เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 18 ขุนนางหมานฮวง

ตอนที่ 18 มีบางเรื่องถามไม่ได้

 

 

เหตุการณ์เมื่อปีไท่คังที่หนึ่ง เหล่าสตรีและเด็กๆ ของตระกูลฟางแห่งหยางเฉิงแม้ไม่รู้รายละเอียด แต่ก็ได้ฟังมาแล้ว

 

 

 

 

รัชทายาทอ่อนแอมาตั้งแต่เล็ก สามปีก่อนล้มป่วยกะทันหันจากโลกไป ฮ่องเต้ทรงโศกเศร้าพระทัยเกินไปจนล้มป่วย เวลานั้นฉีอ๋องเข้าเมืองมาอวยพรวันเกิดของฮองเฮา พอดีองค์ฮ่องเต้ที่นอนป่วยอยู่จึงประกาศให้ฉีอ๋องเป็นรัชทายาท สืบบัลลังก์แทนองค์รัชทายาท

 

 

 

 

ตอนนั้นเมื่อเกิดเรื่องขึ้นก็กลายเป็นที่ฮือฮาไปทั่วราชสำนัก

 

 

 

 

รัชทายาทคนหนึ่งจากไปกะทันหัน แต่ว่าการจากไปขององค์รัชทายาทไม่ใช่เรื่องกะทันหันจนเกินไป องค์รัชทายาทเกิดมาป่วยออดๆ แอดๆ เป็นเรื่องที่ทุกคนรู้อยู่แล้ว

 

 

 

 

ตอนแรกที่แต่งตั้งองค์รัชทายาทก็มีการถกเถียงกันไปแล้ว แต่ฮ่องเต้ใช้อำนาจกำราบข้อคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ อ้างสัญญากับอดีตฮองเฮากับองค์รัชทายาทเป็นบุตรคนโตกับภรรยาหลวงเป็นเหตุผล ยืนยันแต่งตั้งเขาเป็นองค์รัชทายาท หลายปีมานี้ร่างกายขององค์รัชทายาทไม่ดีมาตลอด แต่ด้วยการรักษาของบรรดาแพทย์ทั้งหลายก็อยู่รอดปลอดภัยมาได้ แต่อย่างไรก็เป็นร่างที่ป่วย การจากโลกไปถึงแม้จะทำให้คนตกใจแต่ไม่ถึงกับตกตะลึง

 

 

 

 

สิ่งที่ทำให้ราชสำนักฮือฮาจริงๆ คือองค์รัชทายาทมีทายาทแล้ว ฮ่องเต้กลับทอดทิ้งพระราชนัดดาแล้วแต่งตั้งฉีอ๋อง

 

 

 

 

ยามนั้นพระราชนัดดาอายุสามปี ฮ่องเต้ตรัสว่าบ้านเมืองต้องพึ่งนายเหนือหัวที่โตแล้ว ดังนั้นจึงสนับสนุนให้แต่งตั้งฉีอ๋อง ทั้งยังประกาศว่าหลังจากนี้จะลงจากตำแหน่งให้ฉีอ๋องสืบราชบัลลังค์

 

 

 

 

ขุนนางในราชสำนักกลุ่มหนึ่งขอร้องต่อหน้าพระพักตร์ให้ฮ่องเต้ทรงเรียกคืนพระราชโองการ ในนามของความยุติธรรม

 

 

 

 

อดีตฮ่องเต้โกรธจนประชวรพระวาโย ฮ่องเต้พระองค์ใหม่มากล่อมบรรดาขุนนางด้วยพระองค์เอง ตอนที่ทั้งสองฝ่ายยื้อกันไปมา หลู่อวิ๋นฉีหัวหน้ากองร้อยขององครักษ์เสื้อแพรก็กล่าวอ้างว่าเหล่าขุนนางมีโทษเป็นกบฏ นำองครักษ์เสื้อแพรมาบีบให้เหล่าขุนนางถอยไป ไม่เช่นนั้นจะโบยจนตาย

 

 

 

 

ราชวงศ์ต้าโจวถือกำเนิดมาร้อยปีไม่เคยใช้โทษทัณฑ์กับขุนนางมาก่อน เหล่าขุนนางไม่เชื่อว่าองครักษ์เสื้อแพรจะกล้าถึงเพียงนั้น ชั่วขณะไม่ยอมถอยไป ผลปรากฏว่าหลู่อวิ๋นฉีออกคำสั่งลงมือจริงๆ ที่แห่งนั้นเลือดไหลรินเป็นแม่น้ำโหดร้ายจนไม่อาจทนมอง

