เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 19 ของเหลวบำรุงใบหน้า

ณ ตำหนักแห่งหนึ่งในพระราชวังหลวง ชายหนุ่มผู้หนึ่งที่มีอายุราวยี่สิบกว่ากำลังนั่งฟังคำรายงานของหมานฮวง เขาสวมชุดยาวสีเหลืองทองอร่ามพร้อมด้วยมงกุฎแวววาวระยิบระยับ

“ในครั้งนี้เรื่องราวเกิดขึ้นอย่างกะทันหันยิ่งนัก ข้าน้อยไม่อาจตั้งตัวได้ทัน จึงได้ขอเข้าเฝ้าองค์ชายสี่ ขอองค์ชายสี่โปรดลงโทษในความโง่เขลาของข้าน้อยด้วย” ขุนนางหมานฮวงกล่าวออกมา

ชายหนุ่มผู้นั้นมีนามว่าองค์ชายสี่ฉู่เซี่ย ผู้ที่มีใบหน้าอันหล่อเหลา เขาเป็นองค์ชายที่ต่างจากองค์ชายคนอื่นๆ ทั่วไป เป็นเพียงผู้ที่เกิดมาจากนางสนมนางหนึ่งเท่านั้น

ถึงแม้ว่าเขาจะมีบรรดาศักดิ์เป็นองค์ชายเช่นเดียวกับองค์ชายคนอื่น แต่ว่าอำนาจหรือฐานะกลับแตกต่างกันอย่างลิบลับ แต่ด้วยบุคลิกของเขาที่เป็นคนค่อนข้างจะเก็บตัว ไม่ออกสังคม และไม่ค่อยสุงสิงกับผู้ใด ในหมู่องค์ชายทั้งหมดจึงถือได้ว่าเขานั้นเป็นคนที่มีนิสัยดีที่สุด

ในบรรดาขุนนางทั้งหมดที่รับใช้จักรวรรดิต่างก็มีความเห็นเป็นหนึ่งเดียวกันว่าองค์ชายสี่มีคุณสมบัติที่เพียบพร้อมที่สุดที่จะสืบทอดราชบัลลังต่อไป แต่น่าเสียดายที่องค์ชายสี่กลับไม่ได้ถือกำเนิดจากไทเฮา

องค์ชายสี่ฉู่เซี่ยพยักหน้าเล็กน้อยแล้วตอบ “เจ้าทำถูกต้องแล้ว แต่ที่หลงเฉินผู้นั้นได้สำเร็จเป็นผู้หลอมโอสถได้อย่างกะทันหันเช่นนี้กลับทำให้ข้ารู้สึกตกใจเสียมากกว่า”

“ขอรับ ชั่วขณะนั้นที่ข้าน้อยได้เห็นแผ่นป้ายนั้น ก็ยังไม่อยากจะเชื่อสายตาของตนเองเช่นกันว่าเจ้าคนไร้ประโยชน์ที่อ่อนแอกลับสำเร็จจนกลายเป็นผู้หลอมโอสถได้ เหนือความคาดหมายเสียจริง” ขุนนางหมานฮวงได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างไม่อาจเชื่อในสิ่งที่ได้ประสบมาแม้จนถึงตอนนี้ก็ตาม

“น่าสนใจดี หลังจากที่หลงเฉินถูกลูกชายของเจ้าทำร้ายจนบาดเจ็บอย่างสาหัสสากรรจ์แล้ว คล้ายจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างไรอย่างนั้น คาดไม่ถึงเลยว่าจะร้ายกาจขึ้นมาได้ถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังสามารถสังหารยอดฝีมือที่อีกครึ่งก้าวจะเข้าสู่ระดับพลังก่อโลหิตได้อีกด้วย เกรงว่าสิ่งนี้คงพอที่จะเป็นคำตอบได้แล้ว” องค์ชายสี่ยันกายลุกขึ้นมาแล้วเดินกลับไปกลับมาอยู่หลายก้าว

