ในขณะที่หลงเฉินกำลังคิดทบทวนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ขุดคุ้ยขึ้นมาทีละเล็กละน้อยถึงฉากเบื้องหลัง ทันใดนั้นก็ได้มีตาข่ายขนาดใหญ่ร่วงลงมาจากท้องฟ้า หลงเฉินหลุดออกจากภวังค์แห่งความคิดทันที แต่ก็ไม่ทันการณ์เมื่อเขาถูกคว้าตัวแล้วจับลอยขึ้นไปกลางอากาศ
บัดนี้ตาข่ายที่ช่างแข็งแรงและหนาแน่นกำลังโอบอุ้มร่างกายของหลงเฉินเอาไว้ และค่อยๆ บีบรัดร่างของเขาอย่างแน่นคล้ายถูกจองจำอยู่
หลงเฉินที่กำลังจะใช้พละกำลังเพื่อให้รอดพ้นจากการคุมขัง พลันก็เกิดความรู้สึกวูบวาบทั่วร่างกาย เบื้องหน้าที่ด้านนอกตาข่ายปรากฏเป็นร่างของคนผู้หนึ่งที่กำลังลอยละลิ่วขึ้นมาช้าๆ เหนือศีรษะของเขามีเหยี่ยวนักล่าขนาดมหึมาตัวหนึ่งปรากฏขึ้นมาด้วย
แม้เหยี่ยวนักล่าตัวนั้นจะไม่ใช่สัตว์ปีศาจ เป็นเพียงสัตว์ป่าธรรมดาตัวหนึ่ง แต่เนื่องจากมันมีขนาดที่ใหญ่โตและลักษณะนิสัยที่เป็นมิตร จึงได้มียอดฝีมือไม่น้อยที่นิยมชมชอบและใช้พวกมันเป็นพาหนะในการเดินทาง
เมื่อมองให้ชัดก็พบว่าบนหลังของเหยี่ยวนักล่ายังมีคนอีกผู้หนึ่งนั่งอยู่ หลงเฉินเริ่มจะรู้สึกเสียใจที่ไม่อาจระวังตัวแต่ก็ช้าเกินไปแล้ว ในช่วงเวลาที่เพิ่งผ่านมาไม่นานนั้นตนเองกำลังได้ใจอยู่ยกใหญ่ แต่กลับมาพลาดท่าทีหลังเช่นนี้เสียเอง
ในเวลานี้ชวนให้นึกถึงวันก่อนนั้นที่เหยี่ยวนักล่าได้นำพาเขาลอยขึ้นสู่เวหานับร้อยลี้ เขานึกภาพที่ตนกำลังจ้องมองลงไปยังบริเวณบนพื้นดินที่อยู่เบื้องล่าง ทำให้หลงเฉินหวาดเสียวจนใบหน้าซีดเผือดขึ้นมา คิดจะขยับตัวหนีแต่ก็ไม่กล้าขยับแม้แต่น้อย
ในขณะที่มองไปยังตาข่ายที่หนาแน่นและแข็งแรงเป็นอย่างมาก กลับอดคิดไปอีกนัยไม่ได้ว่าถ้าหากมันเกิดขาดขึ้นมาระหว่างทางกลางอากาศแล้วร่างร่วงหล่นลงไปด้วยความสูงเช่นนี้ ต่อให้หลงเฉินมีนับสิบชีวิตก็คงจะต้องสิ้นลมหายใจเป็นแน่
ต่อให้หลงเฉินมีพลังเทียมฟ้า แต่ถ้าตกลงไปก็คงได้แต่ยอมรับในชะตากรรมอันเลวร้าย และหากร่างกายกระแทกกับพื้นปฐพีที่คงจะแข็งกว่าตอนที่ปะทะกับโจวเย่าหยางอย่างแน่นอน
“ชิ ช่างบังอาจยิ่งนัก ถึงกับหาญกล้ามารังแกน้องชายข้าเชียวหรือ”
ในเวลาไม่กี่อึดใจต่อมาก็มีน้ำเสียงแหลมดังเจื้อยแจ้วขึ้นมาเสียงหนึ่ง มาจากร่างที่อยู่บนหลังเหยี่ยวนักล่า เสียงนั้นไปเพราะเสนาะหูยิ่งนัก แต่กลับรวมเอาไว้ด้วยความโกรธแค้นอยู่เนืองๆ จนทำให้หลงเฉินร่ำร้องว่าแย่แล้วขึ้นมาในใจ
