เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 174 เบิกสวรรค์บดขยี้ทุกสรรพสิ่ง

ประกายดาบสายหนึ่งหอบสายลมพวยพุ่งไปยังเบื้องหน้าประดุจดาวตกสว่างวาบ ผู้คนที่มองเข้ามาต่างก็เกิดอาการสั่นไหวอยู่ภายในจิตใจ ในขณะนั้นหลงเฉินคล้ายกับเป็นเทพสงครามกำลังควบม้าศึกผ่านเส้นทางนับหมื่นลี้ได้สำเร็จกลายเป็นความภาคภูมิใจของมวลมนุษยชาติ

 

 

 

 

 

 

 

 

แม้แต่เหล่าผู้อาวุโสก็ยังต้องลุกฮือขึ้นมาอย่างแตกตื่น สายตาทุกคู่ฉายประกายของเงาดาบที่สะท้อนเข้ามา

 

 

 

 

 

 

 

 

“ตัดผ่าน!”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินแผดเสียงคำรามออกมาเสียงดังประดุจมังกรร่ายรำอยู่กลางเวหา ดาบยักษ์ฟาดฟันไปที่กุ่ยซาอย่างหนักหน่วงราวกับเป็นทัณฑ์จากสวรรค์

 

 

 

 

 

 

 

 

กุ่ยซาเกิดอาการแตกตื่นตกใจอย่างถึงที่สุด เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีผู้ใดที่สามารถใช้ทักษะยุทธ์ระดับสูงที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้ได้

 

 

 

 

 

 

 

 

“ตูม”

 

 

 

 

 

 

 

 

คมดาบฟาดฟันไปยังกุ่ยซาประดุจฝูงดาวตกทอดลงตัวลงมาจากฟากฟ้า แรงปะทะอย่างรุนแรงทำให้ศิลาน้อยใหญ่กระเจิดกระเจิงไปทั่วทุกสารทิศ ทั่วทั้งฟ้าดินเกิดการสั่นไหวไปมาไม่หยุด พลังสภาวะอันมหาศาลเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จนไม่อาจหยุดยั้งเอาไว้ได้อีกแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

“ระวัง!”

 

 

 

 

 

 

 

 

ถู่ฟางทอสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย พลันก็ได้ยื่นมือข้างหนึ่งออกไป เงาขนาดใหญ่สายหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าของถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวอย่างทันท่วงที

 

 

 

 

 

 

 

 

“ทุกคนระวังตัวด้วย ทำการป้องกันตัวเองเอาไว้ซะ”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากออกกระบวนท่าเข้าคุ้มกันทั้งสองยอดฝีมือได้แล้ว ถู่ฟางก็รีบตะโกนบอกต่อผู้คนทั้งหมด

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อสิ้นเสียงตักเตือน ผู้คนมากมายต่างก็รีบกระตุ้นพลังป้องกันของตัวเองขึ้นมาปกคลุมร่างกายเอาไว้ บ้างก็ถึงกับหมอบลงไปบนพื้น แม้จะเป็นระยะที่ห่างไกลจากการต่อสู้ไม่น้อย ทว่าป้องกันตัวเองเอาไว้ย่อมดีเสียกว่า

 

 

 

 

 

 

 

 

“ตูม”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากลมพายุโหมกระหน่ำเริ่มสงบลง เหล่าผู้คนที่มองดูอยู่ต่างก็ทอแววตาโง่งมขึ้นมา เศษศิลานับไม่ถ้วนคล้ายกับกำลังถูกดูดกลืนเอาไว้ที่ใจกลางวงต่อสู้อย่างคับคั่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นมาเป็นสาย เสียงกระดูกแตกหักเล็ดรอดออกมาให้ได้ยิน อีกทั้งยังมีเสียงของคนผู้หนึ่งกำลังกระอักโลหิตออกมาหลายคำ ช่างเป็นเสียงที่ไม่น่าอภิรมย์อย่างถึงที่สุด

 

 

 

 

 

 

 

 

แล้วทันใดนั้นเองเงาร่างวายหนึ่งก็ยืนตัวลุกขึ้นมาจากพื้นดิน ผู้คนโดยรอบอดไม่ได้ที่จะปากอ้าตาค้างไปตามๆ กัน แม้แต่ผู้คนที่หมอบลงไปกับพื้นยังต้องลุกฮือขึ้นมา หลังจากที่มองเห็นภาพที่อยู่เบื้องหน้าอย่างชัดเจนแล้ว ใบหน้าของพวกเขาก็เกิดอาการชาด้านขึ้นมาในทันที