“เจ้ากลับไปก่อนเถิด คอยจับตามองความเคลื่อนไหวภายในจวนของขุนนางเจิ้งหยวนเอาไว้ด้วย ดูว่ามีผู้คนอื่นที่น่าสงสัยเข้าออกหรือไม่ และพึงระลึกเอาไว้ว่าอย่าได้แหวกหญ้าให้งูตื่นเชียวล่ะ”

“ขอรับ ข้าน้อยจะจัดการให้โดยเร็วที่สุด แต่ว่าเกี่ยวกับหลงเฉินนั้น…” ขุนนางหมานฮวงรู้สึกลังเลใจที่จะเอ่ยถามขึ้นมา

“ตอนนี้อย่าเพิ่งไปให้ความสนใจแก่เขามากนักเลย เขาเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งก็เท่านั้น ขอเพียงไม่หล่นหายออกไปจากกระดาน ต่อให้เขามีที่พึ่งพิงอันยิ่งใหญ่ก็คงไม่อาจที่จะหลุดรอดออกจากการมีชีวิตที่เป็นได้แค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้น

ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมากมายในช่วงที่ผ่านมาทำให้เขาอ่อนไหวจนเกินไป ช่วงนี้ก็ให้บุตรชายของเจ้าเก็บตัวอย่างเงียบๆ เอาไว้ก่อน ใช่แล้ว อาการของเย้าหยางตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” องค์ชายสี่ถามขึ้น

“เป็นพระกรุณาขององค์ชายสี่ที่โปรดให้รักษาบุตรสุนัขตัวหนึ่งจนรอดพ้นจากขีดอันตรายไปได้” ขุนนางหมานฮวงก้มหมอบกราบอย่างรีบร้อน

แต่หากคิดย้อนกลับไปในวันที่โจวเย้าหยางถูกหามกลับมา ทำให้ตัวเขารู้สึกตื่นตกใจเสียยกใหญ่เมื่อพบว่าอาการบาดเจ็บช่างสาหัสสากรรจ์เกินไปจนแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังจำบุตรของตนเองไม่ได้

เมื่อเข้าสู่กระบวนการรักษาจึงได้รับข่าวที่น่ายินดีว่าแม้อาการบาดเจ็บภายนอกจะดูน่ากลัว แต่ว่าอาการบอบช้ำภายในกลับไม่ได้มากตามไปด้วย นั่นก็เป็นเพราะว่าหลงเฉินได้ใช้โอสถให้แก่เย้า หยางไปจึงได้รักษาชีวิตของเขาเอาไว้ได้

เวลาได้ผ่านล่วงเลยไปสักระยะหนึ่ง โจวเย้าหยางก็เริ่มที่จะเดินเหินได้อีกครั้ง แต่ทรัพย์สมบัติที่ได้ใช้ไปอย่างมหาศาลกลับไม่อาจรักษาให้เขาสามารถต่อสู้กับผู้อื่นได้อีก ส่วนทางด้านอื่นก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่โตนัก

“อืม เช่นนั้นก็ดี เจ้ากลับไปก่อนเถิด และจดจำที่ข้าบอกเอาไว้ว่าจับตามองไว้ให้ดี ถ้าหากว่ามีความผิดปกติอันใดให้รีบกลับมารายงานทันที”

“ขอรับ ข้าน้อยขอตัวลา”

หลังจากที่ขุนนางหมานฮวงจากไป องค์ชายสี่ก็เดินมาหยุดอยู่ที่หน้าต่างห้อง เหม่อมองออกไปยังผืนฟ้าสีดำมือมิด พลัยมุมปากก็ได้ปรากฏรอยยิ้มขึ้น

“ค่ำคืนแห่งความมืดมิดไม่อาจอยู่ได้นาน อีกไม่นานแสงสว่างก็ใกล้จะมาถึงแล้ว ขุนนางเจิ้งหยวน ข้าจะดูว่าเจ้าจะเป็นปรปักษ์ได้อีกนานเพียงไหนกัน?”

