

ไม่ว่าได้มาครอบครองด้วยวิธีอันใด ทว่ากัวเหรินก็ทำให้เห็นแล้วว่าเขาสามารถพึ่งพากำลังของตัวเองจนรวบรวมแผ่นป้ายมาได้ครบชุด หลงเฉินจึงรู้สึกนับถือขึ้นมาอย่างถึงที่สุดเพราะเขาได้แผ่นป้ายทั้งหมดมาจากถังหว่านเอ๋อ

 

 

 

 

 

 

 

“ไปเถิด เก็บแผ่นป้ายเอาไว้แบบปกติได้แล้ว มีข้าอยู่ด้วยคงจะไม่มีผู้ใดเข้ามาแย่งแผ่นป้ายไปจากเจ้าได้แน่” หลงเฉินยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าว

 

 

 

 

 

 

 

กัวเหรินรีบเก็บแผ่นป้ายเอาไว้ในเสื้อ พลันก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงถามออกไปว่า “พี่ใหญ่ ได้ยินมาว่าท่านต้องพิษแห่งอัสนีบาตของเหร่ยเชียนซังหรือ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”

 

 

 

 

 

 

 

“ข้าไม่เป็นอะไร” หลงเฉินส่ายหน้าไปมา

 

 

 

 

 

 

 

ในขณะที่กัวเหรินกำลังจะเอ่ยถามต่อ ทันใดนั้นเบื้องหลังของเขาก็ได้มีคนผู้หนึ่งเดินเข้ามา เขากวาดสายตาสำรวจหลงเฉินตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าคือหลงเฉินใช่หรือไม่?”

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยแล้วจ้องมองออกไป คนผู้นั้นกำลังสอดสายตามองเขาผ่านปลายจมูกประดุจกำลังหาเรื่องอยู่ “มีเรื่องอันใด?”

 

 

 

 

 

 

 

“ได้ยินมาว่าเจ้าช่างร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังถูกขนานนามว่าเป็นสัตว์ประหลาดอันดับหนึ่ง ข้าจึงอยากจะขอทดสอบดูเสียหน่อยว่าจะเป็นดั่งคำล่ำลือหรือไม่” คนผู้นั้นกล่าวขึ้นมาด้วยท่ากอดอกอย่างอาจหาญ

 

 

 

 

 

 

 

“ไสหัวไป ข้าไม่ใช่สิ่งที่ผู้ใดจะมาขอทดสอบได้พร่ำเพรื่อ” หลงเฉินนั้นชิงชังการท้าทายเช่นนี้เป็นที่สุด พวกเจ้าควรจะเก็บหอมรอมริบพละกำลังอันน้อยนิดของพวกเจ้าเอาไว้สำหรับการทดสอบไม่ดีกว่าหรือ? คงจะดีเสียกว่ามาให้ข้าทุบตีเล่นจนทำการอันใดไม่ได้

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินตอบกลับไปพร้อมกับเดินสาวเท้าไปด้านหน้าอย่างไม่แยแสคนผู้นั้น ถึงแม้ว่าจะมีพลังฝีมือที่แข็งแกร่งมากพอควรอยู่ก็ตาม

 

 

 

 

 

 

 

คนผู้นั้นหรี่ตาลงแล้วชี้นิ้วมาที่หลงเฉิน “เจ้าคิดว่าข้าไม่มีคุณสมบัติเพียงพออย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นก็รับหมัดของข้าให้ได้ก่อนแล้วค่อยโอ้อวด”

 

 

 

 

 

 

 

คนผู้นั้นแผดเสียงดังขึ้นมาด้วยความเกรี้ยวกราด ทันใดนั้นทั่วทั้งร่างของเขาก็ได้ปะทุพลังอันมหาศาลออกมาจนบรรยากาศโดยรอบเกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง เพียงครู่เดียวก็ได้ดึงดูดความสนใจจากผู้คนที่เดินทางอยู่ให้หยุดฝีเท้าลง

 

 

 

 

 

 

 

“ช่างเป็นพลังที่แข็งแกร่งยิ่งนัก”

 

 

 

 

 

 

 

ผู้คนที่ยืนมองอยู่แตกตื่นตกใจขึ้นมากันยกใหญ่เมื่อเห็นว่าพลังของคนผู้นั้นค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เพียงแค่หนึ่งลมหายใจก็สามารถปะทุพลังจนเข้าสู่สภาวะสูงสุดได้แล้ว

 

 

 

 

 

 

 

“จงรับกระบวนท่า!”

 

 

 

 

 

 

 

คนผู้นั้นตะโกนเสียงดังสนั่นพร้อมกับปล่อยคมหมัดที่เต็มไปด้วยประกายแหลมคมออกมา ขุมพลังอันน่าหวาดกลัวแหวกอากาศออกเป็นสองส่วนมาทางหลงเฉินอย่างรวดเร็ว

 

 

 

 

 

 

 

“พี่ใหญ่ ระวัง! เขาคือ……” กัวเหรินร้องเสียงหลงออกมาอย่างร้อนรน

 

 

 

 

 

 

 

“ตูม”

 

 

 

 

 

 

 

ในขณะที่กัวเหรินกำลังจะเอ่ยนามของอีกฝ่ายขึ้นมานั้น เสียงระเบิดก็ดังขึ้นมาจนกลบเสียงของเขา แรงปะทะรุนแรงจนทั่วทั้งบริเวณเกิดการสั่นไหวไปมาไม่หยุด

 

 

 

 

 

 

 

เงาร่างสายหนึ่งพุ่งออกมาจากหมอกควันประดุจลูกศรกำลังทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า อีกทั้งยังลอยสูงขึ้นไปกว่าร้อยเซียะ ก่อนจะค่อยๆ ร่วงหลนลงมายังเบื้องล่างด้วยความเร็วที่น่าหวาดกลัว

 

 

 

 

 

 

 

โครม!

 

 

 

 

 

 

 

พื้นดินที่เต็มไปด้วยหมอกควันเมื่อครู่ก็ได้เกิดการสั่นสะเทือนเลือนลั่นอย่างรุนแรงอีกครั้ง จากนั้นหมอกควันก็ค่อยๆ จางลงไป เผยให้เห็นหลุมขนาดใหญ่ที่มีเงาร่างหนึ่งนอนแผ่หราอยู่ที่ใจกลางของหลุม ร่างกายท่อนบนติดอยู่ใต้พื้นดิน ส่วนขาทั้งสองข้างที่กำลังชี้ฟ้าอยู่ก็ได้ดิ้นพล่านไปมาไม่หยุด

 

 

 

 

 

 

 

ริมฝีปากของกัวเหรินคล้ายกับแข็งทื่อไปในทันที เขาทราบดีว่าคนผู้นั้นเป็นถึงยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงผู้หนึ่ง ทว่ากลับถูกกระทำจนตกอยู่ในสภาพเช่นนั้นไปได้อย่างง่ายดายได้อย่างไรกัน?

 

 

 

 

 

 

 

ไม่มีผู้ใดมองเห็นการออกกระบวนท่าของหลงเฉินได้อย่างชัดเจน ทว่าก็พอทราบว่าหลงเฉินนั้นได้ใช้เท้าข้างหนึ่งเตะไปที่ร่างของคนผู้นั้นจนกระเด็นออกไปอย่างไม่แยแส แล้วเดินหน้าต่อไปโดยไม่หันกลับไปสนใจแม้แต่ครั้งเดียว คล้ายกับคนผู้นั้นเป็นก้อนดินหินกรวดชิ้นหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น

 

 

 

 

 

 

 

บุคคลเช่นนี้คงจะต้องถูกเลี้ยงดูมาจากตระกูลที่เลวร้ายเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่การต่อสู้ที่แท้จริงยังไม่ทำการป้องกันการโจมตีจากอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังยืนส่งหมัดทื่อๆ จนเปิดช่องโหว่เต็มไปหมด

 

 

 

 

 

 

 

หากเปลี่ยนเป็นการประลองชี้เป็นตายแล้วก็คงหาที่ตายด้วยตัวเองอย่างไม่ต้องสงสัย ในที่สุดหลงเฉินก็เข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดแผนที่การทดสอบถึงได้มีสัตว์มายาปรากฏตัวอยู่มากมาย

 

 

 

 

 

 

 

แน่นอนว่าต้องเป็นการคัดสรรศิษย์ที่ทราบว่ากลิ่นคาวโลหิตนั้นเป็นเช่นไร หากยังทำตัวเป็นเด็กน้อยไร้เดียงสาต่อไป ต่อให้เป็นถึงยอดฝีมือที่มีพลังการต่อสู้อันแข็งแกร่งก็เป็นเพียงเศษสวะผู้หนึ่งเท่านั้น

 

 

 

 

 

 

 

อีกทั้งการปล่อยให้คนเหล่านี้เล็ดรอดเข้าไปในสำนัก ย่อมมีแต่สิ้นเปลืองทรัพยากรในการเลี้ยงดูพวกตัวโง่งมเช่นนี้

 

 

หลังจากที่กัวเหรินเริ่มมีปฏิกิริยากลับคืนมาแล้วก็พบว่าหลงเฉินได้เดินจากไปไกลมากแล้ว พลันก็ได้รีบจ้วงฝีเท้าติดตามไปในทันที ภายในจิตใจของเขาเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด

 

 

 

 

 

 

 

จากนี้ไปต่อให้เขาได้พบเจอกับเรื่องหอมหวานหรือจะเป็นเรื่องที่เผ็ดร้อน ขอเพียงติตามหลงเฉินไป แน่นอนว่าจะต้องกลายเป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ตอนนี้เขารู้สึกนับถือในสายตาอันแหลมคมของตัวเองอย่างถึงที่สุด

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่เดินเท้ามากว่าร้อยลี้แล้ว ในที่สุดหลงเฉินและกัวเหรินก็ได้มาถึงจุดสิ้นสุดของปลายทาง สถานที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งของภูเขาอันสูงใหญ่ลูกหนึ่งที่มีความสูงนับพันเซียะ ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่ที่แม้จะถูกคมดาบของสุดยอดฝีมือตัดผ่านก็ไม่สามารถขาดรอนลงไปจนเผยให้เห็นรอยคมดาบที่ยังหลงเหลืออยู่บนศิลาก้อนใหญ่

 

 

 

 

 

 

 

ศิลาก้อนนั้นมีสีดำทมิฬ ด้านบนถูกปกคลุมด้วยถ้ำมากมาย เรียกได้ว่ามีอยู่นับหมื่นถ้ำเลยก็ว่าได้ คล้ายกับเป็นดวงตาของปีศาจร้ายที่กำลังจับจ้องลงมาที่ผู้คน บรรยากาศแปลกประหลาดโอบล้อมร่างกายของผู้คนเอาไว้จนทำให้หนาวเหน็บไปตามๆ กัน

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่หลงเฉินมาถึงแล้วนั้น ที่เบื้องหน้าของเขาก็มีกลุ่มคนที่แบ่งออกเป็นห้ากลุ่ม พวกเขาคงจะเป็นขุมกำลังของสัตว์ประหลาดทั้งห้านั่นเอง

 

 

 

 

 

 

 

“หลงเฉิน มานี่เร็ว!”….

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset