“ห้วงความมืดผลาญวิญญาณ”
กุ่ยซาแผดเสียงร้องขึ้นมาดังสนั่น ทันใดนั้นหมอกควันสีดำทมิฬที่ปกคลุมตลอดทั่วทั้งร่างก็ได้มีรอยอักขระประหลาดปรากฏขึ้นมา บรรยากาศอันโหดร้ายขุมหนึ่งพุ่งพล่านทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าสีครามในทันที สภาวะกดดันอันรุนแรงแผ่กระจายออกไปทั่วทั้งทุกสารทิศ
ผู้คนโดยรอบต่างก็จ้องมองไปยังฉากเบื้องหน้าด้วยความหวาดผวาจนเนื้อตัวสั่นเทิ้มกันไปทั้งหมดราวกับว่ามีภูตผีที่ชั่วร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังโอบล้อมร่างกายของพวกเขา
“เป็นไปได้อย่างไรกัน? เขาทลายผนึกส่วนหนึ่งออกไปได้แล้วอย่างนั้นหรือ?” ผู้อาวุโสผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมาด้วยความตกใจ
โดยปกติแล้วร่างศพเหล่านี้มีพลังความสามารถของยอดฝีมือดั้งเดิมแฝงเอาไว้ การคิดจะนำจิตวิญญาณที่ถูกผนึกอยู่ในร่างศพนั้นออกมาถือว่าเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง
หลายพันปีมานี้ยังไม่เคยเกิดเหตุการณ์ที่ว่าจิตวิญญาณสามารถออกมานอกร่างได้มาก่อน ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น ทว่าก็เพียงพอที่จะทำให้เหล่าผู้เฒ่าทั้งหลายเกิดความแตกตื่นขึ้นมาอย่างถึงที่สุด
“หลังจากนี้คงจะยุ่งยากเอาการเลยทีเดียว คนผู้นั้นได้ผลาญพลังแห่งจิตวิญญาณบางส่วนเพื่อทลายค่ายกลลงได้ส่วนหนึ่ง เช่นนั้นพวกเราจำควรรีบยับยั้งเอาไว้หรือไม่?” ผู้อาวุโสผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ทันใดนั้นที่ค่ายกลพยัคฆ์กักนาคาก็ได้เปล่งประกายสภาวะแห่งการผนึกอันแปลกประหลาดชนิดหนึ่งขึ้นมา ทว่าหากพวกเขาเพิ่มขุมพลังเข้าไปเพื่อให้การผนึกแข็งแกร่งขึ้น แน่นอนว่าย่อมเป็นสภาวะการผนึกที่ยากจะผ่อนปรนได้แล้ว มีแต่จะทำให้กุ่ยซาถูกบีบรัดจนตายไปในทันที
“พวกเจ้าจงเตรียมความพร้อมเพื่อทำการช่วยเหลือเอาไว้ให้ดีเถิด” ถู่ฟางออกคำสั่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
แม้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้เรียกได้ว่าอยู่นอกเหนือความคาดเดาเบื้องต้นไปมากแล้ว อีกทั้งเหล่าผู้เฒ่าทั้งหลายก็ควรจะจบการทดสอบในครั้งนี้ลงไปในทันที ทว่าภายในจิตใจของถู่ฟางกลับเกิดรู้สึกประหลาดชนิดหนึ่งขึ้นมาว่าหลงเฉินจะต้องมีไพ่ตายซ่อนเอาไว้อยู่ เช่นนั้นใบหน้าของเขาจึงยังเรียบเฉย อีกทั้งยังเย็นเยียบจนทำให้ผู้คนที่พบเห็นเกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
“กึง”
บรรยากาศโดยรอบเกิดการสั่นไหวไปมาไม่หยุด พื้นดินแตกระแหงประดุจใยแมงมุมขนาดเล็กหลากหลายแห่ง กลิ่นอายแห่งความชั่วร้ายคละคลุ้งไปทั่วทั้งบริเวณอย่างมหาศาล อีกทั้งยังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จนไม่อาจหยุดยั้งเอาไว้ได้
ผู้คนมากมายพยายามกระซิบกระซาบเพื่อปลอบประโลมจิตใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัวของต่อตัวเองว่าต่อให้มารร้ายผู้นั้นจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ ทว่าหากมีเหล่าผู้อาวุโสอยู่มากมายเช่นนี้ย่อมไม่อาจทำอันตรายพวกเขาได้แน่นอน
แม้ว่าจะปลอบใจตัวเองเช่นนั้น ทว่าความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นมาก็ไม่ลดทอนลงไปเลย บางส่วนถอยหลังออกไปยังที่ที่ห่างไกลออกไป บ้างก็ยืนมองด้วยใบหน้าที่ขาวซีดพร้อมทั้งหลั่งเหงื่อเย็นเยียบออกมา
หลงเฉินเองก็เกิดอาการแตกตื่นขึ้นมาเล็กน้อย พลันก็ใช้ปลายดาบยักษ์ชี้ไปที่กุ่ยซาเพื่อเตรียมปะทุพลังทั้งหมดออกมาต้านทานเอาไว้ ส่วนถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวต่างก็ยืนประจำที่อยู่บริเวณเบื้องหลังของหลงเฉิน
ดวงตาคู่งามจดจ้องไปที่กุ่ยซา ใบหน้าอันงดงามของสองโฉมงามค่อยๆ ขาวซีดลงอย่างเห็นได้ชัด ด้วยระยะห่างที่ใกล้ถึงเพียงนี้ย่อมสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งความชั่วร้ายได้อย่างเข้มข้น อีกทั้งยังแรงกล้าจนฝังรากลึกเข้าไปภายในจิตใจของพวกนาง เข้าไปแทนที่ความมุ่งมั่นและแน่วแน่ที่มีอยู่เต็มเปี่ยมเมื่อก่อนหน้านี้จนลดทอนลงไปเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว
“ระวังตัวด้วย ผีเฒ่าผู้นี้เคยสังหารผู้คนมาแล้วจนนับไม่ถ้วน บนร่างกายจึงมีกลิ่นอายแห่งความตายและความแค้นเคืองปะทุขึ้นมาอย่างท่วมท้น
ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเพียงจิตวิญญาณของผู้ที่ตายไปแล้ว ทว่ากลิ่นอายเหล่านั้นกลับติดตามมาพร้อมกับจิตวิญญาณของเขาด้วย ฉะนั้นจึงได้แปรเปลี่ยนเป็นขุมพลังอันมหาศาลที่สามารถโจมตีผ่านจิตใจของผู้คนได้
ทว่าหากพวกเจ้าสามารถผ่านพ้นเหตุการณ์ในครั้งนี้ไปได้ แน่นอนว่าพลังแห่งจิตของพวกเจ้าก็จะแข็งแกร่งขึ้นด้วย” หลงเฉินกล่าว
เมื่อได้ยินเช่นนั้นถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวจึงผ่อนคลายความรู้สึกหวาดกลัวที่เกิดขึ้นภายในจิตใจให้ลดทอนลงไป แม้ว่าศัตรูที่กำลังเผชิญหน้าอยู่นี้จะมีพลังที่น่าหวาดกลัวยิ่งนัก ทว่าหากมีสมาธิจดจ่อแล้วย่อมสามารถคลี่คลายความลับของกระบวนท่าออกมาได้
สองโมงามจ้องมองไปยังแผ่นหลังของหลงเฉินด้วยความเลื่อมใส ช่วงเวลาปกติเขามักจะชมชอบการกลิ้งกลอกหยอกเย้าผู้อื่นไปทั่ว ทว่าในช่วงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับความเป็นตายที่แท้จริงเช่นนี้ เขากลับเป็นที่พึ่งของผู้คนได้เป็นอย่างดี
“ฮี่ฮี่ฮี่……”
กุ่ยซาส่งเสียงหัวเราะขึ้นมาอย่างเยือกเย็น เสียงร้องอันเล็กแหลมกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณประดุจมีหนอนพิษมากมายนับไม่ถ้วนกำลังชอนไชเข้าไปในรูหูของผู้คนที่ได้ยิน แม้แต่ผู้คนที่ยืนอยู่ในบริเวณที่ห่างไกลออกไปยังต้องยกมือขึ้นมาป้องหู อีกทั้งยังมีใบหน้าขาวซีดลงคล้ายกับว่าร่างกายกำลังได้รับความทรมานอย่างถึงที่สุด
“เจ้าตัวบัดซบ กล้าวางแผนต่อหน้าเหล่าฝู่ผู้ยิ่งใหญ่เช่นข้าอย่างนั้นหรือ ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของข้ายังไม่เคยพลาดท่าเสียทีมาก่อนเลยด้วยซ้ำ จนได้มาเจอเจ้า……..จงตายลงไปให้แก่ข้าเสียเถิด”
ในขณะนี้ร่างกายของกุ่ยซาปกคลุมไปด้วยร่องรอยอักขระแปลกประหลาดเต็มไปหมด ให้ความรู้สึกคล้ายกับว่ามีตะขาบมากมายกำลังไต่ไปมาไม่หยุด จากนั้นกรงเล็บสีดำทมิฬก็ได้หอบสายลมรุนแรงฟาดเข้ามาที่หลงเฉินด้วยความเร็วเหนือแสง
หลงเฉินกวาดคมดาบออกไปต้านพลังการโจมตีของกุ่ยซาด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มี
“เพล้ง”
มือใหญ่ทั้งสองข้างของหลงเฉินมือสั่นระริกอย่างรุนแรง แขนทั้งสองข้างคล้ายกับถูกเหล็กกล้ากดดันลงมาจนด้านชาไปหมด กลางทรวงอกถูกลมแหวกเข้ามาจนมีสายโลหิตไหลรินออกมาเป็นสาย แล้วร่างของเขาก็ได้ลอยกระเด็นออกไป ภายในลำคอเกิดรสขมคาวขึ้นมาเป็นสาย จากนั้นโลหิตคำหนึ่งก็ถูกพ่นออกมาท่ามกลางอากาศ
ก่อนหน้านี้หลงเฉินได้ปะทุพลังที่มีอยู่ทั้งหมดออกมาจนเข้าสู่สภาวะที่แข็งแกร่งอย่างไร้ที่เปรียบ ทว่าในตอนนี้กลับไม่อาจต้านกระบวนท่าจากกุ่ยซาได้แม้แต่ครั้งเดียว ทำให้ผู้คนที่มองดูอยู่ถึงกับสะดุ้งตัวโยนขึ้นมายกใหญ่ มารร้ายผู้นี้แข็งแกร่งได้ถึงระดับใดกันแน่?
ถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวต่างก็ทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง พลันก็ได้ตะโกนเสียงดังเจื้อยแจ้วขึ้นมา คมวายุและพลังแห่งน้ำแข็งผสานเข้าด้วยกันแล้วมุ่งตรงไปยังเบื้องหน้าของกุ่ยซาในทันที
พลังอันแรงกล้าทั้งสองขุมตัดผ่านอากาศออกเป็นสองทางฟาดฟันเข้าไปที่กุ่ยซาอย่างไม่มีเยื่อใย ทว่าเหล่าผู้คนต่างก็เบิกดวงตาโพลงโตขึ้นมาเมื่อขุมพลังทั้งสองสายหยุดลงอย่างกะทันหัน
ฝ่ามือสีดำทมิฬทั้งสองข้างวาดไปมากลางอากาศด้วยท่วงท่าแปลกประหลาดเข้าปัดป้องขุมพลังทั้งสองสายจนกระเด็นไปเสียบคาอยู่บนพื้นดิน
“เคร้ง”
กุ่ยซาตะโกนเสียงดังอันเย็นเยียบขึ้นมา หลังจากที่ถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวใช้พลังอักขระแฝงเข้าไปกับขุมพลังทั้งสองสายเมื่อครู่นี้ ทว่ากลับถูกบีบจนแตกระเบิดไปในพริบตา ลมพายุคลุ้มคลั่งเริงระบำไปมาโดยรอบอย่างรุนแรง
ยอดฝีมือระดับสัตว์ประหลาดที่ใช้พลังทั้งหมดออกไปพร้อมกับกระบวนท่า กลับเป็นได้แค่เพียงทารกน้อยเมื่ออยู่ต่อหน้ากุ่ยซา อีกทั้งยังถูกปัดกวาดออกไปอย่างง่ายดายราวกับเป็นเพียงฝุ่นละอองโชยพัดเข้ามาแปดเปื้อนอาภรณ์
“ไสหัวไป”
กุ่ยซาแผดเสียงคำรามขึ้นมาพร้อมกับใช้สองมือกวาดสายลมที่หมุนวนอยู่เบื้องหน้ากระแทกเข้าไปยังสองร่างบางของโฉมงาม ด้วยความรวดเร็วประดุจสายฟ้าฟาดก็ได้ทำให้ทั้งสองร่างที่ไม่อาจหลบเลี่ยงได้ทันถูกกลิ่นอายแห่งความตายโบกพัดเข้ามาอย่างรุนแรง ภายในจิตใจเกิดความรู้สึกว่าหากไม่ต้านทานกระบวนท่านี้เอาไว้มีแต่จะต้องตายตกไปอย่างแน่นอน
ถังหว่านเอ๋อสลายความแตกตื่นแล้วใช้มืออันขาวผ่องวาดไปมาอย่างวุ่นวาย ที่หว่างคิ้วเรียวปรากฏลวดลายประหลาดขึ้นมา พร้อมทั้งรอบกายก็ได้ปรากฏคมวายุนับพันหมื่นสายขึ้นมากดดันบรรยากาศโดยรอบจนยากจะหายใจได้ทั่วท้อง
และหลังจากนั้นคมวายุนับพันหมื่นสายก็ได้หลอมรวมเข้าด้วยกันจนกลายเป็นคมวายุขนาดใหญ่ที่มีความยาวถึงห้าสิบเซียะ อากาศโดยรอบเริ่มสั่นไหวและส่งเสียงดังเพียะพะไม่หยุดหย่อน
ในขณะที่คมวายุกำลังหลอมรวมกันอยู่นั้น ฝ่ามือของเยี่ยจื่อชิวก็ได้มีร่องรอยประหลาดปรากฏขึ้นมา ที่หว่างคิ้วคล้ายกับมีกลีบดอกไม้หนึ่งงอกเงยอยู่ กลีบดอกไม้นั้นถูกสร้างจากน้ำแข็งมรกตอันงดงาม
หลังจากที่กลีบดอกไม้เบ่งบางขึ้นมาจนสมบูรณ์แล้ว กระบี่น้ำแข็งเล่มหนึ่งก็ได้เพิ่มขึ้นมาที่มืออันเรียวยาวของนาง กระบี่น้ำแข็งนั้นมีความยาวถึงห้าสิบเซียะเลยก็ว่าได้ บรรยากาศโดยรอบราวกับหยุดชะงักไปชั่วครู่หนึ่ง ไร้ซึ่งซุ่มเสียงและรูปร่างของสิ่งต่างๆ ไปจนหมด ระหว่างฟ้าดินมีเพียงรังสีสังหารอันน่าหวาดกลัวปะทุขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
“งดงามมาก”
ถู่ฟางอดไม่ได้ที่จะลอบชมเชยขึ้นมาภายในจิตใจ ในสถานการณ์ที่ขับขันเช่นนี้สามารถบีบให้ทั้งสองยอดฝีมือปลุกพลังชั้นต้นของตระกูลให้ตื่นขึ้นมาได้
สิ่งที่เรียกกันว่าพลังของต้นตระกูลนั้นก็คือพลังฝีมือที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่บรรพบุรุษมาจวบจนคนรุ่นหลัง โดยสืบทอดพลังจากสายโลหิตซึ่งเป็นดั่งพรสวรรค์ที่มีติดตัวมานับแต่กำเนิด เปรียบเสมือนสมบัติอันล้ำค่าที่เหล่ายอดฝีมือรุ่นก่อนได้หลงเหลือเอาไว้ให้ลูกหลานของพวกเขาเอง
อีกทั้งสิ่งนี้ยังเป็นพรสวรรค์ที่สืบได้จากสายโลหิตเท่านั้นจึงจะมีได้ ทว่าพลังที่สืบทอดต่อมามักจะอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ หรือที่เรียกกันว่าพลังทำลายของพรสวรรค์
และหากการสืบพลังนั้นห่างเหินเนิ่นนานมากขึ้นจนไม่มีผู้ใดปลุกของพลังภายในสายโลหิตขึ้นมา แน่นอนว่าพลังเหล่านั้นก็จะค่อยๆ เลือนหายไปในไม่ช้า
ทว่าหากถูกปลุกจนตื่นขึ้นมาจากการหลับใหลแล้ว สิ่งแรกที่สามารถพบเห็นได้ก็คือสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูล ซึ่งดูได้จากลวดลายที่ปรากฏขึ้นมาที่หว่างคิ้วของหญิงสาวทั้งสองนางนั่นเอง
การที่ผู้คนจะมีสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลได้นั้นช่างเป็นเรื่องที่ยากเป็นพันเท่าหมื่นทวี กล่าวกันว่ามีเพียงช่วงเวลาที่พบกับห้วงแห่งความเป็นตายเท่านั้นจึงจะสามารถปลุกเร้าพลังที่อยู่ภายในตัวขึ้นมาได้ อีกทั้งยังต้องมากมายมหาศาลจึงจะทำให้สัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลปรากฏขึ้นมา
ทว่าโอกาสที่จะพบพานเรื่องเช่นนั้นในยุคสมัยนี้ช่างริบหรี่อย่างถึงที่สุด และใช่ว่าทุกคนในสายโลหิตเดียวกันจะกระทำได้
ฉะนั้นขุมกำลังภายในตระกูลจำนวนมากมายต่างก็ไม่มีชนรุ่นหลังคนใดที่จะสามารถปลุกพลังของต้นตระกูลจากสายโลหิตขึ้นมาได้เป็นเวลาเนิ่นนานมาแล้ว อีกทั้งพลังภายในสายโลหิตเหล่านั้นก็แทบจะเรียกได้ว่าเลือนหายไปแทบจะหมดจด
ด้วยเหตุนี้ทางหมู่ตึกจึงต้องใช้วิธีการอันรุนแรงเพื่อที่จะให้ผู้เข้าร่วมการทดสอบเหล่านี้ได้พบพานกับความเป็นตายกันถ้วนหน้า หวังที่จะให้ผู้มีพรสวรรค์เหล่านี้ปลุกสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลขึ้นมา ทว่าน่าเสียดายที่หลายปีมานี้กลับพบกับผลลัพธ์ที่ย่ำแย่เป็นอย่างยิ่ง
ตั้งแต่ถู่ฟางอยู่ที่นี่มาหลายร้อยปีก็คับคล้ายคับคลาว่ามีเพียงศิษย์คนเดียวเท่านั้นที่สามารถปลุกสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลขึ้นมาได้ ทว่านั่นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเนิ่นนานมาแล้วจนแทบจะลืมเลือนจากห้วงสมอง
จนในที่สุดก็ได้มีว่าที่ศิษย์สายตรงทั้งสองคนสามารถปลุกสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลขึ้นมาได้ จึงทำให้ถู่ฟางเกิดอาการลิงโลดจนแทบจะบ้าคลั่งไปได้เลยทีเดียว ในที่สุดสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลที่ยากจะพบเจอก็ได้ถูกปลุกขึ้นมาแล้ว
“ตูม”
ถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวนั้นไม่รู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำว่าพลังของต้นตระกูลได้ตื่นขึ้นมาจากการหลับใหลแล้ว พลันก็เบิกอาวุธขนาดใหญ่ที่อยู่ใจกลางฝ่ามือฟาดฟันออกไปยังเบื้อหน้าในทันที ขุมพลังทำลายมหาศาลทั้งหมดสายปะทะเข้าด้วยกันจนเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว
ผืนแผ่นดินสั่นสะท้านจนผู้คนทรงตัวไม่อยู่ เสียงระเบิดกึกก้องไปทั่วทุกสารทิศ สายลมกรรโชกแรงจนแทบจะพัดพาทุกสิ่งอย่างให้ลอยละล่องไป แม้แต่ผู้คนที่อยู่ในบริเวณที่ห่างไกลออกไปนับสิบลี้ยังไม่อาจยั้งเท้าไว้ที่เดิมได้ ต่างก็ต้องถอยกรูกันออกไป
“น่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว”
“เป็นการโจมตีที่รุนแรงยิ่งนัก”
“นี่เป็นพลังฝีมือของผู้ที่อยู่ในขอบเขตก่อโลหิตอย่างนั้นหรือ?”
ผู้คนมากมายต่างก็ร้องเสียงหลงขึ้นมาด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น ด้วยการโจมตีที่ร้ายกาจเช่นนี้ย่อมอยู่เหนือความสามารถของยอดฝีมือผู้ที่มีพลังอยู่ในขอบเขตก่อโลหิตมากเกินไปแล้ว
อย่าว่าพวกเขาที่อยู่ในวงต่อสู้เลย แม้แต่ผู้คนที่อยู่รอบนอกเองก็ยังเกิดอาการเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างกายราวกับกำลังถูกฉีกกระชากให้กลายเป็นชิ้นเนื้อชิ้นเล็กๆ ไปอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากเสียงระเบิดดังขึ้น ถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวเองก็ได้ถูกพลังสภาวะมหาศาลขุมนั้นกระแทกเข้าไปที่ร่างบาง วินาทีนั้นร่างกายของทั้งสองคนก็ได้กระเด็นออกไปไกล ใบหน้าที่งดงามซีดเผือดลงประดุจกระดาษขาว รู้สึกได้ทันทีว่ากระดูกทั่วทั้งร่างกำลังร้าวรานไปทั้งหมดทั้งสิ้น
แม้ว่าพวกนางจะไม่ทราบว่าได้ปลุกพลังของต้นตระกูลขึ้นมาแล้ว ทว่าพวกนางก็รับรู้ได้ว่าตัวเองได้ไหลเวียนพลังอันมหาศาลขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง อีกทั้งยังเรียกได้ว่าแตกต่างไปจากพลังดั้งเดิมที่เคยมีมาอย่างสิ้นเชิง
ในขณะที่ร่างกายกำลังลอยละล่องอยู่ท่ามกลางอากาศที่สั่นไหวไปมา ภายในร่างกายก็รู้สึกเสมือนว่ามีพลังลมปราณทะลักออกไปหลายส่วน อีกทั้งยังไม่หลงเหลือเรี่ยมแรงที่จะเบิกพลังขึ้นมาคุ้มกันร่างกายได้อีกแล้ว ทันใดนั้นทั้งสองโฉมงามก็ได้กระอักโลหิตคำโตออกมาอย่างรุนแรง
“ตายซะ!”
ในขณะที่ร่างบางทั้งสองกำลังจะตกลงสู่พื้น เงาฝ่ามือสีดำทมิฬก็ได้ฟาดตามติดมาแบบกระชั้นชิด ด้วยความรวดเร็วและพลังสภาวะบนฝ่ามือย่อมสามารถทำให้ทั้งสองโฉมงามกลายเป็นบุบผาที่โรยรินลงไปได้ในทันทีอย่างไม่ต้องสงสัย
ผู้คนที่มองดูการต่อสู้อยู่นั้นต่างก็เกิดอาการแตกตื่นตกใจขึ้นมาทั้งหมด มีอยู่หลายคนที่กัดฟันและหลับตาเพราะไม่อาจทนดูโศกนาฏกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นได้
“ลี้ลมทลาย”
ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นมาจากอีกทางหนึ่ง เงาดาบยักษ์ตัดผ่ากลางระหว่างเงาฝ่ามือสายนั้นกับร่างบางทั้งสอง แรงกดดันพวยพุ่งออกมาประดุจพลังที่ฟาดฟันลงมาจากสรวงสวรรค์ จากนั้นเงาฝ่ามือสีดำทมิฬก็ได้กลายเป็นเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปในทันที
แรงปะทะปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรง หมอกควันสีเทาลอยคละคลุ้งไปทั่วทั้งวงการต่อสู้ พลันก็ได้มีเงาร่างสายหนึ่งลอยฝ่ากลุ่มควันออกไป ภายในวงแขนทั้งสองข้างกำลังโอบอุ้มโฉมงามทั้งสองเอาไว้
“หลงเฉิน ยอมแพ้เถิด พวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา เขาแข็งแกร่งเกินไป” ถังหว่านเอ๋อกล่าวพร้อมกับจ้องมาหลงเฉินด้วยแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว
แม้ว่าถังหว่านเอ๋อจะเป็นผู้มีพรสวรรค์ระดับสัตว์ประหลาดที่หยิ่งทระนงในตัวเองไม่น้อย ทว่ากับศัตรูที่ไร้ซึ่งผู้ต้านเช่นนี้ก็ไม่แคล้วที่จะเกิดความหวาดกลัวต่อคู่ต่อสู้ผู้นี้ อีกทั้งนางเองก็ไม่ต้องการที่จะให้หลงเฉินเข้าไปเสี่ยงกับการต่อสู้ที่มีแต่ต้องตายเช่นนั้น
เมื่อดิ่งลงสู่พื้นแล้ว หลงเฉินก็ค่อยๆ วางร่างบางของถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวลง แล้วหันไปส่งยิ้มให้กับพวกนาง รอยยิ้มกว้างสายนั้นอบอุ่นเสียยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ขนาดใหญ่ที่สาดส่องลงมายังพื้นดินอันกว้างใหญ่
“พวกเจ้ารอดูอยู่ตรงนี้เถิด ต่อจากนี้ให้ข้าเป็นคนจัดการเอง”
ทันทีที่พูดจบ ดาบยักษ์ในมือของหลงเฉินก็ถูกยกขึ้นไปพาดอยู่ที่ไหล่กว้าง จากนั้นเขาก็ได้หันกายไปยังเบื้องหน้า และพบว่ากุ่ยซากำลังคืบคลานเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