 

 

 

 

 

 

 

 

“ซูม”

 

 

 

 

 

 

 

 

เศษธุลีดินที่ติดอยู่ตามร่างกายก็ได้ถูกสายลมปัดเป่าออกไป ถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวอยู่ในเงาคุ้มกันอย่างปลอดภัย ไม่มีบาดแผลหรือได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย แม้แต่เศษฝุ่นควันก็ยังไม่โดน

 

 

 

 

 

 

 

 

เงาฝ่ามือขนาดใหญ่ค่อยๆ สลายหายไป โฉมงามทั้งสองคนไม่อาจละสายตาจากฉากเบื้องหน้าเพื่อหันมาขอบคุณถู่ฟางที่ให้การช่วยเหลือเมื่อครู่นี้ ดวงตาคู่งามทั้งสองต่างก็จับจ้องไปที่เบื้องหน้าด้วยความแตกตื่นตกใจ

 

 

 

 

 

 

 

 

ลานกว้างขนาดใหญ่ได้ถูกทะลวงจนกลายเป็นหลุมลึกที่ไม่อาจมองเห็นก้นบึ้งได้ เมื่อมองทอดออกไปยังเบื้องหน้าฝ่าเศษดินและก้อนกรวดนับไม่ถ้วนไปก็จะพบพื้นที่โล่งกว้างขยายยาวออกไปอีกหลายเซียะ หลงเฉินกำลังยืนกำด้ามดาบที่ปักอยู่บนพื้นพร้อมกับหอบหายใจรัวแรงจนหน้าอกกระเพื่อมอย่างเห็นได้ชัด

 

 

 

 

 

 

 

 

และในบริเวณที่ห่างไกลจากเขาไม่มากก็มีร่างของกุ่ยซากำลังนอนแผ่อยู่ ทว่าร่างศพนั้นกลับไร้ซึ่งแขนข้างหนึ่งและร่างกายท่อนล่างเฉกเช่นช่วงเวลาปกติ

 

 

 

 

 

 

 

 

“ในที่สุด……ก็แพ้แล้วอย่างนั้นหรือ?”

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อทั้งตกใจและดีใจขึ้นมาพร้อมกัน แล้วตะโกนด้วยเสียงดังเจื้อยแจ้วว่า “หลงเฉิน รีบตัดศีรษะของเขามาเถิด แล้วหลังจากนั้นเจ้าก็จะได้เป็นศิษย์สายตรง”

 

 

 

 

 

 

 

 

ขณะนี้ร่างกายของกุ่ยซาได้ว่าหายไปครึ่งหนึ่งแล้ว หากถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวยังพอมีพลังหลงเหลืออยู่บ้างก็คงจะขยับฝีเท้าเข้าไปช่วยตัดศีรษะของกุ่ยซาออกมาแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

ถู่ฟางที่มอบหมายภารกิจให้ก็ได้ฉีกยิ้มขึ้นมาด้วยความพึงพอใจ ถึงแม้ว่าจะเกิดความสงสัยต่อหลงเฉินอยู่ไม่น้อย ทว่าเมื่อสามารถผ่านความยากเย็นของการทดสอบครั้งนี้ไปได้ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาหุบปากลงไป

 

 

 

 

 

 

 

 

ความแข็งแกร่งของหลงเฉินนั้นเป็นสิ่งที่สัมผัสได้อย่างแท้จริงจนไม่มีความคับข้องอีกต่อไป หากบุคคลเฉกเช่นนี้ ไม่ได้เป็นศิษย์สายตรง แน่นอนว่าทางหมู่ตึกคงจะเสียดายเป็นอย่างยิ่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินสูดลมหายใจเข้าลึกคำหนึ่ง มือใหญ่ทั้งสองค่อยๆ ดึงด้ามดาบขึ้นมา สองเท้าก้าวสลับไปยังร่างศพของกุ่ยซาในทันที ถึงเวลาที่จะเข้าไปรับรางวัลแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

“เหอะเหอะ จะตัดศีรษะของข้าเพื่อไปรับรางวัลอย่างนั้นหรือ? ฝันไปเถิด”

 

 

 

 

 

 

 

 

ทันใดนั้นกุ่ยซาก็ระเบิดเสียงหัวเราะเยาะขึ้นมาอย่างยาวนาน พร้อมกับกระตุ้นพลังแห่งจิตวิญญาณขุมหนึ่งขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง แล้วไหลเวียนพลังไปทั่วทั้งร่างกายอีกครั้ง

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อได้เห็นเช่นนั้น ผู้คนทั้งหมดต่างก็แตกตื่นตกใจอย่างถึงที่สุด การต่อสู้คล้ายกับว่ากำลังถึงช่วงสุดท้ายแล้ว ทว่าเหตุใดคนผู้นั้นยังมีปฏิกิริยาภายในร่างกายขึ้นมาได้อีก เรียกได้ว่าเป็นสัตว์ประหลาดที่อยู่เหนือเหล่าสัตว์ประหลาดทั้งปวงไปแล้ว!

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินเองก็ตกใจไม่น้อยที่เห็นปฏิกิริยาเช่นนั้น “เหวยเหวยเหวย ช้าก่อน พวกเรายังมีเรื่องที่ต้องพูดกันอีกมาก”

 

 

 

 

 

 

 

 

“พูดกับปู่เจ้าหรือ เจ้าตัวบัดซบ ข้าขอสาปแช่งไม่ให้เจ้าตายดี”

 

 

 

 

 

 

 

 

“ตูม”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากด่าทอขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดใจ ตลอดทั่วทั้งร่างศพก็ได้แหลกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เศษเนื้อหนังกระจุยกระจายไปทั่วบริเวณ นี่เขากำลังจัดการกับร่างกายของตัวเองอย่างนั้นหรือ

 

 

 

 

 

 

 

 

“ให้ตายเถิด แล้วเช่นนี้ข้าจะทำอย่างไรต่อไปดี?” หลงเฉินทอแววตาโง่งมเหม่อมองไปที่ฝุ่นละอองกลางอากาศ ในเมื่อไม่มีศีรษะให้ตัดแล้ว เขาจะใช้สิ่งใดไปแลกกับแผ่นป้ายประจำตัวกันเล่า

 

 

 

 

 

 

 

 

ในขณะที่กำลังเร่งฝีเท้าเข้าไปยังร่างศพของกุ่ยซาอยู่นั้น เพียงพริบตาเดียวก็ได้เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น แล้วร่างศพก็สลายหายไปจนแทบจะไม่หลงเหลือชิ้นส่วนที่สมบูรณ์เลยแม้แต่ชิ้นเดียว ไม่อย่างนั้นหลงเฉินคงจะสามารถนำมาต่อกันได้บ้าง

 

 

 

 

 

 

 

 

กุ่ยซานั้นเกลียดชังหลงเฉินจนเข้ากระดูกดำ หากจะต้องให้หลงเฉินได้ประโยชน์จากร่างกายของเขา สู้ตายไปเสียเองยังรู้สึกดีกว่า

 

 

 

 

 

 

 

 

เดิมทีกุ่ยซานั้นไม่ได้คิดที่จะตายตกไป หากถูกหลงเฉินตัดศีรษะออกก็ยังคงมีจิตวิญญาณหลงเหลืออยู่ จากนั้นค่อยอาศัยอยู่กับร่างศพอื่นได้อีก ทว่าที่ตัดสินใจลงมือเช่นนี้ก็เพื่อประกาศให้ทราบว่าเขานั้นเกลียดชังหลงเฉินมากเพียงใด

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินมองไปยังเศษซากชิ้นเนื้อที่กระจุยกระจายอยู่เต็มพื้น ภายในจิตใจก็ได้ร่ำไห้อย่างไร้น้ำตาขึ้นมา ดวงตาคู่คมหันไปมองที่ถู่ฟางแล้วถามออกไปว่า “ผู้อาวุโสถู่ฟาง ข้าสามารถใช้ชิ้นส่วนเหล่านี้ชั่งเป็นน้ำหนักศีรษะแทนได้หรือไม่?”

 

 

 

 

 

 

 

 

แน่นอนว่าเขาไม่อาจนำชิ้นส่วนเหล่านั้นมาปั้นให้เป็นศีรษะคนได้อย่างสมบูรณ์แบบ หากจะปล่อยให้เป็นไปตามชะตากรรมก็คงจะไม่อาจยอมรับได้จึงลองเอ่ยปากเจรจาออกไป

 

 

 

 

 

 

 

 

ถู่ฟางเหม่อมองไปที่หลงเฉินครู่หนึ่ง ไร้ซึ่งวาจาเอื้อยเอ่ยอย่างยาวนาน นี่ถือเป็นชะตากรรมของอี้ซู่อย่างนั้นหรือ? แม้จะให้โอกาสกับเขาไปแล้ว ทว่าผลสุดท้ายก็กลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้

 

 

 

 

 

 

 

 

อีกทั้งท่านจ้าวสำนักก็ได้กำชับเอาไว้ว่าอย่าได้พยายามเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของหลงเฉินโดยเด็ดขาด และในที่สุดเขาก็เชื่อคำพูดนั้นแล้ว หากยังปรารถนาที่จะให้หลงเฉินเข้าไปเป็นศิษย์สายตรงอีก เกรงว่าภายในหมู่ตึกคงจะวุ่นวายเป็นวงกว้างอย่างแน่นอน หรืออาจถึงขั้นล่มสลายไปในที่สุด

 

 

 

 

 

 

 

 

“ต้องขออภัยด้วยที่ข้าไม่อาจทำให้เจ้าสมความปรารถนาได้” ถู่ฟางกล่าวแล้วถอนลมหายใจออกมา เขาเห็นใจหลงเฉินเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังเสียดายที่เขาไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้อีกแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

ส่วนผู้อาวุโสคนอื่นต่างก็ถอดถอนลมหายใจออกมาด้วยเช่นกัน คิดจะอ้อนวอนขอน้ำใจให้แก่หลงเฉินอีกสักครั้งหนึ่ง ทว่าเมื่อได้เห็นใบหน้าอันเยือกเย็นของถู่ฟางแล้วก็ทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาลงไปเท่านั้น

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินทอสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แล้วแสดงท่าทางคล้ายกับกำลังจะกล่าววาจาบางอย่างออกมา ทว่าถู่ฟางกลับโบกมือขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “อย่าเพิ่งร้อนรนไป ถึงแม้ว่าเจ้าจะทำไม่สำเร็จ ทว่าก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นความล้มเหลว ถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวจะยังคงเป็นศิษย์สายตรงอยู่ ทว่าเจ้านั้น……”

 

 

 

 

 

 

 

 

“ข้าจะเป็นเช่นไร?” หลงเฉินเอ่ยถามขึ้นมาอย่างร้อนรน

 

 

 

 

 

 

 

 

“ตามกฎของทางหมู่ตึกแล้ว เจ้าจะเป็นได้เป็นเพียงศิษย์สายนอกเท่านั้น” ถู่ฟางรู้สึกแสบร้อนที่ใบหน้าอย่างรุนแรง การกระทำเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขานึกคิดเอาไว้ อีกทั้งยังไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลงเฉินก็ได้ผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ถึงแม้ว่าจะเสียใจที่ไม่ได้เป็นศิษย์สายตรง ทว่าหากยังสามารถอยู่ในหมู่ตึกแห่งนี้ได้ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว แม้จะเป็นเพียงศิษย์สายนอกก็ยังสามารถไคว่ขว้าโอกาสที่ยิ่งใหญ่ได้อยู่

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ได้ท่าร่างภูตมืดสงัดมาจากกุ่ยซาอีกด้วย เช่นนี้ถือว่าเป็นการค้าขายที่ไม่ขาดทุน เพียงแต่ว่าเขาจะต้องฝึกฝนให้ใช้ออกมาได้อย่างคล่องแคล่วเสียก่อน อีกทั้งการทดสอบในครั้งนี้ก็ได้ทำให้พลังฝีมือของเขาเลื่อนขั้นขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง แม้จะไม่ได้เป็นศิษย์สายตรง ทว่าก็คุ้มค่าที่ได้ลองเสี่ยงแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

ทางถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวกลับเผยสีหน้าผิดหวังขึ้นมาไม่น้อย เพราะการต่อสู้เมื่อครู่นี้ถือว่าหลงเฉินได้รับชัยชนะที่เหนือความคาดหมายแล้ว ทว่าเมื่อต้องเป็นไปตามกฎก็ช่างน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

ทว่าเหร่ยเชียนซังและชีซิ่งกลับถอนลมหายใจออกมาอย่างเบาใจ เดิมทีพวกเขาได้ถูกหลงเฉินทำลายความมั่นใจที่มีอยู่เต็มเปี่ยมลงไปจนหมด ทว่าเมื่อได้ยินคำตัดสินแล้วความรู้สึกที่หายไปก็ค่อยๆ ฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง

 

 

 

 

 

 

 

 

แม้จะเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่มีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับเดียวกันหรือสูงล้ำกว่า ทว่าหากไม่ได้รับการดูแลอยู่ในสถานะเดียวกันแล้วก็ไม่ต่างอันใดไปจากนาข้าวที่ขาดน้ำ ไม่นานนักก็คงจะต้องถูกปล่อยให้เ**่ยวเฉาลงไป

 

 

 

 

 

 

 

 

“หลงเฉิน อย่าได้เสียใจไปเลย” ถังหว่านเอ๋อเดินเข้ามาหยุดอยู่ที่ข้างกายของหลงเฉินแล้วกล่าวปลอบใจขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินหัวเราะฮาฮาออกมา แล้วส่ายหน้าไปมา “เจ้าคิดว่าข้ากำลังเสียใจอยู่อย่างนั้นหรือ? หากมัวแต่เก็บเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้มาเสียใจ ข้าก็คงจะร้องไห้จนตายไปแล้ว”

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อรู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย ไม่ว่าอย่างไรหลงเฉินเองก็เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย ฉะนั้นจิตใจของเขาจึงได้เข้มแข็งถึงเพียงนี้

 

 

 

 

 

 

 

 

ท่ามกลางผู้คนมากมาย มีเพียงถู่ฟางเท่านั้นที่ยิ้มขึ้นมาได้ในสถานการณ์เช่นนี้ เพราะเขานั้นเข้าใจถึงความรู้สึกของหลงเฉิน เด็กหนุ่มผู้นี้ได้ผ่านประสบการณ์และแรงกดดันมามากมายนับไม่ถ้วน: หากไม่กดขี่ก็ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

“ข้าต้องขอบคุณเจ้ามาก และต้องขออภัยด้วยที่ทำให้ดาบประจำตระกูลของเจ้าต้องเสียหายเช่นนี้”หลงเฉินยื่นดาบยักษ์คืนให้ชายหนุ่มร่างใหญ่ผู้นั้นด้วยความรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย

 

 

 

 

 

 

 

 

เดิมทีดาบยักษ์เล่มนั้นอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อย่างถึงที่สุด แม้แต่ร่องรอยขีดข่วนก็แทบจะไม่มีให้เห็น ทว่าในขณะนี้กลับเต็มไปด้วยร่องรอยบิ่นหัก ห่างมองจากที่ห่างไกลแล้วก็แทบจะไม่ต่างไปจากเลื่อยไม้เล่มหนึ่งเลย

 

 

 

 

 

 

 

 

“ไม่เลย หากดาบยักษ์เล่มนี้สามารถช่วยเหลือพี่หลงได้ ก็ถือเป็นบุญวาสนาของมันแล้ว” ชายหนุ่มร่างใหญ่ยื่นสองมือเข้ามารับดาบพร้อมกับทอสีหน้าเลื่อมใสแล้วตอบกลับออกมา

 

 

 

 

 

 

 

 

เขาได้ตัดสินใจเอาไว้แล้วว่าจะเก็บดาบยักษ์เล่มนี้เอาไว้เพื่อเป็นประจักษ์พยานว่าเขากับหลงเฉินได้กลายเป็นสหายกันแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

หากในภายภาคหลงเฉินได้กลายเป็นยอดฝีมือแห่งยุค เขาก็จะนำดาบเล่มนี้เป็นสิ่งเชิดหน้าชูตาของตัวเอง ทั้งยังสามารถยืดอกบอกกล่าวกับผู้คนได้ว่า: ข้ากับหลงเฉินเคยเป็นสหายที่ดีต่อกันมาก่อน เห็นหรือไม่ว่าแม้แต่เขาก็ยังเคยหยิบยืมดาบเล่มนี้ของข้าไปใช้เสียด้วยซ้ำไป

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินค่อยๆ เดินไปที่โต๊ะตัวยาว จากนั้นก็รับแผ่นป้ายประจำตัวของศิษย์สายนอกมาครอบครองไว้ สายตาทุกคู่ต่างก็จับจ้องตามการเคลื่อนไหวของหลงเฉิน พร้อมกับนึกย้อนไปถึงฉากการต่อสู้เมื่อครู่นี้ด้วยความยกย่อง หลงเฉินผู้นี้จัดเป็นยอดฝีมือระดับสัตว์ประหลาดที่อยู่เหนือหมู่สัตว์ประหลาดด้วยกันไปแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่สถานการณ์ทุกอย่างเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถู่ฟางก็ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าของเหล่าผู้คนมากมายจนทั่วทั้งลานกว้างเกิดความเงียบสงัดราวกับเป็นป่าช้าอย่างไรอย่างนั้น

 

 

 

 

 

 

 

 

“ก่อนอื่นต้องขอแสดงความยินดีกับพวกเจ้าทุกคนที่สามารถเข้ามาเป็นศิษย์ของหมู่ตึกพลิกสวรรค์ได้แล้ว หลังจากนี้ทางหมู่ตึกจะใช้ทุกวิถีทางที่มีเพื่อทำให้พวกเจ้าพัฒนาพลังฝีมือขึ้นไป

 

 

 

 

 

 

 

 

ทว่าจะได้มากน้อยเพียงใดนั้นก็คงจะต้องเป็นไปตามความสามารถของพวกเจ้าแล้ว ว่าตัวของพวกเจ้านั้นจะมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรับคำสั่งสอนเหล่านั้นได้หรือไม่

 

 

 

 

 

 

 

 

ฉะนั้นจงจำเอาไว้ให้ดีว่าหลังจากบัดนี้เป็นต้นไป การฝึกฝนของพวกเจ้ากำลังจะเริ่มต้นขึ้น ทรัพยากรที่อยู่ภายในหมู่ตึกทั้งหมดต่างก็ต้องใช้พลังฝีมือเพื่อแลกมันมา”

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อกล่าวมาจนถึงตรงนี้ ถู่ฟางก็ได้หันไปยังกลุ่มคนที่ไม่ผ่านการทดสอบ “ถึงแม้ว่าพวกเจ้าจะไม่ผ่านการคัดเลือก ทว่าพวกเจ้าก็ไม่ได้กลับไปโดยเสียเปล่า บ้างก็ได้รับผลประโยชน์จากแผนที่การทดสอบไปไม่น้อยเช่นกัน

 

 

 

 

 

 

 

 

อีกทั้งพวกเจ้าก็ยังสามารถอยู่ต่อได้ สามารถฝึกฝนอยู่ภายในสถานที่แห่งนี้ได้ ทว่าไม่ใช่ในฐานะศิษย์ของหมู่ตึก แม้ว่าในทุกๆ เดือนจะได้รับทรัพยากร ทว่าก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น อีกทั้งทรัพยากรเหล่านั้นจะต้องแลกกับการทำงานให้หมู่ตึก”

 

 

 

 

 

 

 

 

ผู้คนมากมายเกิดอาการลิงโลดขึ้นมาเมื่อฟังความในท่อนแรก ทว่าเมื่อได้ยินท่อนหลังก็คล้ายกับลูกโป่งที่พองโตขึ้นมาถูกปล่อยลมออกจนหมดสิ้นอย่างไรอย่างนั้น

 

 

 

 

 

 

 

 

พวกเขาต่างก็เป็นลูกหลานของตระกูลผู้มั่งคั่งกันแทบทั้งสิ้น การที่จะให้พวกเขามาทำงานตรากตรำก็แทบจะไม่ต่างไปจากการทรมานพวกเขาทั้งเป็นเลยก็ว่าได้?

 

 

 

 

 

 

 

 

ทว่าก็มีผู้คนไม่น้อยที่ยอมละทิ้งความทระนงตนไป แล้วตัดสินใจที่จะเป็นยอดฝีมือที่แท้จริงให้ได้ เพราะว่าในสถานที่แห่งนี้เป็นเสมือนเหมืองแร่ขนาดใหญ่ หากมุ่งมั่นที่จะเป็นยอดฝีมือผู้หนึ่งแล้วก็ต้องทำงานเพื่อแลกกับพลังฝีมือ ถือเป็นข้อเสนอที่ไม่เลวเลยทีเดียว

 

 

 

 

 

 

 

 

ทว่าผู้คนที่คิดเช่นนี้กลับมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย จากหนึ่งหมื่นคนอาจจะหลงเหลือเพียงห้าสิบกว่าคนเท่านั้นที่จะอยู่ต่อ ส่วนที่เหลือนั้นก็คงจะถูกชักนำให้เข้าร่วมกับสำนักอื่นบ้างหลังจากที่ออกไปจากหมู่ตึกพลิกสวรรค์แล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่ผู้คนเริ่มหลั่งไหลออกไปจากลานกว้าง หลงเหลือเพียงเจ็ดร้อยกว่าคนที่สอบผ่าน ถู่ฟางก็ได้โบกมือขึ้นมาครั้งหนึ่งพร้อมกับผู้อาวุโสนับสิบคนไปที่แท่นศิลา ผู้คนมากมายต่างก็รู้สึกว่าร่างกายเบาหวิวขึ้นมา แล้วหลัวจากนั้นพวกเขาทั้งหมดก็หายวับไปจากสถานที่แห่งนั้นในทันที

 

 

.

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset