ช่วงเวลาสามวันผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ได้พักผ่อนไปถึงสามวันเต็มๆ ร่างกายของผู้คนทั้งหมดก็ได้ฟื้นคืนสู่สภาวะปกติที่สมบูรณ์แบบ
หลังจากที่ผ่านพ้นประสบการณ์ความเป็นตายในการทดสอบครั้งสุดท้ายมาได้ เหล่าลูกหลานของตระกูลผู้มั่งคั่งก็เริ่มทอประกายความองอาจขึ้นมาบ้างแล้ว
ถึงแม้ว่าจะไม่คมกล้าเท่าศาสตราวุธแห่งเทพ ทว่าอย่างน้อยก็ไม่ใช่เศษเหล็กชิ้นหนึ่งเฉกเช่นในวันแรกอีกแล้ว บางคนก็มีราศีของยอดฝีมือปรากฏขึ้นมา
เมื่อถึงเวลานัดหมายที่ลานกว้างของหมู่ตึกพลิกสวรรค์ก็ได้มีศิษย์นับพันคนมารวมตัวกัน จากลานกว้างขนาดหลายร้อยลี้ก็ได้คับแคบลงไปทันตา
ใจกลางลานกว้างแห่งนั้นมีรูปปั้นขนาดใหญ่ที่มีความสูงกว่าร้อยเซียะตั้งตระหง่านอยู่ รูปปั้นนั้นเป็นชายหนุ่มกำลังยืนอย่างองอาจ ในมือถือกระบี่ยาวที่ชี้ขึ้นไปสู่ท้องนภา พลังสภาวะขุมหนึ่งกระจายตัวออกมาจนสั่นสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วทั้งฟ้าดิน
กล่าวกันว่ารูปปั้นนี้เป็นปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักพลิกสวรรค์ และถูกจัดวางไว้ที่นี่นับตั้งแต่ก่อตั้งหมู่ตึกแห่งนี้ขึ้นมา และเมื่อเวลาผ่านพ้นไปเนิ่นนานแสนนานมาจนรูปปั่นเริ่มเก่าคร่ำครึ ทว่าบรรยากาศโดยรอบก็ยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความกล้าหาญ
ส่วนด้านล่างของรูปปั้นขนาดใหญ่นั้นก็มีศิษย์ที่สวมชุดคลุมยาวสีเขียวนับร้อยคนกำลังจดบันทึกบางอย่างอย่างวุ่นวาย ในหมู่พวกเขานั้นมีทั้งบุรุษและสตรีปะปนกันไป ทว่าโดยมากแล้วกลับเป็นสตรีอยู่มากกว่า
พวกนางทอสีหน้าขมุกขมัว แต่ละคนต่างก็รีบร้อนในการใช้เข็มขนาดเล็กเจาะไปที่ข้อพับแขนของเหล่าศิษย์ใหม่ที่มารายงานตัว หลังจากได้หยดโลหิตไปแล้ว พวกนางก็จะทำการบรรจุลงภายในหลอดสีทอง จากนั้นก็ทำการจดบันทึกบางอย่างเอาไว้
นี่เป็นหนึ่งในขั้นตอนของการลงทะเบียนเท่านั้น โดยการจดนาม เพศ อายุ และคุณสมบัติต่างๆ เอาไว้เบื้องต้น
ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งภายในลานกว้างก็ได้มีชายหนุ่มสองคนกำลังนั่งเล่นอยู่อย่างผ่อนคลาย หนึ่งในกำลังหรี่ตามองไปที่รูปปั้นแล้วกล่าวขึ้นมาว่า “กัวเหริน เจ้าแน่ใจนะว่าพวกเราจะเข้าไปเป็นคนสุดท้าย?”
กัวเหรินกล่าวขึ้นมาด้วยความเชื่อมั่นที่มีอยู่เต็มเปี่ยม “พี่ใหญ่โปรดเชื่อใจข้า การลงทะเบียนโดยการเก็บหยาดโลหิตนั้นต่างก็เป็นเหล่าผักปลาที่เพิ่งจะเข้ามาในปีนี้ทั้งสิ้น
การเก็บโลหิตบริสุทธิ์ของพวกเขาก็คล้ายกับการทดลองชนิดหนึ่ง ตามปกติแล้วจะต้องทำการเจาะอยู่หลายเข็มด้วยกันกว่าจะได้โลหิตบริสุทธิ์ออกมา
หากท่านไม่เชื่อก็ลองดูสีหน้าที่ตื่นเต้นของพวกเขาสิ แม้แต่มือก็ยังสั่นอยู่เลย หากพี่ใหญ่เชื่อข้าย่อมมีผลดีอย่างแน่นอน”
หลงเฉินเองก็ทราบดีว่าผู้คนเหล่านี้กำลังตื่นเต้นอยู่ ทว่านั่นก็เป็นเพียงการเจาะโลหิตเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องทำอยู่ดี ทว่าเพื่อที่เห็นแก่หน้าของกัวเหรินแล้ว หลงเฉินจึงไม่พูดพร่ำทำเพลงให้มากความ เพียงแต่เหม่อมองไปที่รูปปั้นนั้นอีกครั้ง
ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใดบนรูปปั้นนั้นทำให้เขารู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมา คล้ายกับมีพลังชีวิตอยู่เต็มไปหมด ถึงแม้ว่าจะเป็นความคิดที่น่าขำขัน ทว่าเขากลับแน่ใจเป็นอย่างยิ่งว่าจะต้องเป็นอย่างที่เขานึกคิด
“พี่ใหญ่ ผู้คนจากไปกันหมดแล้ว พวกเราเข้าไปกันเถิด”
หลงเฉินพยักหน้ารับ เมื่อครู่นี้เขายังเห็นว่ามีผู้คนอยู่อีกมากมาย อีกทั้งยังพบเห็นเงาร่างของเหร่ยเชียนซัง ชีซิ่ง และพวกพ้อง รวมไปถึงเหล่าผู้คนที่มีพลังสภาวะอันแข็งแกร่งอีกหลายคน
เขาได้ให้สัญญากับกัวเหรินไปก่อนหน้านี้แล้วว่าจะไม่มีเรื่องกับผู้อื่น ให้มองว่าเด็กน้อยกลุ่มนี้เป็นเพียงสุนัขบ้าที่ชอบเยาะเย้ยให้วุ่นวายฝูงหนึ่งเท่านั้น และแน่นอนว่าหลงเฉินก็ไม่อยากที่จะเปลืองน้ำลายไปกับคนเหล่านี้ให้อีกสี่เขตต้องมาหัวเราะเยาะเอา
หลังจากที่สังเกตการณ์มาได้ชั่วครู่หนึ่ง หลงเฉินก็เห็นว่ามีเด็กน้อยหลายคนที่มีพลังสภาวะอันแกร่งกล้าปรากฏตัวขึ้นมา เรียกได้ว่าไม่แตกต่างไปจากเหร่ยเชียนซังและชีซิ่งเลยก็ว่าได้
และเมื่อไม่กี่อึดใจที่ผ่านมาเหร่ยเชียนซังก็เกือบจะประมือกับคนผู้หนึ่งเข้าให้แล้ว อีกทั้งยังเป็นศิษย์สายตรงที่มีความทระนงตัวเฉกเช่นเดียวกันด้วย ทั้งสองคนต่างก็ไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย
ทว่าช่างน่าเสียดาย ในขณะที่พวกเขากำลังปะทุพลังกดดันอันรุนแรงขึ้นมาอยู่นั้นก็ได้มีศิษย์พี่รักษาการณ์เข้ามาคุ้มกันเอาไว้ หนึ่งในนั้นก็คือศิษย์พี่ว่านที่เขาเคยพบหน้ามาก่อนแล้วนั่นเอง
หลังจากที่ผู้คนโดยรอบต่างเดินลับหายไปจากจุดนั้นกันหมดแล้ว หลงเฉินและกัวเหรินก็ได้เยื้องย่างออกมาจากใต้ต้นไม้ใหญ่ ซึ่งประจวบเหมาะกับที่ศิษย์พี่ว่านเห็นหลงเฉินเข้าพอดี
“ไม่เลวเลย ข้าได้ยินวีรกรรมของเจ้าในการทดสอบมามากมายเลยทีเดียวเชียว”
“เหอะเหอะ ท้ายที่สุดก็ยังไม่อาจผ่านไปได้ ศิษย์พี่ว่านอย่าได้ขบขันผู้น้องไปเลย ต้องขออภัยด้วยที่ พวกเรามาช้า การรายงานตัวยังไม่เสร็จสิ้นใช่หรือไม่” หลงเฉินยิ้มตอบแล้วกล่าวขึ้นมา
ในความรู้สึกของหลงเฉินนั้นรับรู้ได้ว่าศิษย์พี่ว่านผู้นี้เป็นคนหัวโบราณ ไม่ชมชอบการพูดจาหยอกล้อกับผู้ใด อีกทั้งยังเป็นคนตรงไปตรงมาอย่างถึงที่สุด
“ยังไม่สายเกินไป ไปเถิด ข้าเองก็ต้องเลิกงานแล้ว” ศิษย์พี่ว่านถอนหายใจออกมาคำหนึ่งแล้วหันกายจากไปในทันที ทว่าก่อนหน้าที่จะจากไปนั้นก็คล้ายกับได้ทอประกายแววตาแปลกประหลาดขึ้นมาเป็นสาย
ทันใดนั้นเองหลงเฉินก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องนัก เมื่อเลื่อนสายตาไปมองยังจุดลงลงทะเบียนแล้ว เขาก็เห็นเด็กสาวสิบกว่าคนกำลังถูกศิษย์พี่หญิงผู้หนึ่งก่นด่าจนหูชา ใบหน้าสลดก้มลงมองพื้น ผู้ที่รอรับการลงทะเบียนก็ได้แต่จ้องมองไปที่พวกนางพร้อมกับควงพู่กันในมือด้วยความเบื่อหน่าย
“เช่นนั้นต้องขอรบกวนท่านด้วย อีกทั้งยังต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่งที่พวกเรามาช้า สามารถให้พวกเราลงทะเบียนได้หรือไม่?” กัวเหรินกล่าวด้วยวาจาอ่อนน้อม
คนผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมามองหลงเฉินและกัวเหรินด้วยความลิงโลดราวกับได้พบเจอกับผู้มีพระคุณของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นก็หันไปกล่าวกับคนที่อยู่ด้านหลังด้วยความยินดียกใหญ่ว่า “ผู้ที่ยังไม่ผ่านารทดสอบเมื่อครู่นี้จงมารีบใช้โอกาสนี้ซะ ตรงนี้ยังหลงเหลืออยู่อีกสองคน”
หลังจากที่ก้มหน้าก้มตาสำนึกผิดแทบจะไม่ทัน ทว่าเสียงเรียกนี้กลับเสมือนเสียงเรียกจากสรวงสวรรค์ ดวงตาที่สลดหดหู่ก็ได้สลายหายไปเมื่อหันมามองที่หลงเฉินและกัวเหริน
หลงเฉินและกัวเหรินเองก็ตกใจขึ้นมายกใหญ่ ดวงตาเหล่านั้นคล้ายกับแววตาของฝูงหมาป่าที่กำลังหิวกระหายอย่างไรอย่างนั้น อีกทั้งยังพร้อมที่จะเขมือบลูกแกะที่อวบอ้วนทั้งสองตัว……
หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูปดับ หลงเฉินและกัวเหรินก็เดินจากจุดนั้นมาด้วยแขนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรูพลุนคล้ายกับถูกยุงนับร้อยกัด
ตั้งแต่หลงเฉินเติบใหญ่มาจนตอนนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบเจอกับประสบการณ์อันโชกโชนเช่นนี้ อีกทั้งยังต้องมาพบเจอกับเหล่าสาวน้อยผู้น่าสงสาร มีหรือที่จะปฏิเสธไปได้ลงคอ
และผู้ดูแลการทดสอบก็ได้กล่าวขึ้นมาว่าหากมีฝีมือยังไม่ถึงขั้นที่นางพึงพอใจก็จะให้พวกนางกลับไปยังที่ที่เคยจากมา จนในที่สุดกลุ่มสาวน้อยเหล่านั้นก็ได้ทอแววตาอ้อนวอนมาที่หลงเฉินและกัวเหรินรจนต้องยอมศิโรราบแต่โดยดี ผลสุดท้ายก็คือรอยพรุนที่เต็มไปทั้งแขน
“กัวเหริน นี่คือแนวทางที่เจ้าเจอมาอย่างนั้นหรือ?” หลงเฉินสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามควบคุมไม่ให้ตัวเองตะเบ็งเสียงดังขึ้นมาด้วยความโมโห
“นี่มัน……พี่ใหญ่ ข้าว่าจะต้องมีบางอย่างผิดพลาดไปอย่างแน่นอน ครั้งหน้าข้าจะไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก” กัวเหรินลูบไปที่แขนของตัวเองด้วยท่าทางสลดหดหู่ เขาเองก็ไม่คิดว่าเรื่องราวจะกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
คิดไม่ถึงเลยว่าหมู่ตึกแห่งนี้จะกว้างขวางกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ เพียงแค่จะเข้ามายังใจกลางของลานกว้าง หลงเฉินและกัวเหรินถึงกับต้องวิ่งด้วยความเร็วสูงกว่าหนึ่งชั่วยามจึงจะมาถึง
หลังจากที่ผ่านช่วงเวลาอันแสนเลวร้ายมาได้ไม่นาน ที่เบื้องหน้าของพวกเขาก็มีขุมกำลังรวมตัวกันอยู่ เมื่อถังหว่านเอ๋อกวาดดวงตาคู่งามไปประสานเข้ากับเงาร่างสองร่างที่กำลังย่องเข้ามาอย่างเงียบเชียบจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามขึ้นมาด้วยโทสะว่า “พวกเจ้าทั้งสองคนไปเหลวไหลอยู่ที่ใดกันมา เหตุใดถึงเพิ่งจะเข้ามารวมตัว รีบไปเตรียมตัวซะ ใกล้จะถึงเวลาแจกวัตถุดิบแล้ว”
เมื่อสิ้นเสียงของถังหว่านเอ๋อ หลงเฉินจึงสังเกตเห็นว่าในมือของผู้คนมากมายต่างก็มีไหใบเล็กอยู่คนละหนึ่งใบ ไหเหล่านั้นมีขนาดใกล้เคียงกับไหสุรา
กัวเหรินรับไหจากถังหว่านเอ๋อมาถือไว้ ทว่าถังหว่านเอ๋อนั้นไม่ได้ส่งมอบให้กับหลงเฉิน จากนั้นเสียงดังเจื้อยแจ้วก็บอกกล่าวต่อหน้าขุมกำลังว่า “ภายในไหแต่ละใบนั้นบรรจุโลหิตบริสุทธิ์ของหมื่นสรรพสัตว์ คอยดูดซับโลหิตอันบริสุทธิ์เอาไว้ภายใน สรรพคุณก็คือการทำให้โลหิตภายในร่างกายของพวกเจ้าเพิ่มพูนยิ่งขึ้นอันจะช่วยเพิ่มโอกาสในการทะลวงพลังเข้าสู่อีกระดับ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเหล่าผู้คนภายในวงล้อมต่างก็เกิดอาการลิงโลดไปตามๆ กัน ดวงตาทุกคู่ทอประกายเจิดจ้ามองไปภายในไหที่อยู่ในมือ
พวกเขาล้วนแล้วแต่ต้องฝึกยุทธ์จนเข้าสู่ขอบเขตก่อโลหิตด้วยความยากลำบากเพื่อให้เพียงพอที่จะเข้ามาอยู่ภายในหมู่ตึกแห่งนี้ได้ โดยหวังว่าสักวันหนึ่งพวกเขาจะได้รับโลหิตบริสุทธิ์ของหมื่นสรรพสัตว์มาช่วยหนุนเสริม
ตามปกติแล้วผู้ฝึกยุทธ์จะแบ่งการเลื่อนระดับพลังเป็น: ขาดแคลน ด้อยคุณภาพ ไร้คุณภาพ และสมบูรณ์แบบ
ฉะนั้นโดยส่วนมากแล้วเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่มีการคงอยู่ในโลกหล้าแห่งนี้ต่างก็จัดอยู่ในระดับขาดแคลน ด้วยกันทั้งสิ้น เนื่องจากพวกเขามักจะไม่มีทรัพยากรอันล้ำค่าคอยเกื้อหนุนในการฝึกฝน
ส่วนระดับด้อยคุณภาพนั้นก็คือเหล่าลูกหลานของตระกูลผู้มั่งคั่งอันมีรากฐานฝีมือมาตั้งแต่กำเนิด ในช่วงเวลาที่ต้องทะลวงเข้าสู่ขอบเขตที่สูงขึ้นก็พบเจอเพียงอุปสรรคเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถึงแม้ว่าจะได้รับผลกระทบในการฝึกยุทธ์เช่นเดียวกัน ทว่าก็ยังดีกว่าระดับขาดแคลนเป็นอย่างมาก
ลำดับที่สามคือระดับไร้คุณภาพ เป็นระดับที่เหล่ายอดฝีมือได้วาดฝันที่จะเป็น เรียกได้ว่าเป็นมาตรฐานของพลังทั้งหมด อีกทั้งอันตรายที่มักจะเกิดขึ้นระหว่างที่เลื่อนระดับพลังนั้นก็แทบจะไม่มีให้เห็นเลย หรืออย่างมากก็เกิดขึ้นมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
และสุดท้ายก็คือระดับสมบูรณ์แบบ หรือคือการเลื่อนระดับที่ไม่หลงเหลือข้อบกพร่องเลย ทว่ากลับเป็นระดับที่ยากจะพบเจอและไม่อาจเอื้อมถึง มีเพียงผู้มีพรสวรรค์ระดับสัตว์ประหลาดเท่านั้นที่พอจะมีโชคได้พบพานบ้าง
ในสายตาของพวกเขาแค่อยู่ในระดับไร้คุณภาพก็ถือว่าสุดยอดอย่างถึงที่สุดแล้ว เพียงได้เลื่อนขึ้นไปสู่ระดับพลังนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาได้โบยบินประดุจขึ้นสวรรค์แล้ว ถึงแม้ว่าความหวังจะริบหรี่เป็นอย่างมากก็ตามที
“ส่วนศิษย์สายนอก ให้นำแผ่นป้ายประจำตัวของตัวเองไปยื่นที่หอพลิกสวรรค์เพื่อไปรับศิลาปราณคนละหนึ่งเม็ดกับอีกห้าร้อยผลคะแนน
ศิษย์สายในจะได้รับศิลาปราณสองเม็ดกับสองพันผลคะแนน และทุกๆ เดือนก็จะสามารถเข้าไปรับได้หนึ่งครั้ง สิ่งเหล่านี้ต่างก็เสมือนกับเบี้ยเลี้ยงของพวกเจ้าเอง
ส่วนคำถามที่ว่าศิลาปราณกับผลคะแนนนั้นมีไว้ใช้ทำอันใดนั้น เมื่อพวกเจ้ากลับไปถึงที่พักแล้ว ให้ไปดูป้ายประกาศที่กำแพงภายในห้องของตัวเองแล้วพวกเจ้าจะทราบทุกอย่าง
เอาล่ะ เวลาไม่คอยท่าแล้ว บัดนี้จงแยกย้ายกันไปแล้วรีบทะลวงระดับพลังให้สูงยิ่งขึ้นไปเสีย เพราะว่าอีกไม่นานหลังจากนี้จะมีการแข่งขันครั้งใหญ่เกิดขึ้น” ถังหว่านเอ๋อกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“หว่านเอ๋อเจี่ยเจี่ย เป็นการแข่งขันอันใดหรือ” หญิงสาวนางหนึ่งเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
ถังหว่านเอ๋อยิ้มตอบแล้วตอบกลับไปว่า “ข้ายังไม่อาจบอกได้ บอกได้แค่เพียงว่ายิ่งพลังฝีมือของพวกเจ้าสูงมากเพียงใดก็จะยิ่งทำให้พวกเราได้รับทรัพยากรมากขึ้นไปเท่านั้น
ในทางกลับกัน หากพลังฝีมือยังไม่มากพอก็จะถูกข่มเหงจากขุมกำลังอื่น ฉะนั้นจงแข็งแกร่งขึ้น และพยายามให้เต็มที่มากที่สุด”
หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันกลับไปที่ถ้ำเพื่อทำการฝึกยุทธ์แล้ว หลงเหลือเพียงถังหว่านเอ๋อที่เหม่อมองออกไปยังพื้นที่ที่ว่างเปล่า เสียงอันแผ่วเบากล่าวต่อหลงเฉินว่า “เพราะเหตุใดคำพูดที่ข้าได้กล่าวออกมานั้นกลับไม่อาจปลุกปั้นขวัญกำลังใจแก้พวกเขาได้เช่นเจ้า?”
ถังหว่านเอ๋อจำได้ดีว่าเมื่อในครั้งนั้นหลงเฉินกล่าวออกมาไม่กี่ประโยคก็ทำให้โลหิตภายในร่างกายของผู้คนร้อนระอุขึ้นมาอย่างรุนแรงได้แล้ว แม้แต่ความหวาดกลัวที่จะต้องไปเผชิญกับความตายก็ได้มลายหายไปจนหมดสิ้น
เดิมทีนางหวังจะสร้างขวัญกำลังใจแก่ขุมกำลังขึ้นมาเหมือนกับครั้งก่อน ทว่าเมื่อได้ลองทำแล้วกลับไม่บังเกิดผลลัพธ์เช่นเดิม ภายในจิตใจจึงเกิดความรู้สึกผิดหวังปนอึดอัดจนทำให้ผู้คนเกิดความเครียดตามไปด้วย
หลงเฉินหัวเราะฮาฮาแล้วกล่าวว่า “นั่นก็เพราะว่าหนังหน้าของเจ้ายังไม่หนาพอกระมัง ดื่มสุรายังไม่ทันไรก็หน้าแดงก่ำจนญาติมิตรจำไม่ได้ ต่อให้คุยโตโอ้อวดไปแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่เชื่อ หนุ่มสาวเช่นเจ้ามุ่งมั่นฝึกยุทธ์ต่อไปจะดีกว่า”
ถังหว่านเอ๋อจ้องเขม็งไปยังหลงเฉินที่กำลังภาคภูมิใจในตัวเอง “หัวเราะเยาะไปเถิด หากไม่ต้องการโลหิตบริสุทธิ์ของหมื่นสรรพสัตว์ระดับสูงสุดแล้วก็จงหัวเราะให้ตายไปตรงนี้เลย ข้ากลับล่ะ”
ทันทีที่กล่าวจบ ถังหว่านเอ๋อก็ย่ำฝีเท้าเสียงดังตึงตึงเข้าไปในถ้ำทันที หลงเหลือเพียงชิงยวูที่อมยิ้มน้อยๆ กับหลงเฉินที่ตะลึงลานอยู่
“โลหิตบริสุทธิ์ของหมื่นสรรพสัตว์ระดับสูงสุดอย่างนั้นหรือ?”
ทันใดนั้นเองหลงเฉินก็มีปฏิกิริยากลับคืนมา พลันก็รีบเร่งฝีเท้าติดตามเข้าไปอย่างรวดเร็ว