……

ในรุ่งเช้าของวันที่สอง ขณะที่คนของจวนขุนนางเจิ้งหยวนกำลังเปิดประตูบานใหญ่หน้าจวนออกไป ปรากฏว่าที่ด้านนอกของประตูนั้นถูกปูด้วยพื้นอิฐใหม่ทั้งหมด จนคนในจวนขุนนางต่างพากันแตกตื่น

นอกจากคนของขุนนางหมานฮวงจะทำการเก็บกวาดพื้นที่นั้นแล้วก็ยังจัดการกับคราบโลหิตที่ฝังอยู่บนพื้นโดยการขุดลอกออกไปจนหมดสิ้น

หลงเหลือเอาไว้เพียงพื้นที่เป็นรอยขรุขระ เมื่อนึกถึงขึ้นได้ก็จำได้ว่าตอนที่ขุนนางหมานฮวงด่าทออย่างมีโทสะก็ไม่วายมอบหมายให้บ่าวรับใช้มาจัดการกับพื้นที่ทั้งหมดจนสะอาดสะอ้านอีกทั้งยังเปลี่ยนให้ใหม่จึงค่อยวางใจจากออกไป

เมื่อหลงเฉินทราบว่าเป็นพื้นอิฐใหม่ก็อดที่จะเผยรอยยิ้มเย้ยหยันไม่ได้ คิดเพียงว่าด้วยเรื่องเพียงแค่นี้ถึงกับผลัดเปลี่ยนก้อนอิฐจนใหม่หมดจด ช่างคล้ายกับเป็นการทำลายหลักฐานอย่างไรอย่างนั้น

หลังจากที่หลงเฉินตื่นนอน เขาก็ได้ตรงดิ่งไปหามารดาก่อนทำสิ่งอื่นใด ฮูหยินหลงเกิดอาการงงงวย ไม่ทราบว่ากลับมาที่ห้องได้อย่างไร เมื่อตนลืมตาขึ้นมาฟ้าก็สว่างแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนคล้ายเป็นเพียงความฝันแค่ฉากหนึ่งเท่านั้น

“เฉินเอ๋อ เมื่อวานเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ?” ถึงแม้ว่านางจะพบว่าหลงเฉินไม่ได้บาดเจ็บอะไร แต่ก็ยังไม่อาจคลายความกังวลใจออกไปได้

“มารดา ข้าเติบใหญ่ขึ้นแล้ว อีกทั้งยังสำเร็จกลายเป็นชายชาติทหารได้อย่างแท้จริง เป็นเหมือนเช่นบิดา ข้าจึงสามารถปกป้องตระกูลของเราได้เช่นเดียวกัน” หลงเฉินช่วยพยุงมารดาให้ลุกขึ้น แล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

เขาไม่ต้องการที่จะให้มารดาทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นมากไปกว่านี้ นางเป็นเพียงคนธรรมดาที่หลงเฉินเคยตรวจสอบร่างกายของนางมาก่อนหน้านี้แล้วก็พบว่ามีเส้นลมปราณที่มีขึ้นมาตั้งแต่กำเนิดชนิดหนึ่ง แม้นจะไม่ใช่เส้นลมปราณที่ไร้ค่า แต่กลับไม่มีพลังปราณอยู่เลย

อีกทั้งขณะนี้มารดาของเขาย่างเข้าสู่วัยสี่สิบแล้ว ยิ่งไม่อาจที่จะฝึกยุทธ์เคล็ดกายานวดาราได้ ยิ่งไปกว่านั้นเคล็ดกายานวดารานี้ถือได้ว่าเป็นวิชาแขนงที่มีพลังแห่งธาตุหยาง ทำให้หญิงสาวไม่อาจที่จะฝึกฝนได้

ต่อให้หลงเฉินกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งก็คงไม่อาจหาวิธีที่จะเปลี่ยนแปลงสภาวะร่างกายแต่เดิมของมารดาได้ ในตอนนี้เขาทำได้แค่เพียงดูแลมารดาและทำให้นางเป็นห่วงน้อยลง

ฮูหยินหลงมองดูบุตรชายราวกับว่าเขาเติบใหญ่ขึ้นมากภายในชั่วข้ามคืน คล้ายกับเห็นเงาของสามีซ้อนทับอยู่ ฮูหยินหลงก็อดไม่ได้ที่จะปลาบปลื้มจนหลั่งน้ำตาออกมา

“เด็กดี ข้าไม่ถามเจ้าก็ได้ จะเชื่อใจเจ้า”

หลงเฉินรีบปาดน้ำตาให้แก่มารดา เขายิ้มให้นางอย่างอบอุ่น “มารดา ข้าเติบใหญ่ขึ้นแล้ว ท่านสมควรที่จะดีใจจึงจะถูกต้อง วันนี้ข้าได้เตรียมของขวัญชิ้นหนึ่งมาให้ท่านด้วย”

เมื่อกล่าวจบ หลงเฉินก็ได้ลูบไปที่แหวนมิติ บนฝ่ามือปรากฏแผ่นป้ายหยกชิ้นหนึ่ง ทันใดนั้นเอง ฮูหยินหลงก็รีบตัดบทด้วยความตกใจว่า “นี่คือแหวนมิติ เจ้าไปได้มาจากไหนกัน?”

หลงเฉินเห็นมารดาตกใจมากถึงเพียงนั้นก็อดที่จะหัวเราออกมาไม่ได้ แววตาที่คล้ายกับว่าเขากลายเป็นหัวขโมยอย่างไรอย่างนั้น

หลงเฉินทราบดีว่าจะปิดบังมารดาต่อไปก็ไม่ช่วยอะไร เพื่อที่จะบรรเทาอาการตกใจและเป็นห่วงของมารดา เขาจึงเปิดเผยสถานะผู้หลอมโอสถต่อมารดา

เพราะไม่ช้าก็เร็วผู้คนทั้งหมดก็ย่อมทราบเรื่องอยู่ดี เขาจึงไม่จำเป็นที่จะต้องปิดบังอีกต่อไป แต่ว่าหลังจากที่หลงเฉินเปิดเผยตนเองไปเมื่อค่ำคืนก่อนย่อมถือเป็นการกรุยทางที่เหมาะเจาะอย่างยิ่ง เพียงพอที่ตนเองจะมีเวลาไปบำเพ็ญได้แล้ว

อีกทั้งในตอนนี้เขาเองก็ใช้เพลิงโอสถได้คล่องแคล่วขึ้น เช่นนั้นก็จะเป็นก้าวแห่งความสำเร็จในการเข้าสู่คุณสมบัติของการเป็นผู้หลอมโอสถผู้หนึ่ง จากนั้นก็กลับไปที่ชุมนุมผู้หลอมโอส เพื่อไปพบปรมาจารย์หวินฉีแล้วร้องห่มร้องไห้เล่าถึงความยากลำบากนี้

หากเจอสถานการณ์การรุกด้วยน้ำตาของหลงเฉิน มีหรือที่จะไม่ทำให้ปรมาจารย์หวินฉีผู้ที่มีจิตใจประดุจหินผาสั่นคลอนได้ จนให้เขาสำเร็จเป็นผู้หลอมโอสถผู้หนึ่งในท่าสุด

เมื่อฮูหยินหลงได้ยินเรื่องราวอันซับซ้อนนี้ก็ไม่สบายใจนัก แต่เมื่อเห็นว่าหลงเฉินเต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นไม่เสื่อมคลาย อีกทั้งยังนำแผ่นป้ายให้ดู นางจึงใจชื้นขึ้นมาบ้าง

ถึงแม้ว่าฮูหยินหลงจะไม่ใช่ผู้ฝึกตนแต่อย่างใด แต่ก็พอทราบว่าผู้หลอมโอสถคืออะไร สถานะการคงอยู่ในจักรวรรดิอันล้ำค่าอย่างไร้ที่เปรียบ หลงเฉินสามารถกลายเป็นผู้หลอมโอสถได้ก็ถือว่าตลอดชั่วชีวิตของการฝึกยุทธ์ก็คงจะมีแต่โชคดี

“มารดา ท่านอย่าได้ขยับ ข้าจะทาโอสถให้กับท่านก่อน”

หลงเฉินนำขวดโอสถเหลวขวดเล็กออกมา ค่อยๆ บรรจงเทลงบนฝ่ามืออย่างช้าๆ กลิ่นหอมของมันชวนให้เคลิบเคลิ้ม กลิ่นกระจายคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง ผู้ใดที่เพียงได้ดอมดมอาจรู้สึกสบายตัวขึ้นมาด้วยอย่างไรอย่างนั้น

เมื่อพบฮูหยินหลงเห็นหลงเฉินมีท่าทีที่เคร่งขรึมต่างจากเดิมก็ไม่กล้าที่จะขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย โอสถเหลวบนฝ่ามือของหลงเฉินค่อยๆ ทาลงไปบนใบหน้าที่แสนงดงามของฮูหยินหลง

ความเย็นยะเยือกกระจายไปทั่วทั้งใบหน้า ฮูหยินหลงรู้สึกสบายตัว ความไม่สบายใจก่อนหน้านี้ได้หายไปอย่างปลิดทิ้ง ความเย็นฉาบอยู่บนใบหน้าที่เกิดขึ้นในตอนนี้ทำให้นางรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก

“เฉิงเอ๋อ นี่คือสิ่งใดกัน ทำอย่างไรจึงทำให้รู้สึกสบายได้ถึงเพียงนี้” ฮูหยินหลงหลับตาพริ้มรับสัมผัสจากฝ่ามือของบุตรชาย แล้วกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“เหอะเหอะ นี่เป็นสมบัติของท่านที่ข้าจะมอบให้ ท่านจะต้องเก็บรักษามันเอาไว้ให้ดีนะ” หลงเฉินยิ้มกลับเมื่อเห็นว่ามารดาของเขามีความปิติเช่นนั้น

“ดื้อจริงเชียว เจ้านี่ร้ายกาจเสียจริง” เมื่อหลงเฉินไม่ยอมตอบออกไปตามตรง ฮูหยินหลงก็อดที่จะหัวเราะแล้วดุออกไปอย่างเอ็นดูได้ ภายในใจของนางเกิดความอบอุ่นขึ้นมาอย่างถึงที่สุด

ทั้งเช็ดอุจจาระและปัสสาวะ เลี้ยงดูจนหลงเฉินเติบใหญ่ขึ้นมาจนบัดนี้ เมื่อเห็นเขาเติบใหญ่ขึ้นสมควรแก่เวลาที่จะตอบแทนพระคุณ ฮูหยินหลงก็บังเกิดความปลื้มปริ่มใจยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดที่เคยพบเจอมาทั้งชีวิต

“เอาล่ะ ลืมตาขึ้นมาได้แล้วมารดาของข้า” หลงเฉินกล่าว

ฮูหยินหลงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ปรากฏใบหน้าของตัวเองสะท้อนจากกระจกเงากรอบทองเหลืองขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าที่หลงเฉินได้ยกเข้ามาไว้เมื่อครู่นี้เอง

“อา……”

ฮูหยินหลงมองไปที่กระจกอย่างตกตะลึง มองซ้ายทีขวาทีอย่างไม่อาจเชื่อสายตา คนผู้นี้ที่อยู่ในกระจกเป็นตนเองไม่ผิดอย่างแน่นอน แต่กลับอ่อนเยาว์ลงไปมากเหลือเกิน

ริ้วรอยตีนกาที่อยู่ตรงหางตาจางหายลงไปกว่าครึ่ง ผิวพรรณที่เดิมทีแห้งผาดกลับมีน้ำมีนวลขึ้นมา คล้ายหญิงสาวที่อ่อนเยาว์ลงไปกว่าสิบปีอย่างไรอย่างนั้น

“เฉิงเอ๋อ ข้าไม่ได้กำลังฝันอยู่หรอกนะ” ฮูหยินหลงเพ่งมองดูตัวเองในกระจกอยู่เกือบครึ่งวัน แล้วเอ่ยถามออกไปอย่างไม่อยากที่จะเชื่ออยู่หลายครั้ง

“จะใช่ความฝันหรือไม่นั้นข้าก็ไม่อาจทราบได้ แต่ว่าหากท่านยังเอาแต่ส่องต่อไปเช่นนี้ พวกเราคงจะต้องทานอาหารกันอีกทีตอนมื้อกลางวันเลย” หลงเฉินหัวเราะอย่างมีความสุข

ฮูหยินหลงมีสีหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที แล้วออกแรงฝ่ามือตีไปที่หลงเฉินเบาๆ คราหนึ่ง “เจ้าตัวร้าย แม้แต่มารดาก็ยังกล้าหยอกเย้า นี่ผ่านไปยังไม่ถึงครึ่งชั่วยามเลยนะ”

หลงเฉินมีความสุขเหลือเกิน ไม่เพียงมารดาผู้ชราจะดูอ่อนเยาว์ไปกว่าสิบปี แต่จิตใจของนางก็ยังดูอ่อนเยาว์ลงไปเช่นกัน เขายิ้มกว้างแล้วกล่าวต่อ “มารดา นี่เป็นน้ำโอสถบำรุงใบหน้าที่ข้าตั้งใจปรุงมาให้แก่ท่านโดยเฉพาะ ถึงแม้ว่าจะเป็นสมุนไพรธรรมดาแต่ว่าผลลัพธ์กลับทำให้ท่านอ่อนเยาว์ลงดั่งหญิงสาวอายุสิบสามกว่าได้ จึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร”

เดิมทีของเหลวที่ใช้บำรุงใบหน้าจะมาจากผลบำรุงใบหน้าผสมกับสมุนไพรชนิดหนึ่งเข้าด้วยกัน แต่ว่าผลบำรุงใบหน้านั้นหายาก หลงเฉินจึงไม่อาจใช้ระยะเวลาเพียงน้อยนิดในการเสาะหามันมาได้

เขาจึงได้ใช้หญ้าบำรุงใบหน้าชนิดหนึ่งแทน ถึงแม้ว่าผลลัพธ์อาจจะแตกต่างกันอยู่มาก แทบจะไม่อาจย้อนกลับไปสมัยเด็กสาวได้ แต่ก็ยังพอที่จะช่วยให้อ่อนเยาว์ลงได้อยู่หลายปี จึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่หลวงนักที่ใช้ทดแทนกัน

“จริงหรือ?” ฮูหยินหลงยิ้มกว้างออกมากว่าที่เคย ขึ้นชื่อว่าหญิงสาวก็ย่อมรักสวยรักงามเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว

ฮูหยินหลงและสามีของนางแยกกันอยู่คนละแห่งเมื่อนานมาแล้ว  หลงเฉินเองก็เกิดมาพร้อมกับร่างกายที่ไร้พลัง จนทำให้นางมีสภาพจิตใจย่ำแย่และปล่อยปะละเลยการดูแลตัวเองจนร่างกายเสื่อมโทรมไปด้วย ดังนั้นนางจึงแก่เกินวัยไปไม่น้อย

เมื่อหลงเฉินมองเห็นใบหน้าของมารดาเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขถึงเพียงนั้น ยิ่งทำให้ภายในใจของเขารู้สึกละอายกับเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น เพื่อตระกูลนี้แล้วมารดาของเขายอมลำบากตรากตรำมานานจนเกินไป

“มารดา โอสถขวดนี้จะทิ้งไว้กับท่านที่นี่ ข้าจะปรุงโอสถอีกหลายอย่างมาให้ท่านอีก เพื่อที่จะรักษาร่างกายของท่าน ข้าขอรับรองว่าไม่พ้นหนึ่งเดือนนี้ผู้อื่นจะไม่เชื่อว่าท่านเป็นมารดาของข้าอย่างแน่นอน อาจคิดว่าท่านเป็นพี่สาวของข้าเสียด้วยซ้ำ” หลงเฉินใช้มือคู่ใหญ่บีบนวดที่ไหล่ของมารดาพร้อมกับหัวเราะร่าออกมาอย่างหยุดไม่ได้

“เจ้าตัวร้าย ปากหวานให้มันน้อยหน่อยเถิด แม้วันนี้ข้าจะเห็นว่าเจ้าได้เติบใหญ่ขึ้นแล้วก็จริง แต่ว่าข้าขอบอกกับเจ้าไว้ก่อนว่าเรายังต้องคุยกันอีกเยอะ

ม่งฉี…ลูกสะใภ้คนนี้ของข้า จงอย่าได้ปล่อยไปนะ ข้าไม่สนว่าจะต้องใช้วิธีเช่นไร ขอเพียงตามนางกลับมาให้ได้ก็เพียงพอแล้ว” ถึงแม้จะยังดีใจกับความอ่อนเยาว์ของใบหน้า แต่ฮูหยินหลงก็ยังคงนึกเสียดายเรื่องนี้อยู่ไม่น้อยเช่นกัน

ในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ที่หลงเฉินได้เอ่ยถึงการถอนหมั้นกับม่งฉี นางก็พอที่จะคาดเดาความเป็นมาของเรื่องราวทั้งหมดได้บ้าง ม่งฉีเป็นหญิงสาวแสนงดงามที่เปรียบเสมือนเทพเซียนบนสรวงสวรรค์ อย่างไรเสียก็ไม่มีทางใดที่ชายหนุ่มจะไม่เกิดความหลงใหล

แต่ที่หลงเฉินทำเช่นนั้นอาจเป็นเพราะภายในจิตใจคล้ายมีเข็มทิ่มแทงเข้าไปนับพันเล่ม อันจะกล่าวไปก็ไม่อาจทำเช่นไรได้ เพราะตนนั้นไร้ความสามารถจึงทำให้บุตรชายได้รับความอัปยศเช่นนี้

หลังจากนั้นหลงเฉินก็ไม่เอ่ยถึงเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาอีก ยิ่งทำให้ภายในใจของฮูหยินหลงเกิดความไม่สบายใจ จนในวันนี้พบว่าหลงเฉินมีพลังฝีมือแกร่งกล้ามากขึ้นจึงนึกถึงเรื่องนี้ทันที

ก่อนหน้านี้หลงเฉินไม่มีความเหมาะสมกับคู่หมั้น แต่บัดนี้เป็นถึงผู้หลอมโอสถที่มีสถานะอันสูงส่งในระดับหนึ่ง สมควรที่จะมีรีบคว้าโอกาสนั้นแล้ว

“มารดา ท่านโปรดวางใจเถิด ข้ามีนิสัยเป็นอย่างไร ท่านไม่ทราบหรอกหรือ? หากข้าหมายปองไว้แล้ว ผู้ใดจะกล้าแย่งกัน? ในช่วงเยาว์วัยที่ลูกพี่ลูกน้องมาแย่งชิงของเล่นกับข้า ไม่ใช่เพราะถูกข้ากัดจนร้องไห้ดังไปทั่วทั้งฟ้าดินหรอกหรือ” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

พลันก็หยุดมองไปในแววตาของมารดาที่บัดนี้แอบแฝงเอาไว้ด้วยความเจ็บปวดนับไม่ถ้วน เขาจึงหยุดหัวเราะทันที

หลังจากที่บิดาของเขาออกจากเมืองไปเพื่อปกปักษ์รักษาแนวชายแดน ไม่ส่งข่าวคราว ไม่ได้ไปมาหาสู่กับมารดาอีก บ้านของตนจึงแร้นแค้นถึงเพียงนี้ โชคยังดีที่ยังคงที่ญาติฝ่ายมารดาที่ยังคอยเกื้อหนุนจุนเจือมาโดยตลอด

หลงเฉินใช้มือพยุงไปที่มารดาแล้วกล่าว “มารดา ตอนนี้ข้าได้เป็นถึงผู้หลอมโอสถแล้ว พวกเราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ชีวิตอย่างลำบากลำบนอีกต่อไป อย่าได้คิดถึงเรื่องราวที่จะทำให้ท่านไม่สบายใจอีกเลย”

เขาอยู่สนทนากับมารดาอยู่ครู่หนึ่งจนพบว่าจิตใจของนางเริ่มกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา หลงเฉินเดินไปห้องอาหารเช้า แล้วตระเตรียมของเพื่อมุ่งหน้าไปยังชุมนุมผู้หลอมโอสถ . . .

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset