เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 179 พรรคฟ้าดิน

ความเงียบงันเข้าครอบงำบรรยากาศระหว่างหลงเฉินและถังหว่านเอ๋อ เอ่อล้นจนเปลี่ยนเป็นความกระอักกระอ่วน ถังหว่านเอ๋อจึงได้แต่ใจเต้นระรัวอย่างรุนแรง เจ้าตัวบัดซบผู้นี้มักชมชอบการกล่าววาจาเหลวไหลไม่ใช่หรือ แล้วเหตุใดตอนนี้ถึงได้กลายเป็นใบ้ขึ้นมาได้เล่า

 

 

 

 

 

 

 

 

“เจ้า……เหตุใด……ถึงไม่กล่าวอันใดออกมาเลย” ในที่สุดถังหว่านเอ๋อก็รวบรวมความกล้าแล้วทำลายความเงียบสงัดลงไป ทว่านางกลับไม่กล้าพอที่จะหันกายกลับมา

 

 

 

 

 

 

 

 

“ยังหวนรำลึกถึงความหลังอยู่อีกหรือ” หลงเฉินโพล่งคำพูดที่ไม่อยากพูดขึ้นมา และหลังจากที่กล่าวจบ ความเสียใจก็บังเกิดขึ้นมาภายในจิตใจจนแทบจะตบหน้าตัวเองสักฉาดหนึ่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

“เจ้า……” ถังหว่านเอ๋อหันมาจ้องเขม็งใส่หลงเฉินด้วยโทสะ หยาดน้ำตาเริ่มไหลรินออกมาอย่างไม่อาจห้ามได้ ความรู้สึกของนางเป็นสิ่งที่น่าเยาะเย้ยถึงเพียงนั้นเชียวหรือ

 

 

 

 

 

 

 

 

“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะกล่าวเย้ยหยันเจ้าหรอกนะ ไม่ว่าผู้ใดก็เคยพบพานกับความเจ็บปวดใจมาอยู่แล้ว อย่างน้อยเจ้าก็ยังมีอดีตของความเป็นเด็กที่ถูกปกป้องอยู่บ้าง” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาอย่างแผ่วเบา

 

 

 

 

 

 

 

 

ในขณะที่กล่าววาจาขึ้นมานั้นภายในดวงตาคู่คมของหลงเฉินก็ได้เกิดประกายแปลกประหลาดไปจากเดิม อีกทั้งยังถอนหายใจออกมาเป็นสาย ให้ความรู้สึกมัวหมองอย่างเห็นได้ชัดเจน แม้แต่ถังหว่านเอ๋อเองก็ยังอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินในตอนนี้ไม่เหมือนกับหลงเฉินที่นางรู้จักเลย เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ถังหว่านเอ๋อก็รีบปาดน้ำตา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “หลงเฉิน โปรดเล่าเรื่องราวของเจ้าให้ข้าฟังบ้างจะได้หรือไม่?”

 

 

 

 

 

 

 

 

“ไม่ได้” หลงเฉินส่ายหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมกับปฏิเสธออกไป

 

 

 

 

 

 

 

 

“ใจแคบยิ่งนัก ข้ายังเล่าให้เจ้าฟังเลย แล้วเหตุใดเจ้าไม่เล่าเรื่องราวของเจ้าบ้าง หากเป็นเช่นนี้ข้าก็เสียเปรียบเต็มประดาเลยล่ะสิ” ถังหว่านเอ๋อกล่าวขึ้นมาด้วยโทสะอีกครั้งหนึ่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินกรอกตาขาวแล้วกล่าวว่า “ข้าบังคับให้เจ้าพูดเสียเมื่อใดกัน”

 

 

 

 

 

 

 

 

“ไม่ได้ ในเมื่อเจ้าได้ยินไปแล้ว ก็ถือว่าเจ้าร้องขอ” ถังหว่านเอ๋อจ้องเขม็งไปที่หลงเฉินคล้ายกับว่าหากเจ้าไม่เล่าออกมา ข้าจะไม่มีวันปล่อยเจ้าไปแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินยิ้มน้อยๆ ภายในจิตใจเกิดความอบอุ่นขึ้นมาอย่างเอ่อล้น ดวงตาคู่คมเหม่อมองไปที่ถังหว่านเอ๋อ “ขอบใจเจ้ามาก”

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อถูกหลงเฉินจ้องมองด้วยสายตาอ่อนโยน ถังหว่านเอ๋อก็เกิดอาการใจเต้นระรัวอีกครั้งหนึ่ง พร้อมทั้งหลบสายตาคู่นั้นไปในทันที “เจ้าขอบใจข้าด้วยเหตุอันใดกัน?”

 

 

 

 

 

 

 

 

“ขอบใจที่เจ้าเห็นข้าเป็นสหายผู้หนึ่งอย่างไรเล่า การที่เจ้าถามเช่นนี้ก็ไม่ต่างไปจากการบรรเทาความทุกข์ภายในจิตใจของข้า สถานที่ที่ข้าจากมาก็มีสหายเช่นนี้อยู่ ทว่าข้ากลับทิ้งพวกเขาไว้ที่ด้านหลัง”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ภายในห้วงสมองปรากฏภาพของซือเฟิง เจ้าอ้วน เจ้าลิงผอม และพวกพ้อง ภาพที่ได้เคยร่ำสุราจนเมามายไปด้วยกัน เกรงว่าหลังจากนี้คงจะไม่ได้พบเจอกันอีกแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

“แล้วเพราะเหตุใดเจ้าถึงต้องทิ้งพวกเขาเอาไว้ด้วยเล่า?” ถังหว่านเอ๋อถามด้วยความสงสัย

 

 

 

 

 

 

 

 

“เดินไปสนทนาไปกันเถิด”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินเดินนำถังหว่านเอ๋ออย่างช้าๆ แล้วเริ่มเล่าเรื่องราวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “วัยเด็กของเจ้าเรียกได้ว่าสมบูรณ์แล้ว มากกว่าข้าเป็นเท่าตัวเลยก็ว่าได้……”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินเริ่มเล่าเรื่องราวในครั้งยังเยาว์วัย ช่วงเวลาที่เขาได้พบเจอเหตุการณ์มากมายออกมาจนหมดด้วยความอัดอั้นตันใจ นี่คงจะถึงเวลาที่จะต้องปลดปล่อยความรู้สึกออกมาเสียบ้าง เขาบอกเล่าเรื่องราวที่เคยประสบพบพานมาทั้งหนีเอาชีวิตรอดจากความเป็นตายมาหลายครั้ง ทว่ากลับไม่เอ่ยถึงความทรงจำของจักรพรรดิโอสถที่อยู่ในห้วงสมองของเขา

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อฟังไปก็นึกคิดตามไป หลงเฉินมีประสบการณ์ที่ยากลำบากมากกว่านางเป็นหลายเท่านัก ไม่แปลกใจเลยที่นางจะรู้สึกว่าเขาช่างมีความรอบรู้อย่างมาก สามารถเรียกได้ว่าสูงล้ำก็ผู้คนที่มีรุ่นราวคราวเดียวกัน

 

 

 

 

 

 

 

 

ภายในแรงกดดันที่ไม่มีผู้ใดช่วยเหลือจึงทำให้หลงเฉินบังเกิดความสามารถขึ้นมามากกว่าคนธรรมดาทั่วไป หากเปลี่ยนเป็นผู้คนอื่นแล้วคงจะต้องตายตกไปเพราะแผนการของผู้อื่นตั้งแต่แรกแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อเทียบชะตาชีวิตของตัวเองกับหลงเฉินแล้ว ดูเหมือนว่าชีวิตของนางมีความสุขกว่ามากถึงมากที่สุด ทว่าก่อนหน้านี้นางกลับบอกกับหลงเฉินไปได้เต็มปากว่าชีวิตของนางนั้นแสนจะลำบากและไร้ซึ่งความสุข ภายในจิตใจจึงได้บังเกิดความละอายใจขึ้นมาไม่น้อยเลย

 

 

 

 

 

 

 

 

“หลงเฉิน เจ้าผ่านร้อนหนาวมามากถึงเพียงนี้ ไม่คิดว่าเป็นความอยุติธรรมบ้างหรือ?” ถังหว่านเอ๋อเอ่ยถามออกไปอย่างแผ่วเบา

 

 

 

 

 

 

 

 

“แน่นอนว่านั่นไม่ใช่ความเป็นธรรมสำหรับข้าอยู่แล้ว ทว่าในขณะนั้นข้ายังไม่อาจเสาะหาสถานที่หรือบ่าไหล่ที่เหมาะจะให้ข้าได้ร่ำไห้ออกมาได้” เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ ดวงตาของหลงเฉินก็ได้เหลือบไปมองที่ไหล่ของถังหว่านเอ๋อ