หลงเฉินบีบมือไปที่ตาข่ายแน่นขึ้น ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่อาจที่จะมองเห็นผู้ที่นั่งอยู่บนหลังของเหยี่ยวนักล่าได้ เขาสงบเสงี่ยมเจียมตัวมากขึ้นเพราะเกรงว่าจะทำให้หญิงสาวนางนี้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมามากกว่าเดิม หากว่านางคลายมือออก ร่างของเขา
บุรุษที่ดีจะต้องไม่ถูกหญิงสาวยั่วยุได้ ข้าจึงไม่ควรใส่ใจและคิดเล็กคิดน้อยกับเจ้า หลงเฉินแค่คิดขึ้นมาเท่านั้น แต่ปากกลับปิดสนิทไม่มีเสียงอันใดเล็ดรอดออกมาแม้แต่นิดเดียว หากใครได้มาเห็นตอนนี้คงจะคิดว่าเขาเป็นดั่งลูกนกลูกกาที่น่าสงสาร
เมื่อหญิงสาวที่นั่งอยู่บนหลังของเหยี่ยวนักล่าไม่ได้รับการตอบสนองอันใดจากหลงเฉิน ก็หยุดพล่ามวาจาออกมาเช่นกัน นางจึงหันไปสนใจหุบเขาที่สูงใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า แล้วก็ได้ควบคุมพาหนะโฉบเข้าไปในทันที
หุบเขาใหญ่ที่ว่าไม่ใช่สถานที่อื่นใด หากแต่เป็นหุบเขาที่หลงเฉินเคยมาเยือนก่อนหน้าเมื่อไม่นานมานี้ ทว่าที่ต่างไปจากครั้งก่อนคือคนพาเขามายังสถานที่แห่งนี้อีกครั้งกลับเป็นม่งฉู่
ครั้งก่อนเข้าได้นั่งอยู่บนหลังของเหยี่ยวตัวยักษ์แล้วร่อนลงอย่างช้าๆ แต่ครั้งนี้กลับถูกจับห้อยโครงเครงเอาไว้กลางเวหาจึงทำให้ช่วงที่ต้องร่อนลงสู่พื้นดินแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
การร่อนลงไม่ได้ราบรื่นเลยแม้แต่น้อย ในระยะห่างที่ห่างจากพื้นดินกว่าสิบจัง หลงเฉินก็ได้ถูกปล่อยให้ร่วงลงมาสู่พื้นอย่างจัง
“โครม”
เสียงกระทบกันดังสนั่นหวั่นไหว ถึงแม้ว่าเขาจะมีการเตรียมพร้อมเอาไว้อยู่บ้าง ทำการไหลเวียนพลังคลุมร่างกายเอาไว้ แต่การตกลงไปในระดับความสูงเช่นนี้ก็ยังไม่เพียงพอที่จะบรรเทาอาการมึนงงไปรอบทิศได้ ศีรษะของเขาคล้ายมีดวงดาวลูกไก่หมุนวนโดยรอบ
“ชิ ช่างบังอาจยิ่งนัก วันนี้หากว่าไม่ได้สั่งสอนเจ้าเสียหน่อย เจ้าก็คงจะไม่เกรงกลัวว่าผู้ใดคือนายคือบ่าว ใช่หรือไม่”
เสียงนั้นดังกึกก้องท่ามกลางความเงียบงันของหุบเขา เมื่อหลงเฉินได้ยินเสียงนั้นก็ได้เกิดเพลิงลุกโชนในดวงตาทั้งคู่เป็นนัยคล้ายกับว่าหากไม่ทุบตีจนจมูกของคนผู้นี้ให้บี้แบนติดกับผืนดินที่เขานั้นเหยียบย่ำอยู่ก็อย่าได้ขานเรียกเขาว่าเป็นหลงเหย้ (龙爷 ปู่หลง)
ภายในดวงตาหลงเฉินก็ได้รุกโชนไปด้วยเพลิงผลาญขึ้นมาสองสาย ทันใดนั้นก็ได้หันกายไป แต่ว่าเมื่อได้หันกายไป ภายในดวงตาที่เต็มไปด้วยการรุกโชนของโทสะ ก็ได้มอดดับลงไปกว่าครึ่ง
ถึงแม้จะทราบดีว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นเพียงหญิงสาวผู้หนึ่งเท่านั้น เมื่อหลงเฉินมองเห็นในปรากฏกายได้ชัดเจนขึ้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะเกิดโทสะพลุ่งพล่านขึ้นมา
หญิงสาวผู้นั้นราวกับมีอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปี มีสรีระสมส่วน ช่วงเอวเล็กบาง สวมอาภรณ์ยาวสีขาวโปร่ง ที่เอวคาดเอาไว้ด้วยหยกเส้นยาวจนช่วงอกยกสูงขึ้นจนน่าเชยชม ทำให้จุดที่ปิดซ่อนเอาไว้ดูเด่นชัดขึ้นมายิ่งกว่าเดิม
ที่ทำให้หลงเฉินยิ่งกว่าตกใจก็คือเด็กสาวผู้มีขนคิ้วประดุจก้านต้นหลิว ดวงตาคู่สวยดุจดอกเถ้า มีจมูกที่โด่งเป็นสัน ริมฝีปากเรียวเล็กเป็นกระจับ ที่แม้จะบูดบึ้งไปด้วยอารมณ์โกรธเคืองแต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงความงดงามอยู่เต็มประดา
“บังอาจสามหาวยิ่งนัก เจ้ามองไปยังที่ใดกัน?” เมื่อหญิงสาวนางนั้นพบว่าสายตาของหลงเฉินไม่ได้แยแสนางเลยแม้แต่น้อย
ความจริงแล้วโทสะในตอนแรกของเขาได้เลือนจางหายไปหมดสิ้น แต่เมื่อถูกคำพูดนี้ของนาง กระตุ้นมันขึ้นมาอีกครั้ง หลงเฉินจึงยิ้มแล้วกล่าวออกไปอย่างเย็นชา “สาวน้อย เจ้าไปกินอะไรผิดสำแดงมาหรืออย่างไร หรือว่าเป็นเพราะทานโอสถจนเกินขนาด พูดบ้าเป็นต่อยหอยอะไรกัน เป็นเจ้าเองที่ลักพาตัวข้ามายังที่แห่งนี้ มาทำอะไรกัน? หรือว่าที่แท้แล้วเจ้าต้องตากับคุณชายอย่างข้า เมื่อได้พบเห็นความหล่อเหลาจนไม่อาจต้านทานไหวจึงได้วางแผนการร้ายขึ้นมาอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อหลงเฉินกล่าวจนถึงตอนท้าย บนใบหน้าของเขาก็ได้แสร้งอาการตื่นตระหนกอย่างน่าหมั่นไส้ หญิงสาวที่กำลังโกรธเคืองอยู่เมื่อครู่เกิดใบหน้าสีแดงก่ำขึ้นมาแทนใบหน้าสีชมพู
“เจ้ามันช่างไร้ยางอายเสียจริง เจ้ารังแกน้องชายของข้า ในวันนี้ข้ามาเพื่อชำระความแค้นของน้องชาย (弟弟ตี้ตี้) ของข้า จะให้คิดเช่นนั้นกับคนอย่างเจ้าอย่างนั้นหรือ ต่อให้คุณหนูอย่างข้าต้องตาบอดก็ไม่คิดที่จะมองเจ้าหรอก!!” หญิงสาวผู้นั้นพ่นวาจาที่ลุกเป็นไฟออกมาอย่างรัว
“น้องชายของเจ้าหรือ?” ใบหน้าของหลงเฉินเต็มไปความฉงน
“ชิ น้องชายข้าก็คือองค์ชายเจ็ดฉู่ฟง บัดนี้เจ้าได้ทำให้เขาเกิดความลำบากใจอย่างถึงที่สุด ข้าจึงมาเพื่อชำระความทั้งหมดให้กับเขา”
หญิงสาวผู้นั้นไม่ใช่ใครอื่น แท้จริงแล้วคือพี่สาวแท้ๆ ของฉู่ฟง และเป็นองค์หญิงสามแห่งจักรวรรดินามว่าฉู่เหยา ราชาแห่งจักรวรรดิเฟิงหมิงมีบุตรชายเจ็ดและบุตรีอีกสาม ฉู่เหยาและฉู่ฟงต่างก็มีศักดิ์เป็นน้องคนเล็ก
วันก่อนฉู่เหยาได้พบว่าฉู่ฟงที่เพิ่งจะกลับเข้ามายังตำหนักอย่างร่างไร้วิญญาณ ก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความประหลาดใจและได้ซักไซ้ไล่เรียงถามถึงที่มาที่ไป เหตุใดจึงได้กลายเป็นเช่นนั้น แต่ว่าฉู่ฟงที่กำลังหวาดผวาก็ไม่เอ่ยวาจาอันใดออกมาเลยแม้แต่น้อย
เมื่อไม่ได้รับคำตอบกลับใดใดจากน้องชาย ฉู่เหยาจึงไล่ซักถามจากคนอื่นๆ จนได้ทราบได้มาว่า ฉู่ฟงถูกบุตรขุนนางนัดกันออกไปด้านนอก สืบเสาะจนได้ทราบถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวทั้งหมด
หลังจากที่ได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดที่ทำให้น้องชายกลัวจนหวาดหวั่นได้ถึงเพียงนี้ ฉู่เหยาก็ปะทุไปด้วยโทสะจนได้มาเอาเรื่องกับหลงเฉินในวันนี้ แต่ว่านางที่มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงองค์หญิงจึงไม่อาจที่จะกระทำเรื่องราวอย่างอุกอาจได้ จึงทำวางแผนการเพื่อดักรอจังหวะที่หลงเฉินกำลังกลับบ้าน
จังหวะนั้นแสนจะประจวบเหมาะกับที่หลงเฉินกำลังเหม่อลอยจึงคิดไม่ถึงว่ายังมีคนสะกดรอยและลอบดักซุ่มโจมตีเขาอยู่ และมันก็ได้ผลเสียด้วย
“ดูเหมือนว่าข้าจะไม่ได้ทำอะไรน้องชายของเจ้าเลยนะ” หลงเฉินขมวดคิ้วแล้วตอบกลับ
“วาจาสามหาวยิ่งนัก! ที่เจ้ากระทำกับน้องชายของข้าจนขวัญหนีกระเจิดกระเจิงก็ถือเป็นโทษตายสถานเดียวแล้ว หรือว่าแท้จริงแล้วแม้แต่เบื้องสูงเบื้องต่ำ เจ้าก็ยังแยกเยาะไม่ออกอย่างนั้นหรือ?” ฉู่เหยาพ่นวาจาออกมาอย่างเดือดดาล
เบื้องต่ำเบื้องสูงอีกแล้วอย่างนั้นหรือ หลงเฉินถูกด่าทอจนเกิดเพลิงโทสะขึ้นมาบ้าง “หญิงสาวผู้โง่เขลา อย่าคิดว่าเจ้าเป็นอิสตรีแล้วข้าจะไม่กล้าจัดการกับเจ้า อย่าได้บีบคั้นหลงเหย้อย่างข้า หากอยู่ในช่วงกดดันแม้แต่ตนเองก็ยังทุบตีเชียวนะ”
“เจ้า…เจ้า…เจ้าไสหัวไปซะ!!”
ตลอดช่วงชีวิตของฉู่เหยาไม่เคยมีผู้ใดกล้าด่าทอนางมาก่อน แต่ในบัดนี้กลับถูกหลงเฉินด่าทออย่างไร้มารยาทจึงโกรธจัดจนใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง
มือเรียวยาวเรียบเนียนประดุจหยกได้ยื่นไปกลางอากาศทางทิศที่หลงเฉินอยู่ แต่หลงเฉินที่คิดไม่ถึงว่าฉู่เหยาผู้นี้เป็นยอดฝีมือพลังขั้นก่อรวมระดับที่เก้า
ฝ่ามือที่กำลังจะตบเข้ามานั้นแฝงเอาไว้ด้วยพลังไอร้อนผ่าวอยู่ส่วนหนึ่ง ดั่งมีเพลิงลุกโชนบนฝ่ามืออย่างไรอย่างนั้น จึงเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าเป็นทักษะยุทธ์ในระดับมนุษย์ขั้นกลางขึ้นไปแล้ว
เพียงชั่วครู่หลงเฉินก็มองออกถึงการออกท่าของเพลงฝ่ามือนี้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้เกรงกลัวต่อนาง แต่ก็ไม่ต้องการที่จะใช้พลังมากเสียจนทำให้นางบาดเจ็บได้
“ซูม!”
เมื่อมือหยกข้างนั้นเข้ากระทบบนร่างของหลงเฉิน หลงเฉินก็ได้ก้าวถอยราวกับลื่นไหลออกไปเอง ฝ่ามือนั้นระทวยลงจนสลายสภาวะของฝ่ามือ ราวกับตบเข้าไปโดนบรรยากาศที่ว่างเปล่าเท่านั้น
ความจริงแล้วฝ่ามือนี้ของฉู่เหยาที่ใช้ตบออกไปนั้นคือพลังทั้งหมดที่รวมไว้ บัดนี้กลับถูกหลงเฉินคลี่คลายพลังได้อย่างง่ายดาย จนแรงตบเบาเสียยิ่งกว่าปุยนุ่น นางจึงเกิดความรู้สึกตื่นตระหนกอย่างถึงที่สุด
“บัดซบ!! ถึงกับอาจหาญหลบพลังจากข้าไปได้” ฉู่เหยาร้องเสียงเจื้อยแจ้ว เมื่อเท้าได้ก้าวลงไปที่พื้นประดุจผีเสื้อบินลงท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้ จากนั้นก็ได้ใช้อีกหนึ่งฝ่ามือฟาดออกไปเต็มแรง
หลงเฉินส่ายหน้าไปมาด้วยความระอายต่อวาจาของฉู่เหยา หญิงสาวที่งดงามเช่นนี้ เหตุใดถึงได้เอ่ยวาจาดั่งโม่แป้งข้าวสาลีเช่นนี้กัน
แม้ว่าหลงเฉินจะมีแต่ความโกรธอยู่เต็มประดา แต่ก็ไม่อาจลงไม้ลงมืออย่างโหดเ**้ยมทารุณกับอิสตรีที่แสนงดงามได้ หากเปลี่ยนเป็นโจวเย้าหยางแล้วนั้นคงจะลุกไม่ขึ้นไปตั้งแต่แรกแล้ว
หลงเฉินหลบเลี่ยงกระบวนท่าที่ใช้ออกมาต่อเนื่องกันหลายครั้งหลายครา ก็ได้พบว่าพลังฝึกยุทธ์ของฉู่เหยาที่แม้ว่าจะดูสูงส่งแต่กลับเลื่อนลอยไร้จุดหมายอย่างถึงที่สุด เรียกได้ว่าแม้แต่จัดให้อยู่พลังขั้นก่อรวมระดับที่ห้าก็ยังไม่ได้
กระบวนท่ามากมายแสดงออกมาอย่างงดงาม แต่กลับตายด้านจนเกินไป กระบวนท่าของฉู่เหยาถูกถ่ายทอดออกมาเป็นเส้นตรงเท่านั้น หลงเฉินได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมระอายิ่งนัก
ไม่ว่าหลงเฉินจะหลบหลีกอย่างไร หรือต้านรับไว้เช่นไร นางก็ยังเคลื่อนไหวเป็นเส้นทางตรงมาโดยตลอด ถึงจะใช้กระบวนท่าออกมามากมายหลายกระบวนท่า แต่ก็ไม่สามารถสัมผัสร่างของหลงเฉินได้เลยแม้เพียงเสี้ยวเดียว
“บัดซบจริง เจ้ากำลังล้อเล่นอันใดอยู่กันแน่!” นางลงมือไปกว่าครึ่งค่อนวันก็ยังไม่อาจจัดการกับหลงเฉินได้แม้แต่น้อย ฉู่เหยาเริ่มเดือดดาลจนถึงที่สุด หลงเฉินแสดงใบหน้าเอือมระอาออกมาอย่างถึงที่สุด ไม่อาจที่จะข่มความความรู้สึกเอาไว้ได้อีกแล้ว
“กระบวนท่าของเจ้ามีเพียงแค่แนวทางเดียว มีหรือที่คนอย่างข้าจะตามแนวทางของเจ้าไม่ทัน”
เมื่อสิ้นประโยคนั้นหลงเฉินก็หัวเราะออกมาอย่างสุดกลั้น โทสะก่อนหน้านี้ก็ได้เลือนหายไปกับสายลม นี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งชีวิตของเขาได้พบพานกับหญิงสาวที่น่าสนใจได้ถึงเพียงนี้
หลงเฉินแสยะยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยแล้วมองไปทางฉู่เหยาที่กำลังโกรธจนใบหน้าแดงก่ำและแข็งทื่อ นางคิดเพียงแต่ว่าการกระทำเช่นนี้ถือเป็นการดูแคลนอย่างรุนแรงที่สุด
“ไอ้เจ้าบ้า”
ฉู่เหยาตะโกนลั่นและไม่สนใจในแนวทางของกระบวนท่าของตนเองเลย ท่าทางในตอนนี้ประดุจคนที่ไม่รู้จักวิทยายุทธ์มาก่อนอย่างไรอย่างนั้น แล้วนางก็พุ่งตัวเข้าไปหาหลงเฉินอย่างอุกอาจ
สิ่งที่กำลังปรากฏขึ้นยังเบื้องหน้าของหลงเฉินในตอนนี้ถือว่าเหนือความคาดหมายของเขาเป็นอย่างยิ่ง การจู่โจมตีอย่างหุนหันเช่นนี้ยังไม่เคยพบเคยได้พบเจอจากผู้ใดมาก่อน เขายื่นมือออกไปโดยเร็วเพื่อต้านทานการปะทะเอาไว้ ในใจก็คิดว่าจะผลักฉู่เหยาออกไปอีกทาง
ฉู่เหยาที่กำลังมุ่งตรงเข้ามาอย่างวัวคลั่ง สายตาพร่ามัวด้วยความโกรธขึ้นหน้าจึงทันสังเกตเห็นมือข้างหนึ่งของหลงเฉิน นางจึงยังคงมุ่งหน้าเข้ามาประชิดตัวหลงเฉิน
ฝ่ามืออันใหญ่ของหลงเฉินนั้นได้ผลักเข้าไปยังหน้าอกของฉู่เหยาอย่างเต็มแรง สัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่ม อันเป็นความรู้สึกที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนทั้งชีวิต จนทำให้หลงเฉินเบิกตากว้างขึ้นมา——แย่แล้วสิ!
ขณะที่ฉู่เหยาได้รับสัมผัสอุ่นจากมือที่ใหญ่โตข้างหนึ่งเข้าประทับเต็มหน้าอก ความรู้สึกแปลบดังสายฟ้าผ่าอย่างไรอย่างนั้น ร่างกายสั่นเทาไปทั้งหมด ความรู้สึกที่เกินจะพรรณนาได้พรั่งพรูออกมานับไม่ถ้วน
“เข้าใจผิดแล้ว! เป็นการเข้าใจผิดอย่างแน่นอน!!”
หลงเฉินกล่าวอธิบายออกมาอย่างร้อนรน สิ่งที่เขาได้กระทำลงไปทำให้ลืมเลือนคำพูดที่ได้ตระเตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้ไปจนหมดสิ้น เขารีบชักมือของตนเองกลับมาอย่างตื่นตระหนก
“เจ้าคนไร้ยางอาย!! ข้าจะแลกชีวิตกับเจ้า!!”
ทันใดนั้นเองฉู่เหยาก็ได้คว้าเข้าไปที่แขนข้างหนึ่งของหลงเฉิน พลางอ้าปากกว้าง จากนั้นก็ได้กัดลงไปยังท่อนแขนของหลงเฉินอย่างแรง
“นี่ นี่! รีบปล่อยมือเลยนะ ไม่สิ รีบถอนปากออกไปเลยนะ ไอ้หยา!!”
หลงเฉินรู้สึกเจ็บปวดรวมร้าวไปทั่วทั้งแขน ฉู่เหยากัดไปที่กล้ามเนื้อของหลงเฉินคล้ายกับจะฉีกออกเป็นชิ้นๆ ไม่ยอมเผยอออกแม้แต่น้อย หลงเฉินสะบัดไปอยู่หลายครั้งก็ไม่หลุด ยิ่งพยายามสลัดให้หลุดก็ยิ่งเจ็บปวดขึ้นเท่านั้น
ความวุ่นวายประสานกับความเจ็บปวดทำให้หลงเฉินไม่อาจอดกลั้นไว้ได้นานกว่านี้ จึงได้ออกแรงฟาดฝ่ามือลงไปยังบนบั้นท้ายของฉู่เหยา
“เพียะ!!”
ช่างเป็นบุญวาสนาของฝ่ามือข้างนี้เสียจริง ใบหน้าของหลงเฉินเต็มเปี่ยมไปด้วยความปิติยินดี ตรงกันข้ามกับความเจ็บปวดที่ยิ่งร้าวรานไปทั่วทั้งแขน จนเปลี่ยนสีหน้ากลับมาแทบไม่ทัน
“รีบปล่อยข้าเลยนะ! ไม่อย่างนั้นข้าจะตีไปที่ก้นของเจ้าอีกรอบ” หลงเฉินตะโกนขู่ออกมาเสียงดัง
แม้หลงเฉินจะขู่ไปอีกหลายประโยค แต่ก็ได้ยินเพียงเสียงดังชิชะจากฉู่เหยา แรงที่ท่อนแขนนั้นกลับไม่ผ่อนลงเลยแม้แต่น้อย ยังคงเจ็บปวดต่อเนื่องกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ความเจ็บปวดรวดร้าวนี้ปะทุขึ้นมาต่อเนื่องจนบัดนี้หลงเฉินไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกแล้ว เขาสะบัดแขนอีกข้างออกไปแล้วฟาดลงสามครั้งด้วยความรุนแรงที่ทวีคูณยิ่งกว่าเดิม
ฉู่เหยาร้องโอดโอยออกมาดังลั่น เสียงลอดผ่านไรฟันออกมา ไม่ช้าก็เริ่มมีหยาดน้ำตาคลอเบ้าทั้งสองข้าง ใบหน้าที่แสดงออกมานั้นทั้งดูเจ็บปวดและน่าเอ็นดู แต่ปากกลับยังไม่ยอมคลายออก ยังคงกัดอย่างเอาเป็นเอาตายแน่นอยู่อย่างนั้น
หลังจากที่หลงเฉินฟาดลงไปทั้งหมดสามครั้ง เขาก็หยุดนิ่ง ไม่ได้ขยับเคลื่อนไหวอีกเลย ไม่ว่าฉู่เหยาจะกัดจมลึกลงไปมากเท่าใด เขาก็ยังคงไม่ขยับ
หลังจากที่ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ขากรรไกรของฉู่เหยาก็เริ่มเกิดความด้านชาขึ้นมา และรู้สึกเมื่อยล้าไปทั้งใบหน้า ฉู่เหยาจึงค่อยๆ คลายฟันออกจากท่อนแขนของหลงเฉิน
บัดนี้แขนของหลงเฉินปรากฏร่องรอยของคมเขี้ยวจมลึกพร้อมกับโลหิตที่ไหลออกมาเป็นสาย ชโลมซึมอาบอาภรณ์ หลงเฉินถอนหายใจออกมาแล้วกล่าว “หายโกรธแล้วหรือยัง?”
ฉู่เหยาจ้องไปที่หลงเฉิน ใบหน้าของเขาไม่ได้มีความโกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย แต่กลับปรากฏความโดดเดี่ยวแสนเย็นชาเต็มไปหมด ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางจึงเกิดความหวั่นไหวขึ้นมาภายในจิตใจ
“เจ้า…ทำไมจึงไม่สู้กันต่อ” ฉู่เหยาเองก็ไม่ทราบว่าเหตุใดถึงถามออกไปด้วยคำพูดเช่นนั้น หลังจากที่กล่าวจบความรู้สึกเสียใจก็ได้ถาโถมเข้ามา ทั่วทั้งใบหน้าเกิดสีแดงฝาดจางๆ
“การทุบตีสตรีไม่ใช่ความถนัดของข้า” หลงเฉินตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เขาเลิกแขนเสื้อขึ้นเผยให้เห็นรอยกัดที่ประทับไว้บนท่อนแขน จากนั้นก็นำเศษผ้าผืนหนึ่งมาพันรัดบาดแผลเอาไว้
คำพูดที่เพิ่งกล่าวออกมาของหลงเฉินทำให้ฉู่เหยามีใบหน้าแดงก่ำยิ่งขึ้น ความโกรธที่เคยมีกลับจางหายไปตั้งแต่เมื่อใดหรือด้วยเหตุใดก็ไม่อาจรู้ได้ มันมลายหายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เมื่อเห็นว่าแขนข้างนั้นของหลงเฉินไม่อาจห่อหุ้มเอาไว้ได้อย่างมิดชิด นางจึงยื่นมืออันขาวผ่องเขาลูบคลำที่เศษผ้าบนท่อนแขนที่ถูกพันไว้อย่างหละหลวมของหลงเฉิน พร้อมกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“มา ข้าจะช่วยพันผ้าพันแผลให้เจ้าเอง” . . . .