ทันใดนั้นเองเบื้องหน้าสายตาก็ค่อยๆ เลือนราง ภาพทิวทัศน์โดยรอบเกิดการหมุนวนอย่างรวดเร็ว แล้วหลังจากนั้นไม่นานหลงเฉินก็ต้องเบิกดวงตาโพลงโตขึ้นมาเมื่อเบื้องหน้าสายตาในตอนนี้คล้ายกับเป็นสรวงสวรรค์ชั้นที่เก้าอย่างไรอย่างนั้น
สถานที่แห่งนี้เป็นภูเขาขนาดเล็กแห่งหนึ่ง มีความสูงราวร้อยลี้เห็นจะได้ บริเวณโดยรอบปกคลุมไปด้วยต้นไม้สีเขียวขจีที่สูงเสียดฟ้า พื้นดินปูด้วยผืนหญ้าละลานตา ยอดเขาสูงสามารถมองเห็นทิวทัศน์อันงดงามได้รอบด้าน
ความอุดมสมบูรณ์คืบคลานอยู่ทุกหนแห่ง ไม่ว่าจะเป็นสายธารที่กำลังไหลเอื่อยๆ อยู่ไม่ไกล เสียงของนกกามากมายดังกึกก้องไปทั่ว สิงสาราสัตว์นานาชนิดวิ่งพล่านไปมาอยู่ในพงไพร เป็นภาพที่สวยงามจนคล้ายกับเป็นเพียงภาพวาดที่มีจิตรกรสร้างสรรค์ขึ้นมา
ขณะนี้ผู้คนมากมายกำลังอยู่รวมกันที่ปากทางเข้าถ้ำแห่งหนึ่ง บริเวณด้านหน้าสุดมีศิลาก้อนหนึ่งกำลังทอประกายแสงสว่างแวววับขึ้นมาบาดสายตาผู้คนเป็นอย่างยิ่ง
เหนือขึ้นไปมีรอยสลักขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมา หลงเฉินสัมผัสได้อย่างชัดเจนในทันทีว่ารอยสลักเหล่านั้นคือสัญลักษณ์สำหรับดูดซับพลังลมปราณเพื่อหล่อเลี้ยงภายในถ้ำแห่งนี้นั่นเอง
“ถ้ำแห่งนี้มียันต์ปราณผนึกเอาไว้อยู่รอบด้าน เช่นนั้นภายในจึงมีพลังลมปราณไหลเวียนอยู่อย่างเข้มข้น ถ้ำแห่งนี้จึงเป็นที่พักของศิษย์สายตรง
ส่วนด้านล่างนั้นก็คือถ้ำที่พักของศิษย์ที่เหลือ ฝากให้พวกเจ้าจัดสรรกันเอาเองตามอัธยาศัยก็แล้วกัน ถัดไปจากนี้ก็คือสถานที่ฝึกฝนของพวกเจ้าทั้งหมด เช่นนั้นจงรีบคิดชื่อของขุมกำลังแล้วทำการบันทึกเอาไว้
เอาล่ะ ข้าจะไม่ขอพูดให้มากความไปกว่านี้แล้ว พวกเจ้าแยกย้ายกันไปพักผ่อนเถิด อีกสักครู่จะมีผู้รักษาเข้ามาช่วยเหลืออาการบาดเจ็บของพวกเจ้า” ผู้อาวุโสผู้หนึ่งอธิบายขึ้นมา
ผู้คนที่ถูกส่งมาพร้อมกันนี้ต่างก็เป็นขุมกำลังของถังหว่านเอ๋อทั้งหมด เช่นนั้นขุมกำลังอื่นก็คงจะเป็นเช่นเดียวกัน ต่างก็แยกย้ายกันไปตามสถานที่พักต่างๆ เมื่อพบว่าผู้อาวุโสผู้นั้นกำลังจะจากไป หลงเฉินก็รีบท้วงขึ้นมาว่า “ช้าก่อนท่านผู้อาวุโส”
ผู้อาวุโสผู้นั้นหันหน้ากลับมาแล้วเอ่ยถามขึ้นมา “มีเรื่องสงสัยอันใดอีกอย่างนั้นหรือ?”
หลงเฉินจึงเอ่ยถามออกไปว่า “ข้าอยากจะเรียนถามท่านผู้อาวุโสว่าตำหนักป่าสวรรค์นั้นอยู่แห่งใดกัน?”
หลังจากที่ค้างคาใจมานานว่าตำหนักป่าสวรรค์กับหมู่ตึกพลิกสวรรค์นั้นมีระยะห่างกันเพียงแค่เขาลูกเดียวเท่านั้น จึงอยากที่จะทราบความจริงเพื่อหาโอกาสออกไปพบฉู่เหยา เพราะไม่ทราบว่าในตอนนี้นางจะเป็นอย่างไรบ้าง
“ตำหนักป่าสวรรค์นั้นอยู่ลึกเข้าไปในภูเขาป่าสวรรค์ ถามไปทำไมกัน?” ผู้อาวุโสผู้นั้นตอบกลับมาด้วยความฉงนสงสัย
“ขอท่านผู้อาวุโสโปรดชี้แนะข้าด้วยว่าขุนเขาลูกนั้นอยู่ที่ใดกัน? หากมีเวลาว่างข้าจะลองไปยังตำหนักป่าสวรรค์ดูสักครั้งหนึ่ง” หลงเฉินกล่าว
“เจ้าว่าอย่างไรนะ?” ผู้อาวุโสทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง พร้อมทั้งเอ่ยถามกลับไปอีกครั้งหนึ่งคล้ายกับว่าได้ฟังผิดไป
หลงเฉินขมวดคิ้วขึ้นมาในทันที ภายในจิตใจเริ่มเกิดความกังวลขึ้นมาไม่น้อย ทว่าก็ยังคงกล่าวออกไปตามตรงว่า “ข้าต้องการไปเยือนภูเขาป่าสวรรค์”
ผู้อาวุโสผู้นั้นจ้องมองไปที่หลงเฉินแล้วส่ายหน้าไปมา มือข้างหนึ่งผายออกไปยังบริเวณที่ห่างไกลออกไปแล้วกล่าวว่า “เจ้าเห็นที่นั่นหรือไม่ ตรงนั้นคือภูเขาป่าสวรรค์ เจ้าคิดว่าเจ้าจะไปถึงที่นั่นได้อย่างไรกัน?”
ผู้คนมากมายเลื่อนสายตามองตามปลายนิ้วเ**่ยวนั้นไปจนสุดสายตา บริเวณที่ผู้อาวุโสชี้ไปนั้นเป็นเพียงกลุ่มเมฆที่ขวางกั้นบางสิ่งเอาไว้จนแทบจะมองไม่เห็นสิ่งใดเลย
หลงเฉินขมวดคิ้วแน่นขึ้น พลันก็ได้เลื่อนสายตามองเหนือขึ้นไปยังฟากฟ้าเบื้องบน จึงอดไม่ได้ที่จะปากอ้าตาค้างขึ้นมา เพราะว่าจุดที่ลอยอยู่ก้อนเมฆเหล่านั้นกลับเป็นเพียงส่วนหนึ่งของภูเขาเท่านั้น แน่นอนว่ายอดเขาคงจะอยู่สูงขึ้นไปจนไม่อาจคาดเดาจุดสิ้นสุดได้
“สวรรค์ ภูเขาลูกนั้นมีความสูงถึงเพียงใดกัน” ผู้คนมากมายต่างก็ร้องเสียงหลงขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
“อย่าว่าแต่เจ้าเลย แม้แต่ท่านจ้าวสำนักของพวกเราก็ยังไม่กล้าปีนภูเขาป่าสวรรค์ลูกนั้นเลย ข้าคิดว่าเจ้าควรรีบไปพักผ่อนเสียดีกว่า” ผู้อาวุโสกล่าว
“แม้แต่ท่านจ้าวสำนักก็ยังไม่กล้าปีนขึ้นไปอย่างนั้นหรือ? ภูเขาลูกนั้นสูงเสียดฟ้าไปถึงไหนกันแน่นะ?” หลงเฉินเกิดอาการแตกตื่นขึ้นมายกใหญ่
“สูงมากเพียงใดนั้นไม่มีผู้ใดที่อยู่ภายนอกทราบ เพราะว่ายังไม่เคยมีผู้ใดปีนขึ้นไปจนถึงยอดเขาได้มาก่อน กล่าวกันว่าท่านจ้าวสำนักรุ่นที่เจ็ดเคยคิดจะท้าทายภูเขาลูกนั้น ออกปีนป่ายขึ้นไปกว่าเจ็ดวันเจ็ดคืน ทว่าผลสุดท้ายกลับพบเจอกับพายุกรรโชกแรงเข้าจู่โจมจนได้รับบาดเจ็บสาหัส เรียกได้ว่าเกือบจะสิ้นใจลงไปแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีผู้ใดคิดที่จะปีนภูเขาลูกนั้นอีกเลย”
“ดูเหมือนว่าคงจะต้องไปตามเส้นทางเข้าออกปกติเสียแล้วล่ะ” หลงเฉินกล่าวตัดพ้อขึ้นมา
ผู้อาวุโสพยักหน้าไปมาแล้วกล่าวต่ออีกว่า “เป็นวิธีที่ดีที่สุด ทว่าเส้นทางที่จะขึ้นไปถึงตำหนักป่าสวรรค์นั้นช่างยาวไกลเป็นอย่างยิ่ง ว่ากันว่ามีระยะทางราวสามสิบเจ็ดหมื่นลี้”
“สามสิบเจ็ดหมื่นลี้อย่างนั้นหรือ? ต้องมีความผิดพลาดบางอย่างแน่นอน” หลงเฉินร้องเสียงหลงขึ้นมาด้วยความตกใจ ภูเขาลูกเดียวจะมีเส้นทางที่ไกลถึงเพียงนั้นได้อย่างไรกัน?
“เหอะเหอะ ก่อนหน้านี้ข้าก็รู้สึกตกใจเฉกเช่นเดียวกับพวกเจ้าในตอนนี้ ทว่าภูเขาลูกนั้นมีบันทึกอยู่ในหนังสือโบราณว่าเมื่อกาลนานมาแล้วที่ศึกของเทพสวรรค์ได้ส่งชิ้นส่วนของดวงดาราดวงหนึ่งร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้าจนทำให้เกิดเป็นภูเขาลูกใหญ่ที่ไร้สิ่งใดมาเปรียบ ภูเขาลูกนั้นก็คือภูเขาป่าสวรรค์ในตอนนี้นั่นเอง” ผู้อาวุโสกล่าวขึ้นมาด้วยความลื่นไหลราวกับอ่านนวนิยายอันเพลิดเพลินอยู่
ในที่สุดหลงเฉินก็ทราบขึ้นมาได้ทันทีว่าตัวเองถูกหลอกลวงเสียแล้ว ที่บอกกล่าวว่าห่างกันเพียงเขาลูกเดียวนั้นไม่ผิด ทว่ากลับสูงเสียดฟ้าถึงเพียงนั้นแล้วจะให้เขาผ่านไปได้อย่างไรกัน?
ถังหว่านเอ๋อจ้องมองไปยังดวงตาเหม่อลอยของหลงเฉินแล้วถามออกไปว่า “ยังมีเรื่องที่คาใจอยู่อีกหรือ?”
หลงเฉินส่ายหน้าไปมาแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก “ถูกผีเฒ่าหลอกเข้าให้แล้ว ทว่าเป็นผีเฒ่าที่อยู่ในร่างของมนุษย์ นี่ข้าถูกหลอกเข้าไปเต็มเปาเลยล่ะ”
เมื่อได้ยินหลงเฉินบ่นพึมพำขึ้นมาเช่นนั้น ถังหว่านเอ๋อก็ยิ้มขึ้นมา เขาคงจะหมายถึงกุ่ยซาอยู่เป็นแน่ คงจะกำลังเสียดายที่ปล่อยให้กุ่ยซาระเบิดตัวเองไป ทว่านางกลับไม่ทราบเลยว่าผีเฒ่าที่หลงเฉินเอ่ยถึงอยู่นั้นหมายถึงผู้อาวุโสถู่ฟางต่างหาก
“เอาล่ะ ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อนได้ จัดการแบ่งถ้ำให้เรียบร้อยด้วย”
เมื่อเห็นว่าหลงเฉินไม่กล่าววาจาอันใดออกมา ถังหว่านเอ๋อจึงบอกกล่าวกับขุมกำลังให้ไปเลือกถ้ำของตัวเอง นอกจากถ้ำที่อยู่บนยอดเขาของศิษย์สายตรงแล้ว ถัดลงไปที่ไหล่เขาก็เป็นถ้ำของพวกเขาทั้งหมด ทุกคนต่างก็เกิดอาการลิงโลดขึ้นมาขณะที่จ้องมองไปยังถ้ำของตัวเอง
เมื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลงเฉินก็ย่างฝีเท้าเพื่อติดตามกลุ่มคนเหล่านั้นไปในทันที ทว่าจู่จู่ถังหว่านเอ๋อก็ได้ฉุดรั้งเขาเอาไว้ “เจ้ากำลังจะไปที่ใดกัน?”
“ข้าก็จะไปเลือกที่พักของข้าอย่างไรเล่า” หลงเฉินตอบกลับไปด้วยสีหน้างุนงง
ถังหว่านเอ๋อหัวเราะครืนขึ้นมา แล้วตบไปบ่าของหลงเฉินเบาๆ “เจ้าโง่ ที่พักของเจ้าก็ที่นี่ไม่ใช่หรือ? เหตุใดเจ้าจะต้องลงไปที่นั่นด้วย?”
หลงเฉินทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ดวงตาคู่คมจดจ้องไปที่ถังหว่านเอ๋อ แล้วเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักว่า “ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นชายหนุ่มของเจ้า ทว่าหากต้องพลีกายให้เจ้าในตอนนี้ ข้าคิดว่ายังกะทันหันเกินไป ขอเวลาให้ข้าบ้างได้หรือไม่?”
“เจ้าตัวบัดซบ เจ้าคิดจะยั่วโมโหข้าอีกอย่างนั้นหรือ เจ้าคิดไปไกลถึงเพียงใดกัน!” ถังหว่านเอ๋อแผดเสียงดังขึ้นมาด้วยโทสะ “ถ้ำใหญ่โตถึงเพียงนั้น มีหรือที่ข้า ชิงยวูเจี่ยเจี่ย และเจ้าจะไม่สามารถฝึกยุทธ์ด้วยกันได้”
หลงเฉินเลื่อนสายตาไปยังอีกทางหนึ่งก็พบว่าชิงยวูกำลังจดจ้องมาที่พวกเขาด้วยใบหน้ายิ้มกริ่ม หลงเฉินจึงเกิดอาการขวยเขินขึ้นมาเป็นอย่างยิ่ง
ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใด ทุกครั้งที่ได้เผชิญหน้ากับชิงยวูถึงทำให้เขารู้สึกใกล้ชิดและอบอุ่น อีกทั้งยังคล้ายกับถูกบังคับอยู่ส่วนหนึ่ง ช่างเป็นความรู้สึกที่ไม่ค่อยชัดเจนเอาเสียเลย
“บัดซบ ในสมองของเจ้าคิดเรื่องอันใดอยู่บ้าง เข้าไปข้างในกันเถิด หากเจ้าไม่อยากเข้าไป ก็เชิญลงไปเลือกที่พักด้านล่างได้เลย”
ทันทีที่กล่าวจบ ถังหว่านเอ๋อก็สับเท้าตึงตังด้วยความเกรี้ยวกราด หลงเฉินผู้นี้กำลังคิดบ้าบออะไรอยู่นะ? ในเวลาเช่นนี้ยังคิดไปไกลได้อีก ข้าขอเกลียดเขาไปชั่วชีวิตนี้
จากนั้นชิงยวูก็ติดตามถังหว่านเอ๋อไป เมื่อพวกเขามาหยุดที่หน้าถ้ำ ถังหว่านเอ๋อก็ได้ใช้มืออันขาวผ่องตบไปที่ศิลาก้อนหนึ่งที่อยู่หน้าประตู แล้วประตูถ้ำก็ได้ค่อยๆ เปิดออกช้าๆ
“เป็นพลังลมปราณที่เข้มข้นจริงๆ”
ถังหว่านเอ๋อส่งเสียงร้องขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น ภายในถ้ำกว้างขวางเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังมีห้องหับอยู่สี่ห้อง
ใจกลางนั้นมีห้องโถงกว้างที่มีเบาะฟางวางเรียงรายอยู่บนวงกลมที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางราวสิบเซียะ ภายในพื้นที่นั้นฝังอัญมณีขนาดเท่าหนึ่งกำปั้นเอาไว้ทั้งหมดแปดจุด อีกทั้งยังส่องประกายแสงเจิดจ้าขึ้นมาไม่หยุด
“ศิลาปราณอย่างนั้นหรือ เป็นถ้ำที่หรูหราเกินไปแล้ว” ถังหว่านเอ๋อจ้องมองไปยังศิลาปราณทั้งแปดชิ้นด้วยความดีใจจนแทบจะกระโดดโลดเต้นขึ้นมา
แม้ว่าถังหว่านเอ๋อจะเกิดในตระกูลที่สูงศักดิ์ อีกทั้งยังรู้จักศิลาปราณเป็นอย่างดี ทว่าที่ตระกูลของนางกลับมองว่าศิลาปราณเป็นดั่งสมบัติอันล้ำค่า จึงไม่นำออกมาสู่ภายนอกได้ มีเพียงศิษย์ภายในสำนึกเท่านั้นที่ได้ใช้ในการฝึกยุทธ์
อีกทั้งที่เบาะฟางขนาดใหญ่เหล่านั้นก็คล้ายกับมีวิชาค่ายกลชนิดหนึ่งผนึกอยู่ ภายในนั้นสามารถกักเก็บพลังปราณเอาไว้ได้มากมาย ฉะนั้นภายในห้องนี้จึงสามารถใช้ฝึกยุทธ์ได้อย่างก้าวกระโดดเลยก็ว่าได้
หลงเฉินเองก็ไม่อาจปฏิเสธความยิ่งใหญ่ของหมู่ตึกพลิกสวรรค์ได้เลย พวกเขาลงทุนอย่างมหาศาลเสียจริง ด้วยการหนุนเสริมเช่นนี้ย่อมเรียกว่าฟุ่มเฟือยอย่างถึงที่สุด
“ตรงนี้มีน้ำด้วย”
ทันใดนั้นถังหว่านเอ๋อก็สังเกตเห็นว่าที่มุมหนึ่งบนกำแพงมีศิลาย้อยออกมา อีกทั้งยังมีหยดน้ำไหลรินลงมาเป็นทาง ด้านล่างมีอ่างรองรับอยู่ ภายในนั้นมีน้ำขังอยู่กว่าครึ่งอ่าง
ถังหว่านเอ๋อตักน้ำขึ้นมาจิบคำหนึ่ง ภายในดวงตาคู่งามฉายประกายเจิดจ้าขึ้นมา “หลงเฉิน น้ำอร่อยมาก เจ้าลองดูสิ”
หลงเฉินรับชามมาจากถังหว่านเอ๋อแล้วจิบไปคำหนึ่ง ทันทีที่น้ำแตะไปที่ลิ้น ความบริสุทธิ์สายหนึ่งก็ได้ตลบอบอวลไปทั่วปาก เมื่อได้ไหลลงสู่ท้องก็ให้ความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าอย่างถึงที่สุด
เมื่อเห็นว่าหลงเฉินจิบน้ำจากชามเดียวกันกับนาง ถังหว่านเอ๋อก็มีใบหน้าแดงก่ำขึ้นมา นี่ไม่ใช่การจูบทางอ้อมหรอกหรือ
หลงเฉินพยักหน้าไปมาแล้วกล่าวว่า “นี่คือปราณบริสุทธิ์จากศิลาย้อย เป็นสิ่งที่หายากเป็นอย่างยิ่ง ช่วยเสริมสมาธิให้กระจ่างหมดจด หากได้ละลายน้ำนี้กับผลึกแห่งราชินีผึ้งหยกแล้วจะทำให้เกิดผลลัพธ์ทวีคูณขึ้นไป”
“ผลึกแห่งราชินีผึ้งหยก?” ถังหว่านเอ๋อทอสีหน้าประหลาดใจไปที่หลงเฉิน
หลงเฉินยิ้มแล้วล้วงเอาผลึกแห่งราชินีผึ้งหยกขนาดเท่าหนึ่งกำปั้นออกมาจากแหวนมิติ จากนั้นก็คั้นลงไปในชามแล้วเติมน้ำบริสุทธิ์ผสมเข้าไปจนเกิดกลิ่นหอมหวานโชยไปเตะจมูก
“พวกเจ้าลองลิ้มลองฝีมือของข้าดู”
หญิงสาวทั้งสองนางยื่นมือไปรับชามจากหลงเฉิน แล้วยกขึ้นไปจิบเล็กน้อย กลิ่นอันหอมหวนชวนหลงใหลทะลักเข้าเต็มปาก แม้ว่าจะไม่ได้กลืนลงไปมากนัก ทว่าก็สัมผัสได้ถึงความบริสุทธิ์อันเข้มข้นแล้ว แทบจะทำให้พวกนางล่องลอยหลุดพ้นจนกลายเป็นเทพเซียนไปได้เลยทีเดียว
ในขณะเดียวกันภายในห้วงสมองก็คล้ายกับไม่มีสิ่งใดค้างคาอยู่เลย ความยินดีและความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นเอครู่นี้แปรเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่า จิตใจสงบนิ่งประดุจน้ำลึก
“นี่……” ถังหว่านเอ๋อทอแววตาเป็นประกายเจิดจ้าไปที่ชาม
“เหอะเหอะ ผลึกแห่งราชินีผึ้งหยกสามารถเพิ่มพูนจิตสมาธิของผู้คนได้อย่างรวดเร็ว เมื่อมีมันคอยหนุนเสริมแล้วการฝึกยุทธ์ย่อมทะลวงขึ้นไปได้มากถึงครึ่งเท่า” หลงเฉินยิ้มแล้วกล่าวขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจ
ถังหว่านเอ๋อและชิงยวูสบสายตามองกันด้วยความปิติยินดี และทันใดนั้นเองก็ได้มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา