“ความคิดที่แท้จริงของข้าก็คือข้าต้องการจะเป็น——คน——เลว——ทราม”
ถังหว่านเอ๋อยกมือปิดปากเอาไว้อย่างรวดเร็ว พลันก็ได้หัวเราะขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง “ยินดีกับเจ้าด้วย ในที่สุดความคาดหวังของเจ้าก็ประสบความสำเร็จแล้ว ในตอนนี้เจ้าถือว่าเป็นตัวบัดซบที่ไม่มีผู้ใดเทียบเคียงได้เลย”
ดวงตาคู่งามทอประกายเจิดจ้าขึ้นมา ใบหน้าที่งดงามปรากฏรอยยิ้มและความสุขอยู่เต็มประดา ให้ความรู้สึกประดุจพฤกษชาติกำลังเบ่งบานในยามเช้า
หลงเฉินจ้องมองไปยังใบหน้านั้นด้วยความหลงใหล ถังหว่านเอ๋อช่างเป็นหญิงสาวที่งามหยดย้อยเป็นอย่างยิ่ง เรียกได้ว่าไม่แพ้ฉู่เหยาเลย
“ความคาดหวังของข้าไม่ใช่สิ่งที่จะกระทำได้ง่ายดายอย่างที่เจ้าคิด ความเลวทรามที่แท้จริงจำเป็นต้องต้องบ่มเพาะขึ้นมาทีละน้อย กว่าข้าจะกลายเป็นตัวบัดซบที่หอมหวนตลอดสี่ฤดูกาลได้ยังต้องใช้เวลาอีกยาวไกลนัก
ทว่าข้าเชื่อว่าหากข้าพยายามอย่างเต็มที่และไม่ย่อท้อต่อความเหนื่อยยาก แน่นอนว่าย่อมต้องมีสักวันที่ข้ากระทำได้สำเร็จ” หลงเฉินกล่าวพร้อมทั้งเหม่อมองไปยังผืนฟ้าสีครามอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา
ถังหว่านเอ๋อหัวเราะจนเนื้อตัวสั่นเทิ้มอย่างไม่อาจจะหยุดได้ หลังจากที่หลงเฉินกล่าวจบก็ได้ตบไปที่ไหล่ของหลงเฉินเบาๆ พยายามกลั้นหัวเราะแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “อย่าทำเช่นนั้น ข้าขำจนท้องแข็งไปหมดแล้ว”
“ข้าไม่ได้พูดเล่นนะ ข้าพูดด้วยความสัตย์จริง เพียงแต่เจ้าไม่เข้าใจถึงความลึกซึ้งก็เท่านั้นเอง ทว่าข้าก็ไม่โทษเจ้าหรอก เพราะว่าเจ้าก็ยังเยาว์วัยอยู่” หลงเฉินถอดถอนหายใจออกมาอย่างเหลืออด
“เหอะ อาวุโสกับผู้เยาว์อย่างนั้นหรือ? เจ้าลืมตาดูโลกเมื่อใดกัน? ดูไปแล้วก็ไม่ได้แก่ไปกว่าข้ามากนัก” ถังหว่านเอ๋อปรายสายตาไปที่หลงเฉินอย่างดูแคลน
หลงเฉินมองไปที่ถังหว่านเอ๋อ จากนั้นก็กวาดสายตาสำรวจรูปร่างของนางครู่หนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นมาอย่างไม่ลังเลว่า “เจ้ายังคิดจะเปรียบเทียบอย่างนั้นหรือ”
ทันใดนั้นถังหว่านเอ๋อก็ทอสีหน้าแดงก่ำประดุจลูกท้อขึ้นมา ดวงตาคู่งามคล้ายกับมีเปลวเพลิงลุกโชนอย่างบ้าคลั่ง มือทั้งสองข้างทุบตีมาที่ร่างกายของหลงเฉินอย่างรัวแรง “เจ้าตัวบัดซบ เจ้าอยากตายหรือ? วาจาล่วงเกินเช่นนั้นกล่าวออกมาได้อย่างไร?”
หลงเฉินถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง หลังจากเข้ามาที่หมู่ตึกแห่งนี้แล้วหลงเฉินได้พบเจอกับเรื่องราวที่มีความหมายมากมายเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังได้หยอกเย้าหญิงสาวผู้งดงาม เรียกได้ว่าชีวิตภายในที่แห่งนี้ช่างไม่มีคำว่าเงียบเหงาเลยแม้แต่น้อย
ทว่าอีกมุมหนึ่งเขาก็อยากจะทราบว่าฉู่เหยาจะเป็นอย่างไรบ้างหลังจากที่เข้าไปในตำหนักป่าสวรรค์แล้ว นางจะต้องเข้ารับทดสอบเช่นนี้หรือไม่ หากว่าทางด้านนี้เรียบร้อยแล้วเขาคงจะต้องรีบไปดูเสียหน่อย เพราะฉู่เหยานั้นเป็นคนซื่อตรง เขาเกรงว่านางอาจจะถูกผู้อื่นรังแกได้
ในขณะที่หลงเฉินกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น บรรยากาศโดยรอบก็เกิดความเคลื่อนไหวขึ้นมาเป็นสาย เขาจึงรีบเงยหน้าขึ้นไปมองยังเบื้องหน้า กำแพงศิลาที่อยู่ตรงภูเขาลูกใหญ่มีเงาร่างหลายสิบคนปรากฏขึ้นมา
ผู้เฒ่าเหล่านั้นสวมด้วยชุดรัดรูปสีเทา ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยริ้วรอยแห่งความชราภาพ ทว่าดวงตาของพวกเขากลับทอประกายความลึกลับบางอย่างขึ้นมาไม่หยุดจนทำให้ผู้คนไม่กล้าสบสายตาเข้าไปโดยตรง
บรรยากาศบนร่างกายแผ่ซ่านออกมาอย่างรุนแรง ไม่ใช่เป็นการจงใจปลดปล่อยออกมา ทว่ากลับแรงกล้าจนทำให้ผู้คนรู้สึกได้ ราวกับว่าเป็นปล่องภูเขาไฟขนาดใหญ่ที่พร้อมจะปะทุขึ้นมาหวังจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างให้ราบ
“บุคคลเหล่านี้เป็นผู้อาวุโสประจำหมู่ตึกแห่งสำนักพลิกสวรรค์ กล่าวกันว่าพวกเขาต่างก็เป็นยอดฝีมือที่มีพลังอยู่ในขอบเขตปรือกระดูกกันทั้งหมดแล้ว” ถังหว่านเอ๋อจ้องมองไปยังผู้เฒ่าที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้นมาแล้วอธิบายให้หลงเฉินฟัง
หลงเฉินพยักหน้ารับ ไม่แปลกใจเลยที่บรรยากาศกดดันโดยรอบจะพุ่งพล่านอย่างมหาศาลถึงเพียงนี้ ยอดฝีมือภายในสำนักกับยอดฝีมือที่อยู่ในโลกภายนอกช่างแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด แทบจะไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้เลย
หลังจากที่ท่านผู้เฒ่าเหล่านั้นปรากฏตัวก็ได้กวาดสายตามองมาที่ผู้เข้าร่วมการทดสอบอย่างเย็นชาโดยไม่เอื้อนเอ่ยวาจาอันใด ที่กำแพงศิลามีสิ่งที่คล้ายกับบันไดขนาดใหญ่ที่มีความสูงหลายสิบเซียะไหลวนอยู่ จากนั้นก็มีเงาร่างสายหนึ่งค่อยๆ ล่องลอยลงมาในท่านั่งขัดสมาธิจากชั้นบนสุดของบันได
หลงเฉินจ้องมองไปยังฉากเบื้องหน้าด้วยความแปลกประหลาดใจอย่างถึงที่สุด ผู้เฒ่าเหล่านี้กำลังทำอันใดกันอยู่? พลันก็ได้หันไปมองยังเงาร่างที่กำลังลอยลงมากจากชั้นบนสุดของบันได เขาจดจำขึ้นมาได้ในทันทีว่าเงาร่างนั้นคือผู้ที่มอบบัตรเทียบเชิญให้แก่เขา ผู้อาวุโสถู่ฟางนั่นเอง
เมื่อผู้อาวุโสถู่ฟางมาถึง ผู้เฒ่าหลายสิบคนนั้นก็ลุกขึ้นยืนอย่างพร้อมเพรียง แล้วทำการโค้งกายอย่างนอบน้อมไปที่ถู่ฟาง เฒ่าชราผู้นั้นพยักหน้าตอบครั้งหนึ่ง จากนั้นผู้เฒ่าหลายสิบคนนั้นก็หย่อนตัวลงไปนั่งเฉกเช่นเดิม
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างไร้ซุ่มเสียงทำให้บรรยากาศโดยรอบตึงเครียดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ทว่าตามกฎแล้วหากผู้อาวุโสถู่ฟางมาถึง นั่นก็จะเป็นสัญญาณว่าการทดสอบสุดท้ายกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
“ผู้ที่ไม่อาจรวบรวมแผ่นป้ายได้ครบชุดให้ถอยออกไปร้อยเซียะ”
ถู่ฟางเอ่ยวาจาทำลายบรรยากาศอันเงียบงันประดุจเสียงคำรามจากมังกร น้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยความน่าเกรงขาม อีกทั้งดังจนสะท้อนไปทั่วทั้งบริเวณ
ทันใดนั้นเองเหล่าผู้คนที่รู้ตัวก็ได้ถอยออกไปด้านหลังประดุจเขื่อนแตกอย่างไรอย่างนั้น จนหลงเหลือเพียงผู้คนที่อยู่กลางลานประมาณสามพันคน
ภายในจิตใจของหลงเฉินแตกตื่นขึ้นมาอย่างถึงที่สุด เดิมทีควรจะหลงเหลือถึงสามในสี่ส่วนไม่ใช่หรอกหรือ? เหตุใดจึงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดเช่นนี้กัน? หากลองคำนวณดูจากจำนวนคนกว่าสามหมื่นคนในตอนแรกเริ่มแล้วควรจะหลงเหลืออยู่เจ็ดพันคนในตอนนี้สิ
ขณะที่กำลังใช้ความคิดอยู่นั้น หลงเฉินก็นึกไปถึงในกรณีที่ทิ้งแผ่นป้าย ตายไป หรือไม่ถูกสัตว์มายาสังหาร เช่นนั้นพวกเขาก็สูญเสียโอกาสที่จะรวบรวมแผ่นป้ายจนครบ
เช่นนั้นก็เป็นไปตามที่ศิษย์พี่ว่านบอก คงจะมีผู้คนบางส่วนเห็นแก่ตัวขึ้นมากะทันหัน หากตัวเองไม่สามารถปฏิบัติภารกิจได้สำเร็จ ฉะนั้นผู้คนที่เหลือก็อย่าได้หวังจะครอบครองแผ่นป้ายไปเลย พวกเขาจึงทิ้งแผ่นป้ายไประหว่างทาง
ถ้าเกิดจากเหตุผลเหล่านี้ แน่นอนว่าควรจะเหลือจำนวนมากก็นี้จึงพอจะเข้าใจได้บ้าง ทว่าในตอนนี้ช่างเป็นตัวเลขที่น้อยจนน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
ถู่ฟางกวาดสายตามองไปที่ผู้เข้าร่วมการทดสอบที่หลงเหลืออยู่ แล้วพยักหน้าไปมา “การทดสอบต่อจากนี้ข้าจะเป็นผู้ควบคุม พวกเจ้าคงจะเห็นกันแล้วว่าด้านหลังของข้ามีปากถ้ำทั้งหมดเก้าพันแห่ง และที่ภายในนั้นก็คือสถานที่สำหรับการทดสอบสุดท้ายของพวกเจ้า”
ถู่ฟางผายมือไปยังหน้าผาที่อยู่ด้านหลังแล้วกล่าวขึ้นมา เหล่าผู้เฒ่าที่กำลังหลับตาฟังกันอยู่นั้นก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
ทันใดนั้นที่เบื้องหน้าของเหล่าผู้เฒ่าก็ได้มีแท่งสูงชันที่หนาเท่ากับถังน้ำใบใหญ่ปรากฏขึ้นมา อีกทั้งยังมีอักขระแปลกประหลาดที่เต็มเปี่ยมไปด้วยบรรยากาศเก่าแก่ปะปนอยู่ด้วย
แท่นหินมากมายค่อยๆ โผล่ขึ้นมาช้าๆ ผู้เฒ่าทั้งหมดต่างก็กางมือออกแล้วตบเข้าไปที่เสาหินพร้อมกับปะทุพลังอันมหาศาลฝังเข้าไปยังแท่นหินเหล่านั้น แสงวูบวาบเปล่งประกายออกมาไม่หยุดประดุจมีชีวิตขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น
“กึง”
เมื่อตัวอักขระเปล่งลำแสงสว่างวาบขึ้นมาจนครบทุกตัวแล้ว หน้าผาที่อยู่ด้านหลังก็ได้เกิดการสั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นมาเป็นสาย พลังกดดันอันน่าหวาดกลัวแผ่ซ่านออกมา ราวกับจะฉีกกระชากร่างกายของผู้คนให้เป็นเศษชิ้นเนื้อ
แรงกดดันที่พร้อมจะกระชากจิตวิญญาณทำให้ผู้เข้าร่วมการทดสอบเกิดความหวาดหวั่นจนเนื้อตัวสั่นเทิ้มไปทั่งหมด อีกทั้งยังก้าวเท้าถอยออกไปหลายก้าวอย่างไม่รู้ตัว ทว่ามีเพียงเหล่าสัตว์ประหลาดทั้งหกคนเท่านั้นที่ยังคงยืนหยัดอยู่กับที่ประดุจต้นไม้ใหญ่ที่ไม่สั่นคลอนต่อแรงลมใดใด
ถู่ฟางจ้องมองไปยังยอดฝีมือทั้งหกคนแล้วพยักหน้าไปมา ในครั้งนี้มียอดฝีมือผู้สูงส่งปรากฏขึ้นมาถึงหกคน แน่นอนว่าเป็นจำนวนที่มากมายอย่างถึงที่สุดแล้ว ในครั้งนี้หมู่ตึกแห่งสำนักพลิกสวรรค์คงจะรอดพ้นไปจากวิกฤติรั้งท้ายได้อย่างแน่นอน
“เคร้งเคร้งเคร้ง……”
ขณะที่หน้าผากำลังสั่นไหวอย่างรุนแรงอยู่นั้น ปากทางเข้าถ้ำทั้งหมดก็ถูกเปิดออก ประตูศิลาค่อยๆ ลอยสูงขึ้นให้ความรู้สึกเหมือนกับปีศาจร้ายกำลังลืมตาขึ้นมาจากการหลับใหล บรรยากาศอันเลวร้ายขุมหนึ่งไหลทะลักออกมาสร้างความหนาวเหน็บไปจนถึงกระดูกดำ
“ถ้ำที่พวกเจ้าเห็นอยู่นี้เป็นสถานที่สำหรับการทดสอบสุดท้าย ซึ่งการทดสอบจะแบ่งออกเป็นสามระดับ ชั้นนอก ชั้นใน และจิตใจ”
ถู่ฟางปรายสายตามองไปยังถ้ำนับหลายพันแห่งที่อยู่ด้านหลังแล้วกล่าวต่ออีกว่า “พวกเจ้าคงจะเห็นแล้วว่าถ้ำแต่ละแห่งมีความใหญ่โตไม่เท่ากัน แถวล่างสุดเป็นด่านการทดสอบระดับชั้นนอกที่มีทั้งหมดห้าพันแปดร้อยเจ็ดสิบหกถ้ำ หากสามารถผ่านไปได้ก็จะกลายเป็นศิษย์สายนอกของหมู่ตึก”
หลงเฉินกวาดสายตามองไปยังกำแพงศิลาเหล่านั้นอย่างละเอียด แม้ว่าถ้ำเหล่านั้นจะมีขนาดที่แตกต่างกันไป ทว่ากลับไม่ใช่ข้อแตกต่างของความยากง่าย หากผู้อาวุโสถู่ฟางไม่บอกกล่าว แน่นอนว่าคงจะไม่มีผู้ใดมองออก
“ส่วนแถวกลางนั้นเป็นด่านการทดสอบระดับชั้นใน มีทั้งหมดสามพันเก้าสิบหกถ้ำ หากผู้ใดสามารถผ่านไปได้ก็จะกลายเป็นศิษย์สายใน
และแถวบนสุดนั้นมีด้วยกันทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดสิบเจ็ดถ้ำซึ่งเป็นด่านการทดสอบระดับจิตใจ หากคิดที่จะเป็นศิษย์สายตรงของหมู่ตึกก็จะต้องผ่านด่านนี้ไปให้ได้” ถู่ฟางกวาดสายตามองไปยังผู้คนมากมายแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ผู้เข้าร่วมการทดสอบที่เหลืออยู่ต่างก็ทอแววตาเป็นประกายเจิดจ้าไปยังถ้ำที่เรียงรายอยู่เบื้องหน้าสายตา ภายในจิตใจเต็มเปี่ยมไปการรอคอยและความหวัง หากผ่านด้านนี้ไปได้ก็จะกลายเป็นศิษย์ที่แท้จริงของหมู่ตึกแห่งสำนักพลิกสวรรค์ได้แล้ว
“ทว่าก่อนที่จะเริ่มต้นการทดสอบสุดท้าย ข้าจะขอย้ำเตือนกับพวกเจ้าเรื่องหนึ่ง จงตั้งใจฟังเอาไว้ให้ดี เพราะว่าสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นตายของพวกเจ้า” ถู่ฟางทอสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา
คำว่า ‘เป็นตาย’ สำหรับผู้คนเหล่านั้นเป็นเสมือนเหล็กร้อนที่ฉาบลงไปยังหัวใจของผู้คนที่ฟังอยู่จนรู้สึกหายใจได้ไม่ทั่วท้อง เพราะในขณะที่พวกเขาอยู่ในตระกูล พวกเขาต่างก็เป็นดั่งสมบัติอันล้ำค่า ทว่าเมื่อมาอยู่ในที่แห่งนี้แล้วกลับเป็นเพียงต้นหญ้าชั้นต่ำเท่านั้น
ยิ่งตอนที่ได้ประจักษ์ต่อสายตาของตัวเองว่ามียอดฝีมือที่ทีพรสวรรค์เช่นเดียวกันกับตัวเองต้องมาตายไปอย่างอเนจอนาถในการทดสอบ นี่จึงเป็นครั้งแรกที่พวกเขารู้สึกว่าตัวเองกำลังเดินเข้าใกล้กับความตายทีละน้อยแล้ว
เมื่อเห็นว่าผู้คนทั้งหมดกำลังจดจ่อจนแทบจะหยุดหายใจ ถู่ฟางก็ได้พยักหน้าไปมาแล้วกล่าวต่ออีกว่า “พวกเจ้าต่างก็เป็นลูกหลานจากตระกูลผู้มั่งคั่ง ได้รับทั้งความรักและการทะนุถนอมอย่างดีมาโดยตลอด และแน่นอนว่าด้วยพรสวรรค์อันแสนวิเศษของพวกเจ้าจึงเป็นความคาดหวังอันสูงสุดของตระกูล
ทว่าหลังจากที่ผ่านการทดสอบอันยาวนานในครั้งนี้มาแล้ว พวกเจ้าก็คงจะทราบแล้วว่าแท้ที่จริงแล้วพวกเจ้าก็เป็นได้แค่เศษสวะเท่านั้น”
คำพูดของถู่ฟางช่างเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง ไร้ซึ่งเยื่อใย ไร้ซึ่งความเย้ยหยัน ทว่ากำลังพูดถึงความเป็นจริงที่ผู้อื่นไม่ตระหนักถึง ผู้คนมากมายที่ได้ฟังอยู่ต่างก็เกิดอาการโกรธเกรี้ยวขึ้นมาอย่างถึงที่สุด ทว่าอีกด้านหนึ่งก็รู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่ง
“เมื่อเผชิญหน้ากับความตายอยู่ พวกเจ้าเกิดความขลาดเขลาขึ้นมาใช่หรือไม่? มีความลังเลอยู่ไม่น้อยเลยใช่หรือไม่? คิดที่จะยอมแพ้ไปตั้งแต่แรกเริ่มเลยใช่หรือไม่? ถ้าหากว่าเป็นเช่นนี้ก็อย่าได้ปฏิเสธเลยว่าพวกเจ้านั้นเป็นแค่เศษสวะ
สัตว์มายาที่อยู่ในแผนที่การทดสอบต่างก็เป็นอุปสรรคที่ทางหมู่ตึกจัดสรรขึ้นมา อีกทั้งยังล้วนแต่เป็นสัตว์มายาระดับสอง ด้วยพลังสภาวะปกติแล้วพวกมันสามารถสังหารพวกเจ้าได้อย่างง่ายดายด้วยพลังการต่อสู้เพียงแค่แปดส่วนเท่านั้น
ทว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นช่างน่าผิดหวังยิ่งนัก พวกพ้องของเจ้าจำนวนหนึ่งพันห้าร้อยแปดสิบเจ็ดคนถูกสังหารลงไปด้วยฝีมือของสัตว์มายาระดับสองตัวเล็กๆ เหล่านั้น นี่พวกเจ้ายังจะยืนกรานว่าไม่ใช่เศษสวะอย่างนั้นหรือ?
ในการเผชิญหน้ากับสัตว์มายาระดับสอง หากพวกเจ้าไม่มีผู้คุ้มกันแล้วเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาเพราะเป็นช่วงเวลาที่ชีวิตกำลังจะถูกคุกคาม ฉะนั้นแม้แต่ปะทุพลังการต่อสู้ออกมาเพียงครึ่งหนึ่ง พวกเจ้าก็ยังกระทำไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เศษสวะแล้วจะเป็นตัวอะไรกันเล่า?”
วาจาเชือดเฉือนของถู่ฟางทำให้ผู้คนโดยมากก้มหน้าก้มตาลงไปในทันที แน่นอนว่าพวกเขาไม่อาจปฏิเสธข้อกล่าวหานั้นได้ เพราะขณะที่กำลังเผชิญหน้ากับความเป็นตายอยู่นั้น พวกเขาเกิดความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุดจนไม่อาจแสดงพลังการต่อสู้ทั้งหมดออกมาได้ บางส่วนก็ได้ตายไป และบางส่วนก็หวาดผวามาจนถึงทุกวันนี้
“จงอย่าหาข้ออ้างอันใดมาต่อรองกับข้าอีก อย่าได้บอกว่าคนในตระกูลของพวกเจ้าขัดเกลามาได้ไม่ดีพอ หรือปล่อยปะละเลยจนพวกเจ้าได้ใจมากเกินไป ยอดฝีมือที่จะเดินไปตามเส้นทางยุทธ์ได้นั้นมีแต่ความคิดที่ว่าจะทำอย่างไรให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น
ทว่าผู้ที่อ่อนแอที่แทบจะไม่เคยคิดอันใดต่างก็ได้ตายตกกันไปทั้งหมดแล้ว” ถู่ฟางสาดแววตาเย็นชาไปที่ผู้คนทั้งหมดแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์
เมื่อได้ยินคำพูดของถู่ฟางแล้วถังหว่านเอ๋อก็ได้เหลือบไปมองยังใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของหลงเฉิน เหตุใดถึงได้รู้สึกว่าคำพูดและน้ำเสียงของชายทั้งสองคนนี้มีความคล้ายคลึงกันถึงเพียงนี้นะ
“ที่ข้าต้องย้ำเตือนสิ่งเหล่านี้กับพวกเจ้าก็เพื่อที่จะให้พวกเจ้าเตรียมใจเอาไว้ หนทางสู่การเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แท้จริงย่อมไม่อาจถอยหนีไปได้อีกแล้ว หากกลัวตายก็จงรีบจากไปเสียแต่เนิ่นๆ
สิ่งที่พวกเจ้ากำลังจะเผชิญหน้าในอีกไม่ช้าต่างก็ไม่ใช่ความบอบบางประดุจทารกน้อย ทว่าพวกเขาเป็นศัตรูที่น่าหวาดกลัวกว่าที่พวกเจ้าเคยเจอนับหมื่นเท่าพันทวี
เพราะข้าเรียกพวกเขาว่า——มารร้าย!”…