 

 

 

 

“แม้ว่าหลังจากนั้นฮ่องเต้จะส่งหลู่อวิ๋นฉีไปยังคุกมืดพิจารณาโทษ แต่หนึ่งปีให้หลัง หลังอดีตฮ่องเต้ทรงประชวรสวรรต ทำทานทั่วหล้า หนังสือสั่งลาบอกว่าหลู่อวิ๋นฉีจงรักภักดีให้ปล่อยออกมา ยังสู่ขอองค์หญิง ทั้งยังทำผิดจากกรณีทั่วไปยังคงอยู่ในองครักษ์เสื้อแพร ในเวลาสองปีก็เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้ากองพันเจ้าหน้าที่ราชฑัณฑ์แห่งกองกำลังพิทักษ์แผ่นดินฝ่ายเหนือ” ผู้ดูแลเกาเล่าขึ้นมา พูดถึงตรงนี้เสียงของเขาก็เบาลงโดยไม่รู้ตัว “นี่สื่ออะไร ใต้หล้ามีใครไม่กระจ่างใจ ฮ่องเต้ไม่อนุญาตให้เรื่องของราชวงศ์ถูกคนวิพากษ์วิจารณ์”

 

 

 

 

“ใช่แล้ว หัวหน้ากองพันหลู่เป็นคนโหดเ**้ยม ภายใต้การควบคุมของเขา องครักษ์เสื้อแพรกระจายอยู่ทุกที่ ไม่มีที่ใดเล็ดลอดสายตา อย่างไรก็พูดส่งเดชไม่ได้” นายหญิงใหญ่ฟางกดเสียงเบา “ตระกูลฟางของเราจัดการการค้าพลิกผันได้ แต่รับมือการข่มเหงของคนพวกนั้นไม่ไหว”

 

 

 

 

ผู้ดูแลเกาพยักหน้า

 

 

 

 

“คนพวกนั้นชนก็เจ็บเคาะก็ตาย อย่างไรก็หาเรื่องด้วยไม่ได้” เขาพูดขึ้นเคร่งขรึม

 

 

 

 

เพราะว่าสถานการณ์ของตระกูล เด็กสาวตระกูลฟางสามคนนี้แม้เป็นผู้หญิง แต่ไม่ได้เลี้ยงดูมาอย่างสตรีในห้องหอที่ไม่ก้าวออกจากประตูชั้นในเท่าไรนัก กลับกันต้องร่ำเรียนการค้าทั้งยังต้องไปร้านแลกเงิน ดังนั้นเข้าใจอันตรายในโลกกว้างเป็นอย่างดี

 

 

 

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะพ่อค้า ยิ่งต้องรู้จักอำนาจอิทธิพลของขุนนาง

 

 

 

 

พวกนางก็หน้าตาเคร่งขรึม ฟางจิ่นซิ่วยังกรุ่นโกรธ

 

 

 

 

“แม่จวินเจินเจินตัวเองจะตายก็ไปตายสิ อย่ามาคิดลากตระกูลพวกเราไปด้วย” นางเอ่ยขึ้น

 

 

 

 

“นางไม่รู้จักขอบเขต เพียงแค่เพื่อความสนุกถึงถามเรื่องนี้พวกนี้เท่านั้น ข้าไปบอกนาง อธิบายให้รู้อันตราย” นายหญิงใหญ่ฟางตีสีหน้าพูดขึ้น

 

 

 

 

ผู้ดูแลเกาลังเลไปครู่หนึ่งอีกครั้ง

 

 

 

 

“นาง” เขาพูดขึ้น “ยังถามถึงไหวอ๋อง”

 

 

 

 

พอคำพูดนี้หลุดออกมา นายหญิงผู้เฒ่าฟางก็ทำถ้วยชาในมือหล่นลงพื้น คนแต่เดิมก็เคร่งเครียดอยู่แล้วฉับพลันก็ถูกเรื่องนี้เขย่าขวัญจนอดสั่นขึ้นมาไม่ได้

 

 

 

 

“เด็กเลว!” นายหญิงผู้เฒ่าฟางด่าเสียงเย็นขึ้นมา “ตายไปเสียจะได้หมดเรื่อง”

 

 

 

 

ในห้องเงียบสนิทไร้เสียง ฟางจิ่นซิ่วไม่เข้าใจอยู่บ้าง ไหวอ๋องสองคำนี้กลับทำให้นายหญิงผู้เฒ่าฟางโกรธได้ถึงเพียงนี้? ชื่อไหวอ๋องนี้ฟังคุ้นหูอยู่นิดหน่อย แต่ได้ยินครั้งหนึ่งยังคิดไม่ออก นางอดไม่ได้มองไปทางฟางอวี้ซิ่ว

 

 

 

 

ฟางอวี้ซิ่วเข้าใจแล้ว

 

 

 

 

“ไหวอ๋อง ก็คือพระราชนัดดาของอดีตฮ่องเต้” นางเข้ามาใกล้กระซิบริมหูฟางจิ่นซิ่ว “หลังอดีตรัชทายาทประชวรสวรรคต พระชายาขององค์รัชทายาทรักมั่นปลงพระชนม์ตามเสด็จ โอรสอายุสามชันษาของพวกเขาก็ได้องค์ฮ่องเต้แต่งตั้งเป็นไหวอ๋อง”

 

 

 

 

ฟางจิ่นซิ่วสูดหายใจเฮือกตกใจ

 

 

 

 

พูดเรื่องของฮ่องเต้ก็เสี่ยงหายนะแล้ว นางกลับยิ่งใจกล้าถามเรื่องคนที่แต่เดิมจะเป็นฮ่องเต้คนนั้น

 

 

 

 

“นังตัวดี นางคิดจะให้ตระกูลฟางของพวกเราถูกองครักษ์เสื้อแพรตีจนตาย ทั้งตระกูลถูกจับกุดหัวหรือ?” นางด่าขึ้นมา

 

 

 

 

“นางรู้หรือไม่ว่านางทำอะไรอยู่?”

 

 

 

 

………………………………………………………………

 

 

 

 

คุณหนูจวินมองโต๊ะเล็กตรงหน้าถอดทอนใจ วางถ้วยชาที่กุมไว้มานานลง นิ้วเพราะว่าใช้แรงจึงเริ่มแข็ง

 

 

 

 

“คุณหนู ท่านอยากถามเรื่องสนุกของเมืองหลวง พวกเราค่อยออกไปข้างนอกหาคนมาถาม ผู้ดูแลร้านแลกเงินมีเยอะแยะไป” หลิ่วเอ๋อร์พูดขึ้น

 

 

 

 

คุณหนูจวินส่ายศีรษะ

 

 

 

 

“ไม่ ข้าแค่ถามขึ้นมาเฉยๆ เท่านั้น” นางกล่าวขึ้น มองหลิ่วเอ๋อร์ยิ้มขึ้นมา “เรื่องของเมืองหลวงเกี่ยวอะไรกับข้า ไกลถึงเพียงนั้น”

 

 

 

 

ไกลถึงเพียงนั้น ไกลถึงเพียงนั้นเชียว ทั้งยังอันตรายขนาดนั้น ไม่ถึงเวลา ถามออกมาง่ายๆ ไม่ได้ ยังไม่มั่นใจพอ ถามไม่ได้

 

 

 

 

ต้องทนไว้

 

 

 

 

ครั้งนี้ทนไว้ไม่สำเร็จ คงต้องลำบากนิดหน่อยแล้ว

 

 

 

 

ก็จริง เมืองหลวงไกลถึงเพียงนั้น ไม่เกี่ยวข้องกับพวกนาง หลิ่วเอ๋อร์จึงปล่อยไปไม่ถามอีก

 

 

 

 

“แต่ว่าคุณหนู ตอนนี้ตระกูลหนิงก็ไปไม่ได้แล้ว ถ้าเช่นนั้นพวกเราต้องอยู่ที่ตระกูลฟางจริงๆ แล้วหรือ?” นางพูดขึ้น มีแวววิตก “คำสาปไร้ทายาทสิ้นตระกูลนั่นต่อให้เป็นคำพูดพลั้งปากชั่วครู่ แต่คนพูดสามคนคำลือก็เป็นจริง คนพูดมากเข้า ย่อมกลายเป็นคำสาปแล้ว ตระกูลฟางนี่เป็นที่อัปมงคล”

 

 

 

 

คุณหนูจวินหลุดหัวเราะ

 

 

 

 

สาวใช้คนนี้จะว่าโง่ก็โง่ จะว่าฉลาดก็ฉลาด เพียงแต่โง่กับฉลาดดันใช้ไม่ถูกที่

 

 

 

 

“เจ้าไม่คิดอยากอยู่ที่นี่” นางเอ่ยขึ้น “พวกเขาก็ไม่คิดอยากเก็บเราไว้”

 

 

 

 

ต่อให้เป็นเรือผุง่อนแง่นลำหนึ่ง จะขึ้นไปนั่งก็ไม่ใช่ง่าย

 

 

 

 

เมื่อหญิงรับใช้มารายงานว่าคุณหนูจวินกลับเข้าไปในเรือนชั้นในแล้ว ในห้องของนางหญิงผู้เฒ่าฟางก็คืนกลับสู่ความสงบ

 

 

 

 

เศษกระเบื้องถ้วยชาบนพื้นถูกเก็บกวาดไป ผู้ดูแลเกากับคุณหนูทั้งสามเข้าไปในห้องทำงานด้านข้างตรวจบัญชีไปแล้ว นายหญิงใหญ่ฟางเทยาเม็ดหนึ่งออกมาจากขวดกระเบื้องขวดหนึ่ง ปรนนิบัตินายหญิงผู้เฒ่าทานยา

 

 

 

 

“ท่านแม่ท่านอย่าโกรธเลย เจินเจิน นางไม่รู้ความ ไม่รู้อันตราย ข้าไปพูดกับนางดีๆ ” นางเอ่ยขึ้นน้ำเสียงละมุน

 

 

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางหัวเราะ

 

 

 

 

“ข้าไม่โกรธ” นางเอ่ยขึ้น “เรื่องแค่นี้มีอะไรให้โกรธกัน ถ้าข้าโกรธไปหมดเสียทุกเรื่อง สิบแปดปีก่อนข้าคงโกรธจนตายไปแล้ว”

 

 

 

 

สิบแปดปีก่อน นายท่านผู้เฒ่าฟางผู้มีใจคุณธรรมป่วยกะทันหันตายจากไป

 

 

 

 

ตั้งแต่ตอนนั้น เคราะห์ร้ายของตระกูลฟางก็เริ่มต้นขึ้น

 

 

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางคิดถึงเรื่องเหล่านี้ขึ้นมา ร่างก็อดแข็งเกร็งขึ้นมาไม่ได้

 

 

 

 

“ตั้งสิบกว่าปีแล้ว เจ้ายังรับไม่ไหวถึงเพียงนี้” นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองปฏิกิริยาจากสีหน้าของนาง ขมวดคิ้วพูดขึ้น “จะให้ข้าวางใจหลับตาลงได้อย่างไร?”

 

 

 

 

สิบสามปีก่อน สามีภรรยาที่รักกันมากถูกความตายพรากจาก ฟางเนี่ยนจวินนายท่านฟางเพราะบาดเจ็บหนักก่อนตายแม้แต่คำพูดสักประโยคก็ไม่ได้ทิ้งไว้

 

 

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางขอบตาแดงเรื่อก้มหน้าไม่พูดจา

 

 

 

 

“เรื่องอดีตอย่าไปคิด คิดไปก็ไร้ประโยชน์ มองไปข้างหน้าเถอะ ชีวิตอย่างไรก็ต้องเดินไป” นายหญิงผู้เฒ่าฟางพูดขึ้น

 

 

 

 

พูดถึงมองไปข้างหน้า สีหน้าของนายหญิงใหญ่ฟางยิ่งโศกสลดขึ้นไปอีก

 

 

 

 

ลูกชายเพียงคนเดียวชีวิตไม่ยืน นางรู้สึกเพียงหนทางข้างนางมืดมนไปหมด

 

 

 

 

ในดวงตานายหญิงผู้เฒ่าฟางก็มีแววโศกเศร้าคับแค้นไหววูบผ่าน

 

 

 

 

“เมื่อไม่กี่วันก่อนมีข่าวว่าหมอเทวดาจางมาปรากฏตัวที่หลิ่งหนาน ข้าให้คนไปค้นหาแล้ว ขอเพียงหาหมอเทวดาจางพบ เฉิงอวี่ก็มีทางรอดแล้ว” นางกล่าวขึ้น

 

 

……………………………………….

 

 

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset