ณ จุดสูงสูงของหมู่ตึกมีสิ่งปลูกสร้างที่คล้ายกับถ้ำแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ เป็นสถานที่ที่สามารถมองเห็นพื้นที่ทุกมุมของหมู่ตึกแห่งสำนักพลิกสวรรค์
ภายในถ้ำแห่งนั้นมีถู่ฟางกำลังยกมือขึ้นคารวะชายหนุ่มผู้หนึ่งอย่างนอบน้อม “ท่านเจ้าสำนัก”
หลิงหวินจื่อที่ยืนเหม่อมองไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้าก็เอ่ยถามกลับไปว่า “ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
“สถานการณ์โดยทั่วไปเป็นปกติดี อีกทั้งยังเป็นไปตามที่พวกเราได้คาดการณ์เอาไว้ ในปีนี้มีศิษย์สายตรงทั้งหมดสิบเจ็ดคน” ถู่ฟางเองก็ได้กล่าวขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
โดยปกติแล้วในทุกปีทางหมู่ตึกจะมีคนที่ผ่านด่านการทดสอบเพื่อเป็นศิษย์สายตรงเพียงสองสามคนเท่านั้น ทว่าในครั้งนี้กลับมีจำนวนมากที่สุดในประวัติกาล อีกทั้งยังมากมายจนเป็นที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียว
“มีอยู่สี่คนที่สามารถปลุกสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลขึ้นมาได้” ถู่ฟางกล่าวเสริมขึ้นมา
“ออ เป็นข่าวดีเลยทีเดียว” หลิงหวินจื่อทอดวงตาเป็นประกายเจิดจ้าขึ้นมา
การตื่นของสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลจะทำให้ยอดฝีมือผู้นั้นมีพลังการฝึกยุทธ์ที่สูงล้ำอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งยังจะกลายเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะตลอดชั่วชีวิตที่เดินตามเส้นทางแห่งวรยุทธ์
“แล้วหลงเฉินผู้นั้นเป็นอย่างไรบ้าง?” หลิงหวินจื่อเอ่ยถามขึ้นมา
ถู่ฟางยิ้มอย่างขมขื่นแล้วตอบกลับไปว่า “หากให้ข้าอธิบายออกมา เกรงว่าจะเป็นสิ่งที่ ‘น่ากลัว’ เป็นอย่างยิ่ง”
ทันทีที่กล่าวจบในมืออันเ**่ยวย่นของถู่ฟางก็มีป้ายหยกปรากฏขึ้นมาชิ้นหนึ่ง เฒ่าชราไหลเวียนพลังลมปราณเข้าไปจนปรากฏเป็นฉากการต่อสู้ของหลงเฉินและกุ่ยซาขึ้นมา
หลังจากที่ศึกการต่อสู้ของหลงเฉินและกุ่ยซาจบลงไป ก็เลื่อนไปเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้านหน้าหอพลิกสวรรค์ ซึ่งก็คือการเปิดศึกระหว่างหลงเฉินและสภาผู้คุมกฎนั่นเอง
หลิงหวินจื่อพยักหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าวขึ้นมาอย่างกระอักกระอ่วนว่า “ใช้คำว่า ‘น่ากลัว’ มาอธิบายเหตุการณ์เหล่านี้ย่อมไม่ผิดเลย หลงเฉินผู้นี้เป็นการคงอยู่ตามที่ตำนานได้เล่าขานเอาไว้ไม่มีผิด ในภายภาคหน้าเขาจะต้องกลายเป็นยอดฝีมือที่ไร้ซึ่งผู้ต้านได้อย่างแน่นอน แม้ว่าในขณะนี้ยังไม่อาจทะลวงพลังขึ้นไปได้ ทว่าก็ยังสามารถอยู่เหนือกว่าผู้คนที่อยู่ในระดับเดียวกัน แค่กแค่ก……”
จู่จู่หลิงหวินจื่อก็ไอติดต่อกันเป็นสาย จากนั้นที่มุมปากของเขาก็ได้มีหยาดโลหิตไหลรินออกมา
“ท่านเจ้าสำนัก……” ถู่ฟางร้องเสียงหลงขึ้นมาด้วยความตื่นตกใจอย่างถึงที่สุด
“ช่างเถิด ข้าคงจะดูแคลนการลงทัณฑ์แห่งวิถีสวรรค์มากจนเกินไป หึหึ ทว่าทั้งหมดที่ได้กลับคืนมาถือว่าคุ้มค่ายิ่งนัก” หลิงหวินจื่อยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าว แววตาของชายหนุ่มปรากฏประกายความภาคภูมิใจขึ้นมาเป็นสาย เพราะนับตั้งแต่โบราณกาลมาแล้วคงจะมีเพียงเขาผู้เดียวเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเพียงพอในการยืนยันการคงอยู่ของอี้ซู่ผู้หนึ่ง
ภายในจิตใจของถู่ฟางเกิดความหวาดกลัวอย่างไม่เสื่อมคลาย หลิงหวินจื่อผู้นี้สามารถเข้าสู่ขอบเขตก่อฟ้าได้แล้ว ทว่าเพียงแค่จะประเมินสถานภาพของหลงเฉินว่าเป็นสิ่งที่เรียกว่า “อี้ซู่*” หรือไม่นั้นถึงถูกลงทัณฑ์จากสวรรค์อย่างหนักหน่วง ช่างน่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว
*อี้ซู่ = ผู้พิสดารแห่งฟ้าดิน
“ท่านจ้าวสำนัก ข้ามีเรื่องหนึ่งที่กำลังเป็นห่วงอย่างยิ่ง” ถู่ฟางกล่าว
“เรื่องอันใดกัน?” หลิงหวินจื่อถามกลับไป
“ข้ารู้สึกว่าผู้อาวุโสซุนเกิดจิตใจที่ไม่เป็นเหตุและผล คล้ายกับกำลังเกิดความละโมบขึ้นมา ซึ่งข้าไม่ทราบว่าสมควรจะจัดการกับเขาอย่างไรดี
เพราะถึงอย่างไรผู้อาวุโสซุนก็อยู่กับหมู่ตึกมามากกว่าร้อยปีแล้ว อีกทั้งยังเป็นยอดฝีมือรุ่นบุกเบิกของพวกเรา เข้าร่วมการต่อสู้ครั้งใหญ่ร่วมกันมานับครั้งไม่ถ้วน เขาได้ทำความดีความชอบมากมายให้แก่หมู่ตึก……” ถู่ฟางถอนหายใจแล้วกล่าวออกมาด้วยความหดหู่
“เจ้าต้องการจะบอกกันใดกับข้า?” หลิงหวินจื่อยิ้มแล้วถามกลับไป
“ข้าต้องการจะสื่อว่าเหตุใดเขาถึงได้เกิดจิตอกุศลต่อหลงเฉิน ข้าไม่ทราบว่าสมควรที่จะไปห้ามปราบเขาหรือไม่?“ ถู่ฟางเอื้อนเอ่ยออกไปอย่างลังเลใจ
“แล้วเหตุใดจะต้องไปห้ามปราม?” หลิงหวินจื่อถาม
“อา? ถ้าหากไม่ห้าม หลงเฉินก็คง……”
“ไม่จำเป็น เจ้าแค่ทำตามหน้าที่ของเจ้าให้ดีก็พอแล้ว เรื่องราวทั้งหมดปล่อยให้เป็นไปตามทางของมันเถิด” หลิงหวินจื่กล่าว
“ทว่าหากปล่อยไปเช่นนี้จะไม่ใช่เป็นการสร้างความอยุติธรรมต่อหลงเฉินอย่างนั้นหรือ” ถู่ฟางกล่าวด้วยความลำบาก เพราะเขาเองก็ถือว่าเป็นคนที่มีความเป็นธรรมผู้หนึ่ง แน่นอนว่าย่อมไม่อาจปล่อยให้เรื่องสกปรกโสมมเช่นนี้เกิดขึ้นมาได้
“ถู่ฟาง เจ้าทราบหรือไม่? สุดยอดฝีมือผู้หนึ่งจะกลายเป็นยอดฝีมือที่แท้จริงได้นั้น คนผู้นั้นและสิ่งของอย่างหนึ่งย่อมไม่อาจแยกจากกันได้” หลิงหวินจื่อกล่าว
ถู่ฟางทอสีหน้าประหลาดใจแล้วถามขึ้นมาว่า “สิ่งของอันใดกัน?”
“หินลับมีด” หลิงหวินจื่อเหม่อมองออกไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้าแล้วกล่าวคำทั้งสามคำออกมาช้าๆ
ถู่ฟางเบิกดวงตาโพลงโตขึ้นทันทีที่เข้าใจความหมายของหลิงหวินจื่อ ทว่าก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนแล้วตอบกลับไปว่า “หากข้ามองในมุมของหลงเฉินแล้ว หินลับมีดชิ้นนี้คงจะใหญ่และหนักเกินไปหน่อย”
“ถู่ฟาง ข้าเข้าใจว่าเจ้าชมชอบเด็กน้อยหลงเฉินผู้นั้นเป็นอย่างยิ่ง เพราะในตัวของเขามีคุณลักษณะที่ทำให้ผู้คนรู้สึกศรัทธากับเสน่ห์ที่ทำให้ผู้คนอยากติดตาม
ทว่าโชคชะตาของเขานั้นต่างจากคนอื่นๆ มาก เรียกได้ว่าเป็นเส้นทางที่ผิดแผกจากปกติไปมาก เส้นทางเช่นนี้ หากไม่ทำลายวิถีสวรรค์หรือลบล้างวิถีแผ่นดินก็ต้องโค่นล้มไปทั้งใต้หล้าแห่งนี้ให้ราบคาบ
หากเจ้าปรารถนาให้เขาได้ดีก็อย่าได้สอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวเส้นทางของเขาอีก การปล่อยวางถือเป็นการช่วยเหลือที่ดีที่สุดแล้ว อีกทั้งยังเป็นการป้องกันผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิดที่จะตามมาอีกด้วย”
โค่นล้มไปทั้งใต้หล้าอย่างนั้นหรือ? จู่จู่ภายในจิตใจของถู่ฟางก็เกิดอาการร้อนรนขึ้นมาอย่างถึงที่สุด ในขณะเดียวกันความรู้สึกหวาดกลัวก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จึงอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองท้องฟ้าสีครามด้วยความรู้สึกยากจะบรรยายชนิดหนึ่ง
“ไม่ผิด เจ้ากำลังตอบสนองต่อวิถีสวรรค์มากยิ่งขึ้นแล้ว ดูเหมือนว่าในเร็ววันนี้เจ้าคงจะสามารถเข้าสู่ขอบเขตก่อฟ้าได้ ช่างน่ายินดียิ่งนัก” หลิงหวินจื่อยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าว
“ขอบคุณท่านจ้าวสำนัก ถู่ฟางเข้าใจแล้วว่าสมควรจะทำอย่างไรต่อไป” ถู่ฟางกล่าวพร้อมกับโค้งคารวะ
หลิงหวินจื่อพยักหน้ารับ แล้วเบือนสายตาเหม่อมองออกไปบังทิวทัศน์เบื้องหน้า ภายในจิตใจก็เกิดความคิด: เพียงพยากรณ์ได้ว่ามีการคงอยู่ของอี้ซู่ได้ก็ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งแล้ว
……
หลังจากที่ถู่ฟางจากไปแล้ว หลงเฉินก็รู้สึกว่ากำลังถูกจับตามองมาจากที่ห่างไกลจนรู้สึกไม่สบายใจ ทว่าก็ปล่อยวางแล้วเข้าไปภายในหอพลิกสวรรค์พร้อมกับถังหว่านเอ๋อ
“พี่หลง ช้าก่อน”
ทันใดนั้นก็เสียงฝีเท้าของคนสองคนวิ่งตามหลังมา บนร่างกายของพวกเขามีบรรยากาศของพลังสภาวะที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมากอยู่จนทำให้ผู้คนรอบข้างไม่กล้าเฉียดเดินเข้ามาใกล้พวกเขามากนัก
เนื่องจากทุกคนในสถานที่แห่งนี้ต่างก็เพิ่งจะเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นกันได้ บนร่างกายของพวกเขาจึงปะทุพลังสภาวะขึ้นมาอย่างรุนแรงจนยากที่จะควบคุมเอาไว้ได้จึงได้แต่ปล่อยให้แผ่กระจายออกมาทุกสารทิศเฉกเช่นนี้
หลงเฉินหันกลับไปด้วยใบหน้ายุ่งเหยิง คงไม่คิดจะหาเรื่องทะเลาะวิวาทอีกครั้งหนึ่งหรอกนะ? จะไม่เหลือเวลาให้พักผ่อนบ้างเลยหรืออย่างไรกัน?
“พี่หลง อย่าเพิ่งเข้าใจพวกเราผิดไป เมื่อครู่นี้พวกเราได้เห็นพลังมหาศาลที่ไร้ผู้ต้านของพี่หลง จึงเกิดความนับถือเป็นอย่างยิ่ง พวกเราจึงอยากจะทำความรู้จักกับพี่หลงให้มากขึ้นก็เท่านั้น” ชายหนุ่มที่มีคิ้วสีเข้มกล่าวขึ้นมาอย่างรีบร้อน
ส่วนชายหนุ่มที่อยู่ข้างกายนั้นมีร่างกายซูบผอมคล้ายกับคนอ่อนแอ ทว่าบรรยากาศบนร่างกายกลับน่าเกรงขามสมเป็นชายชาตรี “โดยเฉพาะความหาญกล้าที่ไม่เกรงกลัวต่อฟ้าดินของพี่หลงช่างทำให้ผู้น้องนับถือจนหมดใจ
ถึงแม้ว่าภายในหมู่ตึกแห่งนี้จะมีแต่การแก่งแย่งชิงดีกันมาหมาย อีกทั้งยังช้าเกินไปที่พวกเราจะได้เป็นมิตรสหายที่ดีต่อกัน ทว่าแม้ว่าจะไม่ได้เป็นสหายก็ขอเพียงมีคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเช่นท่านอยู่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อยแล้ว”
ถึงแม้ว่าชายหนุ่มผู้นี้จะมีร่างกายผอมบางและดูไรเรี่ยวแรง ทว่าวาจาและท่าทางของเขากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความห้าวหาญจนทำให้ผู้คนยอมรับได้ไม่น้อย
หลงเฉินยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า “พวกท่านยกย่องผู้น้องเกินไปแล้ว หากไม่ได้ท่านผู้อาวุโสถู่ฟางเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย ผู้น้องก็คงจะถูกขับไล่ประดุจสุนัขไปแล้ว”
ชายหนุ่มทั้งสองคนส่งเสียงหัวเราะฮาฮาออกมา หลงเฉินผู้นี้มีพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งเป็นล้นพ้น แม้แต่คำพูดคำจาก็ยังไม่ด้อยไปกว่ากันเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังไม่ได้มีทีท่าหยิ่งยโสโอหังหรือแส่หาเรื่องผู้คนเฉกเช่นที่พบเจอมาจึงทำให้พวกเขาเกิดความรู้สึกสบายใจขึ้นมาไม่น้อยเลย
“ขอแนะนำตัว ข้ามีนามว่าซ่งหมิงเหยียน ส่วนเขามีนามว่าหลี่ฉี” ชายหนุ่มที่มีคิ้วสีเข้มกล่าวขึ้นมา
หลงเฉินยิ้มตอบ “ส่วนของข้านั้นคงจะไม่ต้องกล่าววาจาอันใดให้ยืดยาว พวกท่านก็คงจะทราบกันดีอยู่แล้ว”
ซ่งหมิงเหยียนกับหลี่ฉีส่งเสียงหัวเราะฮาฮาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง วาจาของหลงเฉินผู้นี้ระรื่นหูและน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ขันอย่างไม่สูญเสียท่าทีน่าเกรงขามอีกด้วย
“ทว่าข้าจะขอแนะนำผู้ยิ่งใหญ่ให้พวกท่านได้รู้จักเสียหน่อย ท่านผู้นี้คือหัวเต่าพรรคฟ้าดินของพวกเรา……เอ๊ะ หัวหน้าพรรคฟ้าดิน ผู้เป็นสุดยอดสาวงามอันดับหนึ่งแห่งบู้ลิ้ม คุณหนูถังหว่านเอ๋อ”
ในขณะที่หลงเฉินกำลังแนะนำถังหว่านเอ๋อไปได้ครึ่งทาง ปากก็เกือบหลุดคำว่าหัวเต่าออกไป ทว่ายังดีที่แก้ไขกลับคืนได้ทัน
ถังหว่านเอ๋อทอสีหน้าแดงก่ำแล้วทักทายคนแปลกหน้าเหล่านั้น แม้ว่านางจะมีความชำนาญในด้านนี้เป็นอย่างมาก ทว่าก็ยังเกิดความเคอะเขินอยู่ไม่น้อยเลย “ยินดีที่ได้พบพวกท่านทั้งสอง”
“ความงดงามของคุณหนูถังหว่านเอ๋อนั้นช่างสมคำล่ำลือเสียจริงเชียว และในการทดสอบที่ผ่านมาก็ยังปลุกสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลขึ้นมาได้ ช่างน่านับถือจับใจ” หลี่ฉีตอบกลับไปด้วยความเกรงอกเกรงใจอย่างถึงที่สุด
พวกเขาทั้งสองคนไม่เคยทราบเลยว่าหญิงสาวนางนี้คือผู้ใดในการต่อสู้เมื่อครั้งก่อน ทว่าทันทีที่นางใช้คมวายุขนาดใหญ่ออกมาเพื่อต่อกรกับผู้คุมกฎ พวกเขาจึงจดจำขึ้นมาได้ทันทีว่านางจะต้องเป็นถังหว่านเอ๋ออย่างแน่นอน
“คุณหนูถังหว่านเอ๋อ เมื่อมีพี่หลงค่อยช่วยเหลือแล้ว พรรคฟ้าดินของท่านคงจะต้องกลายเป็นขุมกำลังชั้นแนวหน้าได้อย่างแน่นอน” ซ่งหมิงเหยียนกล่าว
หลงเฉินและถังหว่านเอ๋อจึงได้สนทนากับชายหนุ่มทั้งสองคนอยู่พักหนึ่ง จึงพอจะทราบว่าขุมกำลังของซ่งหมิงเหยียนนั้นมีชื่อว่าพรรคพี่น้อง และขุมกำลังของหลี่ฉีนั้นมีชื่อว่าพรรคหอเมฆาขาว
การคุยกันเป็นไปอย่างราบรื่น ต่างฝ่ายต่างก็สอบถึงสถานที่ที่อีกฝ่ายจากมา หากว่ามีโอกาสจะได้ไปเยี่ยมเยือนดูสักครั้งหนึ่ง อีกทั้งชายหนุ่มทั้งสองคนยังนัดหมายกับหลงเฉินว่าจะไปร่ำสุราร่วมกันในยามว่างอีกด้วย
หลังจากสนทนากันอยู่หลายประโยค หลี่ฉีก็ส่งสายตาเป็นเชิงเข้าใจกันเอง จากนั้นก็ได้หยิบยกข้ออ้างว่าพวกเขามีเรื่องที่จะต้องไปจัดการจึงขอกลับก่อน จากนั้นทั้งซ่งหมิงเหยียนและหลี่ฉีก็เดินจากไป เพราะว่าพวกเขาทั้งสองได้รับสวัสดิการของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าไปด้านในอีก
หลังจากที่ชายหนุ่มทั้งสองคนจากไปแล้ว หลงเฉินและถังหว่านเอ๋อจึงเดินเข้าไปในหอพลิกสวรรค์ทันที เมื่อเขามาถึงหอพลิกสวรรค์ หลงเฉินก็เกิดอาการแตกตื่นตกใจขึ้นมา เพราะว่าภายในหอแห่งนี้กว้างขวางยิ่งกว่าที่เห็นจากภายนอกเป็นอย่างยิ่ง
หลงเฉินเดินผ่านประตูใหญ่เข้ามา เบื้องหน้ามีบันไดดิ่งเป็นเส้นทางตรงยาวลงไปทางด้านล่าง ภายในโถงขนาดใหญ่แห่งนี้ก็เนืองแน่นไปด้วยผู้คนมากมายที่กำลังเข้าแถวเรียงกันอยู่ สายตาทุกคู่ให้ความสนใจไปที่คนจดบันทึกที่นั่งอยู่หน้าสุด นั่นคงจะเป็นจุดที่แจกสวัสดิการอย่างไม่ต้องสงสัย
หลงเฉินกวาดสายตามองไปโดยรอบแล้วก็พบว่าบริเวณที่ห่างไกลออกไปไม่มากได้มีโต๊ะตัวหนึ่งตั้งอยู่ในลักษณะเดียวกัน ทว่ากลับไม่มีผู้คนให้ความสนใจเลยแม้แต่คนเดียว มีเพียงหญิงสาวนางหนึ่งกำลังนั่งเฝ้าอยู่อย่างเงียบเชียบ
หลงเฉินและถังหว่านเอ๋อจึงมุ่งตรงสู่โต๊ะยาวตัวนั้น ถังหว่านเอ๋อยื่นแผ่นป้ายประจำตัวให้หญิงสาวผู้นั้นแล้วถามออกไปว่า “เจี่ยเจี่ย นี่ใช่จุดที่รับสวัสดิการหรือไม่?”
หญิงสาวผู้นั้นรับแผ่นป้ายประจำตัวไปแล้วสำรวจอยู่ครู่หนึ่ง พลันก็รีบพยักหน้าแล้วตอบกลับขึ้นมาว่า “ใช่แล้ว หากเป็นไปตามกฎของหมู่ตึก เจ้าจะได้รับหินปราณทั้งหมดหนึ่งร้อยก้อนกับอีกห้าหมื่นคะแนน
และในส่วนที่เจ้าเป็นหัวหน้าขุมกำลังก็จะได้รับสวัสดิการอีกสิบหมื่นคะแนน รวมทั้งหมดแล้วก็คือสิบห้าหมื่นคะแนนกับหินปราณอีกหนึ่งร้อยก้อนนั่นเอง”
หลงเฉินทอสีหน้าปากอ้าตาค้างราวกับสามารถยัดไข่ห่านทั้งลูกเข้าไปได้ นี่ช่างไม่เป็นธรรมเอาเสียเลย ในหนึ่งเดือนของศิษย์สายนอกผู้หนึ่งกลับได้รับสวัสดิการเพียงหินปราณหนึ่งก้อนกับอีกห้าร้อยคะแนนเท่านั้น
ส่วนศิษย์สายในจะได้รับหินปราณสามก้อนกับอีกสองหมื่นคะแนน ทว่าศิษย์สายตรงกลับได้รับหินปราณหนึ่งร้อยก้อนกับอีกห้าหมื่นคะแนนเป็นสวัสดิการอย่างนั้นเลยหรือ? ช่างแตกต่างกันอยางเห็นได้ชัดจนเกินไปแล้วกระมัง
ถึงแม้ว่าจะไม่ทราบว่าคะแนนเหล่านั้นมีไว้เพื่อการใด ทว่าหลงเฉินก็พอที่จะคาดเดาได้ว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ใช้แทนเงินตราในสถานที่แห่งนี้ จึงไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดถังหว่านเอ๋อถึงพยายามให้เขาไปช่วงชิงแผ่นป้ายของศิษย์สายตรงอย่างไม่คิดชีวิต นี่ก็คือคำตอบของความพยายามทั้งหมดในวันนั้นนั่นเอง
ในขณะเดียวกันภายในห้วงความสมองของหลงเฉินก็เกิดความคิดอันว้าวุ่นขึ้นมาไม่หยุด อยากจะด่าทอไปถึงบรรพบุรุษของกุ่ยซาขึ้นไปอีกสิบแปดชั่วโคตรอีกสักรอบหนึ่ง เจ้าตัวบัดซบผู้นั้นช่างชั่วร้ายจนเกินจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้แล้ว
ถังหว่านเอ๋อรับหินปราณมาเก็บเอาไว้ในถุงอย่างรวดเร็ว ภายในนั้นจึงอัดแน่นด้วยหินปราณหลากหลายสีสันทั้งหมดหนึ่งร้อยก้อนพอดิบพอดี
สิ่งที่เรียกกันว่าหินปราณนั้นเป็นสิ่งของล้ำค่าหายาก มีเพียงบางพื้นที่ที่อยู่มานานนับหลายสิบหมื่นปีเท่านั้นจึงจะสามารถก่อเกิดเป็นพลังปราณที่อัดแน่นอยู่อย่างเต็มเปี่ยมเช่นนี้ได้ อีกทั้งยังเป็นพลังปราณที่มีความน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง หากอยู่ในดินแดนภายนอกต่างก็เป็นเสมือนสมบัติอันล้ำค่าที่ไร้สิ่งใดมาเปรียบ
หลังจากที่เก็บใส่ถุงจนครบแล้ว ถังหว่านเอ๋อก็เก็บถุงหินปราณเข้าไปในแหวนมิติด้วยอาการลิงโลด และทันใดนั้นเองที่รอบบุบตรงกลางแผ่นป้ายประจำตัวของนางก็ได้ทอเป็นประกายเจิดจ้าขึ้นมาประดุจเรืองแสงได้ จากนั้นด้านบนก็มีตัวอักษรหลายตัวเคลื่อนไหวไปมา
แผ่นป้ายได้ทอประกายแสงขึ้นมาเพื่อเป็นการยืนยันว่าได้บรรจุแต้มคะแนนลงไปแล้ว ช่างคล้ายคลึงกับบัตรหยกที่ใช้ในดินแดนภายนอกเป็นอย่างมาก
“เจี่ยเจี่ย ข้าขอรับสวัสดิการของข้าเองด้วย ขอบคุณ” หลงเฉินยื่นแผ่นป้ายประจำตัวของเขาออกไปด้วยความเกรงอกเกรงใจ
หญิงสาวมองมาที่หลงเฉินด้วยสายตาเย็นชาแล้วกล่าวว่า “ตรงนี้สำหรับศิษย์สายตรง สวัสดิการของเจ้าต้องไปต่อแถวทางด้านนั้น”
หลงเฉินเกิดความรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมากลางหน้าอก ดวงตาคู่คมจ้องมองไปยังแถวที่ยาวเหยียดจนไม่เห็นหางแถว ภายในห้วงสมองก็ได้คิดหาวิธีที่จะตีสนิทชิดเชื้อกับหญิงสาวผู้นี้ดูเผื่อว่าจะสามารถหาทางลัดได้บ้าง ทว่าผลสุดท้ายนางกลับไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังเริ่มหลับตาเพื่อพักผ่อนอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อเห็นเช่นนั้นถังหว่านเอ๋อก็อมยิ้มขึ้นมาจนทำให้หลงเฉินฉุนขาดจนกรอกตาขาวไปมา ช่างเป็นเรื่องที่น่าอับอายยิ่งนัก แม้จะเกิดโทสะขึ้นมายกใหญ่ทว่าเขาก็ได้แต่ปลงแล้วเดินไปต่อแถวอย่างว่าง่าย
เวลาล่วงเลยผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดหลงเฉินก็ได้รับสวัสดิการของตัวเอง จากนั้นพวกเขาก็ลงไปตามบันไดเพื่อลงไปชั้นล่าง ซึ่งที่ตรงนั้นเป็นสถานที่สำหรับแลกเปลี่ยนสิ่งของอีกจุดหนึ่งนั่นเอง
ทว่าในขณะที่กำลังเดินลงบันไดไปที่ขั้นสุดท้าย หลงเฉินก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาจึงอดเกิดอาการดีใจเป็นไม่ได้