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อตกใจขึ้นมายกใหญ่ พร้อมทั้งก้าวเท้าถอยหลังไปโดยฉับพลัน สีหน้าปรากฏความหวาดระแวงอย่างถึงที่สุด “เจ้า…..อย่าได้เข้ามาเชียวนะ”

 

 

 

 

 

 

 

 

“ที่เจ้าทำเช่นนั้นจะให้ข้าเข้าหาได้อย่างไรกันเล่า ทว่าเมื่อครู่นี้เจ้ายังกอดข้าแล้วร่ำไห้กับข้าอยู่เลย ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็ถึงคราวของข้าบ้างแล้ว” หลงเฉินกล่าวออกไปอย่างไม่สบอารมณ์

 

 

 

 

 

 

 

 

ทันใดนั้นใบหน้าของถังหว่านเอ๋อก็ร้อนผ่าวขึ้นมาทันที พลันก็กล่าวขึ้นมาอย่างตะกุกตะกักว่า “ไม่เหมือนกัน ข้าเป็นสตรีนางหนึ่งนะ”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินจึงบ่นพึมพำขึ้นมาว่า ‘คนใจแคบ’ จากนั้นก็สาวเท้าเดินไปยังเก้าอี้ศิลาที่สะอาดสะอ้านตัวหนึ่ง ดวงตาคู่คมเหม่อมองออกไปยังที่ที่ไกลออกไป ราวกับว่ากำลังใช้คิดความคิดอย่างหนักหน่วง

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อเห็นว่าหลงเฉินไม่ได้ใส่ใจกับการกระทำเมื่อครู่นี้ ถังหว่านเอ๋อจึงผ่อนลมหายใจออกมาอย่างผ่อนคลาย จากนั้นก็เดินตามไปนั่งที่เก้าอี้ศิลาข้างๆ กับหลงเฉิน

 

 

 

 

 

 

 

 

“อยู่ดี กินดี เริงร่า สามารถทำให้ตัวบัดซบมีความสุขได้จริงหรือ” หลงเฉินยิ้มเอ่ยถามขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

 

“น่าชังยิ่งนัก ข้ากำลังสนทนาอย่างจริงจังกับเจ้าอยู่นะ” ถังหว่านเอ๋อด่าทอขึ้นมาอย่างเหลืออด “ทว่าก็เป็นไปตามีที่เจ้ากล่าวออกมาทั้งหมด ตอนนี้พวกเรายังอยู่อย่างสุขสบายได้อยู่ ทว่าต่อจากนี้ไปก็คงจะเริ่มชิงดีชิงเด่นกันอย่างโหดร้ายแล้ว”

 

 

 

 

 

 

 

 

“จะแข่งขันอย่างไรกัน?” หลงเฉินถามขึ้นมาด้วยความฉงนสงสัยมาตั้งแต่แรก

 

 

 

 

 

 

 

 

“ไม่ทราบเช่นกันว่าในครั้งนี้จะเป็นอย่างไร ได้ยินมาว่าในทุกรอบการแข่งขันนั้นจะแตกต่างกันไปทั้งหมด อีกทั้งแต่ละภารกิจนั้นยังโหดร้ายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น

 

 

 

 

 

 

 

 

หากไม่เตรียมการให้ดีก็คงจะสูญเสียคุณสมบัติที่จะเข้าแข่งขัน และอาจจะต้องกลายเป็นขุมกำลังที่รั้งท้ายไปในที่สุด เช่นนั้นพวกเราจะต้องรวมพลังทั้งหมดเอาไว้เป็นหนึ่งเดียว” ถังหว่านเอ๋อกล่าวขึ้นมาด้วยความหนักใจ

 

 

 

 

 

 

 

 

“ตรงนี้มีพวกเราสองคนอยู่ด้วย ในหมู่มวลขุมกำลังใหญ่ทั้งห้านั้นพวกเราถือได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดแล้ว มีหรือที่จะรั้งท้ายได้” หลงเฉินกล่าว

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อจึงตอบกลับไปว่า “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดเจ้าถึงได้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ทว่าพลังฝีมือของเจ้าย่อมต้องเกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาที่เจ้าได้ฝึกฝนมาอย่างแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

 

ยิ่งได้เคล็ดวิชาที่แกร่งกล้าก็จะยิ่งทำให้เลื่อนระดับพลังได้เชื่องช้ามากขึ้น เจ้านั้นยังไม่ได้ทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตก่อโลหิตตอนปลายเสียด้วยซ้ำไป นี่จึงเพียงพอแล้วที่จะหนุนเสริมกับสิ่งที่ข้ากล่าวมา

 

 

 

 

 

 

 

 

ผู้คนโดยมากที่เข้ามายังหมู่ตึกแห่งนี้ต่างก็อยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตก่อโลหิตกันไปแทบจะทั้งสิ้นแล้ว รอคอยรางวัลจากการทดสอบที่ถูกมอบให้มาผนวกกับโลหิตบริสุทธิ์ของหมื่นสรรพสัตว์ก็จะสามารถเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นได้แล้ว เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าก็จะไม่มีข้อได้เปรียบอีกต่อไปแล้ว”

 

 

 

 

 

 

 

 

แม้ว่าจะเป็นราชาแห่งกลุ่มผู้มีพรสวรรค์ในตอนนี้ ทว่าหลงเฉินกลับมีข้อจำกัดที่กำลังจะเป็นปัญหาให้กับตัวเอง ทว่าในความคิดของเขาแล้ว ต่อให้เป็นผู้มีพรสวรรค์ระดับสัตว์ประหลาดที่มีพลังอยู่ในขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นก็คงจะไม่ต่างไปจากเขามากเท่าใดนัก

 

 

 

 

 

 

 

 

“และที่สำคัญภายในหมู่ตึกแห่งนี้ยังมีขุมกำลังใหม่มากกว่าห้า” ถังหว่านเอ๋อกล่าวด้วยความกังวลใจ

 

 

 

 

 

 

 

 

“หือ?” หลงเฉินงุนงงอย่างถึงที่สุด

 

 

 

 

 

 

 

 

“หมู่ตึกพลิกสวรรค์นั้นต่างจากสำนักอื่นๆ การคัดเลือกศิษย์สายตรงของที่แห่งนี้ได้มีการแบ่งเป็นเขต นั่นก็คือกลาง เหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตก รวมทั้งสิ้นห้าเขต พวกเราจัดอยู่ในเขตกลาง ส่วนเขตที่เหลือนั้นก็ไม่อาจทราบได้ว่าจะมีศิษย์สายตรงมากน้อยเพียงใด ทว่าทีแน่ใจได้ก็คือหลังจากนี้คงจะเป็นการแข่งขันที่โหดร้ายเป็นอย่างยิ่ง” ถังหว่านเอ๋อกล่าว

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินตกใจขึ้นมายกใหญ่ เดิมทีผู้เข้ารับการทดสอบในรอบนี้ก็มีด้วยกันกว่าสามหมื่นคนแล้ว ซึ่งเรียกได้ว่ามากมายมหาศาลจนเป็นที่น่าตกใจ ทว่าเมื่อมาล่วงรู้เรื่องราวเช่นนี้อีกยิ่งทำให้เขาหวาดหวั่นขึ้นมาไม่น้อย ขุมกำลังของหมู่ตึกพลิกสวรรค์ช่างมากมายเหลือล้นจนเกินไปแล้วกระมัง

 

 

 

 

 

 

 

 

“เช่นนั้นเจ้าจงรีบฝึกยุทธ์ได้แล้ว ไม่เช่นนั้นข้อได้เปรียบของเจ้าจะกลายเป็นจุดอ่อนของเจ้าไปโดยปริยาย ส่วนข้าและจื่อชิวเจี่ยเจี่ยนั้นถือว่าโชคดีที่พลังของต้นตระกูลถูกปลุกขึ้นมาได้ ทำให้พลังภายในเส้นโลหิตเริ่มตื่นตัวขึ้นมา อีกทั้งยังเสริมให้พลังอักขระแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

 

 

 

 

 

 

 

 

และหลังจากนี้เหร่ยเชียนซังก็คงจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเราอีกแล้ว หากพวกเขาทั้งหมดร่วมมือกัน พวกเราก็ยังคงจะไม่อาจต้านทานเอาไว้ได้อย่างแน่นอน” ถังหว่านเอ๋อกล่าวด้วยความหนักใจ

 

 

 

 

 

 

 

 

ภายในจิตใจของหลงเฉินร่ำร้องขึ้นมาอย่างไร้ซึ่งซุ่มเสียง เขาเองก็ปรารถนาที่จะเพิ่มพูนพลังฝีมือให้สูงล้ำขึ้นไปโดยเร็ว ทว่ายิ่งพลังฝีมือสูงขึ้นและกายเนื้อแข็งแกร่งขึ้นเพียงใด ก็ยิ่งทำให้การทะลวงในระดับต่อไปยิ่งยากและเชื่องช้าขึ้นไปเรื่อยๆ

 

 

 

 

 

 

 

 

ขณะนี้เวลาก็ได้ล่วงเลยผ่านไปกว่าหนึ่งเดือนแล้ว ทว่าโลหิตบริสุทธิ์ของเขากลับยังไม่อาจเข้าสู่จุดอิ่มตัวได้เลย ทำให้ไม่สามารถทะลวงให้เหนือกว่าขอบเขตก่อโลหิตขั้นที่เจ็ดไปได้

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินจึงเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมาอย่างถึงที่สุด เกรงว่าการทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นของเขานั้นคงจะยากลำบากเสียยิ่งกว่าผู้อื่นอย่างไม่ต้องสงสัย อีกทั้งเคล็ดกายานวดาราที่มีอยู่ก็ทำความเข้าใจได้เพียงแค่เสี้ยวหนึ่งของภูเขาน้ำแข็งอันใหญ่โตเท่านั้น จึงไม่ทราบว่าจะใช้วิธีใดให้ฝึกยุทธ์ได้รวดเร็วขึ้น

 

 

 

 

 

 

 

 

หากเป็นไปตามการคาดเดาของหลงเฉินว่าเมื่อเบิกดาราดวงที่สองขึ้นมาได้——ดาราแปรแสง ก็คงจะสามารถเพิ่มโอกาสและความเร็วในการฝึกยุทธ์ได้มากขึ้น

 

 

 

 

 

 

 

 

ทว่าการจะหลอมโอสถแปรแสงนั้นจะต้องใช้วัตถุดิบอันล้ำค่าจำนวนมาก อีกทั้งที่ผ่านมาก็แทบจะไม่พบเจอเลย เช่นนั้นก็คงมีเพียงแค่จะต้องก้าวไปทีละก้าวเท่านั้น

 

 

 

 

 

 

 

 

แม้จะมีข้อจำกัดอยู่มากมาย ทว่าหลงเฉินก็ไม่ได้เป็นกังวลแต่อย่างใด เพราะว่าเขายังมีไพ่ตายที่ซ่อนเอาไว้อยู่ นั่นก็คือโอสถภายในของกิ้งก่าเพลิง

 

 

 

 

 

 

 

 

ขอเพียงดูดซับโอสถภายในของกิ้งก่าเพลิงเข้ามาได้ เขาก็จะมีพลังของสัตว์เพลิงที่จัดอยู่ในระดับเก้าสิบเจ็ด หากหลงเฉินสามารถครอบครองสัตว์เพลิงได้อย่างสมบูรณ์แล้ว การหยิบยืมความแข็งแกร่งของพลังแห่งจิตวิญญาณและเพลิงของกิ้งก่าเพลิงก็จะทำให้พลังการต่อสู้เพิ่มสูงขึ้นอย่างแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

 

และหากเป็นเช่นนั้นเรื่องที่จะต้องไปเจอกับฉู่เหยาก็คงจะเก็บเอาไว้ในภายหลังเสียแล้ว การเพิ่มพูนพลังฝีมือนั้นสำคัญยิ่งกว่า อีกทั้งยังมีอีกสองสิ่งกำลังไล่ต้อนเขาอยู่ หนึ่งก็คือการรวมรวบวัตถุดิบเพื่อกลืนโอสถภายใน ทว่าวัตถุดิบเหล่านี้หาได้ง่ายดาย และเขาเชื่อว่าภายในหมู่ตึกแห่งนี้จะต้องมีครบอย่างแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

 

ส่วนอย่างที่สองนั้นก็คือการรวบรวมวัตถุดิบเพื่อหลอมโอสถแปรแสง นี่คือสิ่งที่เขากังวลใจเป็นที่สุด ทว่าไม่ว่าจะยากเย็นเพียงใดเขาก็จะต้องหามาให้จงได้ ไม่ว่าจะได้มามากน้อยสักแค่ไหนก็ต้องรวบรวมมาให้ได้มากที่สุด

 

 

 

 

 

 

 

 

อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้หลงเฉินแทบจะบ้าคลั่งขึ้นมานั่นก็คือการจะทะลวงพลังของดาราแปรแสงนั้นจำเป็นจะต้องมีโอสถแปรแสงจำนวนมากมายมหาศาล

 

 

 

 

 

 

 

 

หากเพียงแค่เม็ดสองเม็ดนั้นย่อมไม่ทำให้เขาหนักใจถึงเพียงนี้ ทว่าเมื่อนึกถึงการรวมพลังเข้าสู่จุดดารากักวายุเมื่อก่อนหน้านี้แล้ว เขาก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเขาต้องสูญเสียโอสถกักวายุไปกว่าพันเม็ดเลยทีเดียว

 

 

 

 

 

 

 

 

“เจ้าอย่าได้เป็นกังวลจนเกินไป ตอนนี้เจ้ายังมีข้าและจื่อชิวเจี่ยเจี่ยคอยช่วยเหลืออยู่ เจ้าก็อย่าได้กดดันตัวเองให้มากเกินไปนักนะ” ถังหว่านเอ๋อกล่าวปลอบโยนขึ้นมาเมื่อเห็นว่าหลงเฉินไม่เอ่ยวาจาอันใดออกมา

 

 

 

 

 

 

 

 

ภายในจิตใจของถังหว่านเอ๋อรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาส่วนหนึ่ง นางเป็นถึงผู้นำของขุมกำลัง ทว่ากลับแบ่งแรงกดดันให้กับผู้อื่นเช่นนี้ ช่างไม่มีความรับผิดชอบเอาเสียเลย

 

 

 

 

 

 

 

 

เดิมทีภาระอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ควรจะเป็นนางที่แบกรับเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว ทว่าไม่ว่าอย่างไรนางกลับรู้สึกว่าอยากจะพึ่งพาหลงเฉินอยู่เรื่อย และยังคาดหวังเสมอว่าหลงเฉินจะช่วยเหลือนางได้ทุกสถานการณ์

 

 

 

 

 

 

 

 

“ใช่แล้ว หลงเฉิน เจ้าว่าขุมกำลังของพวกเราใช้นามว่าอย่างไรดี?” ถังหว่านเอ๋อจงใจเปลี่ยนหัวข้อสนทนาขึ้นมาในทันที

 

 

 

 

 

 

 

 

“ที่สุดแห่งตระกูลถังเป็นอย่างไร?” หลงเฉินกล่าว

 

 

 

 

 

 

 

 

“ไม่ เป็นนามที่อวดดีเกินไป เปลี่ยนเถิด” ถังหว่านเอ๋อส่ายหน้าเพราะว่าไม่ชมชอบนามที่อวดอ้างตัวเองเช่นนี้

 

 

 

 

 

 

 

 

“พรรคมังกรทมิฬ?” หลงเฉินเสนอขึ้นมาอีก

 

 

 

 

 

 

 

 

“ไม่ ให้ความรู้สึกว่าเป็นนักเลงข้างถนนมากเกินไป ไม่สูงส่งเอาเสียเลย” ถังหว่านเอ๋อส่ายหน้ารัวแรง

 

 

 

 

 

 

 

 

“เช่นนั้นก็พรรคมังกรทมิฬที่สุดแห่งตระกูลถัง” หลงเฉินทอดวงตาเป็นประกาเจิดจ้าแล้วกล่าวขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

 

“บัดซบ ช่วยจริงจังเสียบ้าง!”

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อระเบิดโทสะอีกครั้ง เพิ่งจะเป็นห่วงความรู้สึกของเขาแท้ๆ ทว่าเจ้าตัวบัดซบผู้นี้กลับไม่ทราบเลยว่าสิ่งใดที่เรียกกว่าแรงกดดัน

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อได้ผ่านการเสนอไปหลายครั่งจนท้องฟ้าเริ่มสลัว พวกเขาก็นึกถึงนามอันสูงส่งขึ้นมาได้——พรรคฟ้าดิน ถังหว่านเอ๋อจึงตัดสินใจว่าจะให้ขุมกำลังของนางมีนามว่าพรรคฟ้าดิน

 

 

 

 

 

 

 

 

ไม่มีผู้ใดทราบเลยว่าหลังจากวันนี้เป็นต้นไปพรรคฟ้าดินที่ถูกก่อขึ้นมาภายในหมู่ตึกพลิกสวรรค์จะกลายเป็นนามที่ถูกจารึกเอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของทางหมู่ตึกไปตลอดกาล

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset