เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 196 ผู้ทรยศ

‘กายาศึกกักวายุ——ปรากฏ’

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินส่งเสียงร้องขึ้นภายในใจ จากนั้นก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับแววตาที่ปรากฏภาพดวงดารากลุ่มหนึ่งขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

 

ซูม!

 

 

 

 

 

 

 

 

บรรยากาศโดยรอบเกิดการสั่นไหวอย่างบ้าคลั่ง พลังสภาวะขุมใหญ่พุ่งทะยานสู่ท้องนภาสีคราม พลังกดดันอันน่าหวาดกลัวแผ่กระจายไปทั่วทุกสารทิศอย่างต่อเนื่อง หลงเฉินในเวลานี้คล้ายกับสัตว์ประหลาดโบราณดุร้ายที่ถูกปลุกขึ้นมาจากการหลับใหลอันยาวนานอย่างไรอย่างนั้น

 

 

 

 

 

 

 

 

ภายในมือใหญ่ทั้งสองข้างมีอาวุธเพลิงยาวห้าสิบเซียะปรากฏขึ้นมา จากนั้นก็กวาดไปยังยอดฝีมือระดับสัตว์ประหลาดทั้งสองคนอย่างหนักหน่วง

 

 

 

 

 

 

 

 

“ตูม”

 

 

 

 

 

 

 

 

ชีซิ่งและเหร่ยเชียนซังเกลือกกลิ้งไปตามพื้นดินอย่างรุนแรง พลันก็ลอยไกลออกไปกว่าร้อยจั่งแล้วค่อยๆ หยุดลง ผู้คนมากมายที่อยู่โดยรอบหยุดชะงักการลงมือต่อกันจนหมดสิ้น ดวงตาทุกคู่เบิกกว้างจ้องมองไปที่ชีซิ่งและเหร่ยเชียนซังที่กำลังกลิ้งออกไปอย่างรุนแรง

 

 

 

 

 

 

 

 

แม้แต่ผู้อาวุโสซุนที่ยืนอยู่ในศาลาสังเกตการณ์ก็ไม่อาจควบคุมตัวเองจนต้องลุกฮือขึ้นมาด้วยความแตกตื่น แววตาทอเป็นประกายเจิดจ้ามองไปที่หลงเฉินอย่างหลงใหล

 

 

 

 

 

 

 

 

ส่วนหลิงหวินจื่อที่อยู่บนยอดเขาสูงก็ได้แต่ทอสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ช่างเป็นทักษะยุทธ์ที่แกร่งกล้ายิ่งนัก ถึงกับสามารถปะทุพลังอันมหาศาลมากกว่าเดิมหลายสิบเท่าภายในพริบตาเท่านั้น พลังสภาวะของหลงเฉินในตอนนี้ราวกับเป็นยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นผู้หนึ่งไปแล้ว”

 

 

 

 

 

 

 

 

ถู่ฟางเองก็มีอาการแตกตื่นตกใจไม่ต่างจากผู้คนมากมาย พลังการต่อสู้ของหลงเฉินที่ปะทุออกมาอย่างบ้าคลั่งเมื่อครู่เพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมหลายสิบเท่าเฉกเช่นที่หลิงหวินจื่อกล่าว ภายใต้โลกหล้าแห่งนี้มีทักษะยุทธ์ที่น่าหวาดกลัวถึงเพียงนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ?

 

 

 

 

 

 

 

 

การโจมตีของหลงเฉินเพียงครั้งเดียวทำให้ทั้งเหร่ยเชียนซังและชีซิ่งถูกซัดจนกระเด็นออกไปไกลหลายจั่ง ภายในจิตใจของพวกเขาแอบร่ำร้องว่าแย่แล้วขึ้นมา เวลาก็เหลืออีกไม่มากแล้ว สมควรที่จะต้องจบการต่อสู้ให้เร็วที่สุด เมื่อคิดได้เช่นนั้นชายหนุ่มทั้งสองคนก็พุ่งทะยานร่างกายไปยังเบื้องหน้า ทว่าอาวุธเพลิงสายหนึ่งกลับตัดผ่านเงาร่างไปในทันที

 

 

 

 

 

 

 

 

เหร่ยเชียนซังและชีซิ่งทั้งแตกตื่นตกใจและบังเกิดโทสะขึ้นมายกใหญ่ในเวลาเดียวกัน พวกเขาเป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น เป็นศิษย์สายตรง อีกทั้งยังเป็นผู้มีพรสวรรค์ระดับสัตว์ประหลาด ทว่าเหตุใดในตอนนี้ถึงได้ถูกซัดได้อย่างง่ายดายเช่นนี้กันเล่า!

 

 

 

 

 

 

 

 

อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้พวกเขารู้สึกได้ใจมากจนเกินไป คิดว่าหลงเฉินก็เป็นเพียงลูกหนูตัวหนึ่งที่อยู่ต่อหน้าแมวสองตัว ทว่าหลังจากที่หลงเฉินปะทุพลังอันมหาศาลที่น่าหวาดกลัวขึ้นมาจึงไม่กล้าผยองตัวอีกเลย พลันก็ได้ปะทุพลังสภาวะของขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นออกมาจนหมดสิ้น อาวุธที่อยู่ในมือแปรเปลี่ยนเป็นขนาดที่ใหญ่โตขึ้นแล้วเข้าฟาดฟันกับหลงเฉินในทันที

 

 

 

 

 

 

 

 

“ตูมตูมตูม”

 

 

 

 

 

 

 

 

อาวุธขนาดใหญ่ทั้งสามปะทะกันอย่างดุเดือด เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ผืนดินแตกระแหงออกเป็นเสี่ยงๆ ก้อนศิลาโดยรอบถูกบดขยี้จนกลายเป็นละอองฝุ่นปลิวว่อนไปทั่ว จนผู้คนทั่วทั้งบริเวณเกิดอาการสั่นเทิ้มไปตามๆ กัน บ้างก็ถอยหนีออกไปไกลด้วยความหวาดกลัว

 

 

 

 

 

 

 

 

ความดุดันของหลงเฉินคล้ายกับเทพสงครามกำลังฟาดฟันศัตรู ความสามารถของเขาในตอนนี้สามารถต้านทานการโจมตีของชีซิ่งและเหร่ยเชียนซังเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทว่าภายในจิตใจกลับร่ำร้องขึ้นมาเป็นสาย

 

 

 

 

 

 

 

 

‘ต้องทนให้ไหว เวลาใกล้จะหมดแล้ว’

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินสัมผัสได้ว่าพลังลมปราณภายในจุดดารากักวายุเหลือน้อยเต็มทีแล้ว อีกไม่กี่ลมหายใจก็คงจะหมดสิ้นอย่างแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

 

‘ต้องแลกแล้ว’

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินกัดฟันกรอด พลางชูอาวุธเพลิงในมือขึ้นสู่ฟากฟ้า พลังอันมหาศาลภายในจุดดารากักวายุไหลเวียนออกมาอย่างบ้าคลั่งมุ่งเข้าสู่อาวุธเพลิงที่ถือเอาไว้จนแน่น อักขระบนตัวดาบทอประกายแสงสว่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น ให้ความรู้สึกเสมือนกับอาวุธของทวยเทพ

 

 

 

 

 

 

 

 

“เบิกสวรรค์!”

 

 

 

 

 

 

 

 

เหร่ยเชียนซังและชีซิ่งทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง พวกเขาจดจำกระบวนท่านี้ได้ขึ้นใจ นั่นเป็นกระบวนท่าที่หลงเฉินใช้ออกมาเมื่อครั้งล่าสุด เป็นกระบวนท่าที่สามารถล้มกุ่ยซาผู้แข็งแกร่งลงไปได้นั่นเอง

 

 

 

 

 

 

 

 

ถึงแม้จะเคยประจักษ์แก่สายตามาแล้วครั้งหนึ่ง ทว่าในครั้งนี้กลับน่าหวาดกลัวเสียยิ่งกว่าก่อนหน้านี้เป็นอย่างยิ่ง ภายในจิตใจของพวกเขาจึงเกิดความเย็นเยียบขึ้นมาเป็นสาย พร้อมกับกระตุ้นพลังทั้งหมดออกมาโดยไม่คิดที่จะหลงเหลือเอาไว้เลยแม้แต่น้อย

 

 

 

 

 

 

 

 

“ศรวารีปักสวรรค์!”

 

 

 

 

 

 

 

 

“อาวุธอัสนีตัดอากาศ!”

 

 

 

 

 

 

 

 

ทั้งเหร่ยเชียนซังและชีซิ่งต่างก็ออกกระบวนท่าที่แกร่งกล้าที่สุดของตัวเองออกมา ประกายอันคมกล้าทั้งสามสายหลอมรวมเข้าด้วยกันตรงใจกลางบรรยากาศกดดันอันน่าหวาดหวั่น ผู้คนที่อยู่ใกล้เคียงทั้งหมดถูกซัดกระเด็นออกไปไกลจนสลบเหมือดลงไปในทันที

 

 

 

 

 

 

 

 

คลื่นลมกรรโชกแรงจนทำให้หลงเฉิน เหร่ยเชียนซัง และชีซิ่งก็ไม่อาจต้านทานเอาไว้ได้ ต่างก็เกลือกกลิ้งไปตามดินโคลนจากการปะทะกันอย่างหนักหน่วง

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินหอบหายใจอย่างบ้าคลั่ง อาวุธเพลิงที่อยู่ในมือสูญสลายไป และแม้ว่าวงแหวนแห่งเทพจะยังอยู่ ทว่าพลังลมปราณที่เคยดูซับเอาไว้กลับไม่หลงเหลือเลย พลันก็เงยหน้ามองไปยังธูปที่อยู่ห่างไกลออกไป เหลืออีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

 

 

 

 

 

 

 

 

“ป้องกันคนถือธง!”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินแผดเสียงคำรามขึ้นมา เมื่อเห็นว่าผู้คนกลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งหน้าเข้าไปหากัวเหริน เพราะการปะทะกันเมื่อครู่นี้ได้พัดผู้คนออกไปไกล จนบัดนี้ข้างกายของกัวเหรินมีกำลังพลยืนหยัดอยู่เพียงยี่สิบกว่าคนเท่านั้น

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของหลงเฉินดังขึ้นมา พวกเขาก็รีบวิ่งเข้าไปล้อมรอบกัวเหรินเอาไว้ พร้อมกับต้านทานศัตรูที่กำลังล้อมเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง อีกทั้งยังหมายโจมตีเข้ามาอย่างไม่คิดชีวิตด้วยเช่นกัน

 

 

 

 

 

 

 

 

“ไปตายซะ”

 

 

 

 

 

 

 

 

ในขณะที่หลงเฉินกำลังสนใจต่อขุมกำลังของตัวเองอยู่นั้น จู่จู่ที่แผ่นหลังของเขาก็เกิดความเจ็บปวดขึ้นมาเป็นสาย ตลอดทั่วทั้งร่างลอยกระเด็นออกไปอีกทางหนึ่ง ที่ข้างหูได้ยินเสียงด่าทอของเหร่ยเชียนซังดังขึ้นมาไม่หยุด

 

 

 

 

 

 

 

 

“พรวด”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินกระอักโลหิตออกมาคำโต ตอนนี้เขาไม่มีพลังปราณหลงเหลือไว้คุ้มครองร่างกายอีกแล้ว ศีรษะ แขน และขาทั้งห้าส่วนได้รับบาดเจ็บจนบอบช้ำไปทั้งหมดราวกับแทบจะแยกออกจากกันเป็นเสี่ยงๆ

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่กระแทกกับพื้นแล้วหลงเฉินก็กระอักโลหิตออกมาติดต่อกันอีกสองสามคำ จากนั้นก็พยายามกระเสือกกระสนร่างกายมุ่งหน้าเข้าไปที่ขุมกำลังของตัวเอง ดวงตาคู่คมเหม่อมองไปที่กัวเหรินและพวกพ้องด้วยความหวังว่าพวกเขาจะยื้อเวลาไปได้อีกไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น แล้วพวกเขาก็จะได้ชัยชนะ

 

 

 

 

 

 

 

 

ชีซิ่งจ้องมองมาที่หลงเฉินอย่างเย้ยหยันแล้วหัวเราะขึ้นมา “หลงเฉิน เจ้ายังจำได้หรือไม่? ข้าเคยบอกเจ้าว่าข้าจะทำให้เจ้าเสียใจที่เกิดมาอยู่ในโลกใบนี้ ลงมือ!”

 

 

 

 

 

 

 

 

ชีซิ่งตะโกนขึ้นมาเสียงดังกังวาน หลงเฉินจึงทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง “กัวเหรินระวัง!”

 

 

 

 

 

 

 

 

กัวเหรินได้ยินเสียงเตือนของหลงเฉินได้ในทันที ทว่าในขณะที่กำลังมีปฏิกิริยาโต้ตอบขึ้นมานั้น จู่จู่ที่แผ่นหลังตรงขั้วหัวใจก็เกิดความเจ็บปวดขึ้นเป็นสายจนต้องกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

กัวเหรินหันไปสบตากับผู้ลอบโจมตี คนผู้นั้นคือคนที่คอยคุ้มกันอยู่ข้างกายเขามาโดยตลอด จึงอดไม่ได้ที่จะระเบิดโทสะขึ้นมาอย่างรุนแรง “เจ้า……”

 

 

 

 

 

 

 

 

ทว่ายังไม่ทันที่จะได้กล่าววาจาออกมาจนจบ ที่น่องข้างขวาของเขาก็เกิดความเจ็บปวดขึ้นมาอย่างรุนแรง เสียงกระดูกหักดังกร่อบดังขึ้นมาจนต้องร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวด

 

 

 

 

 

 

 

 

จากนั้นที่แผ่นหลังของกัวเหรินก็เบาสบายขึ้นมา กระบอกใส่ธงที่เคยแบกอยู่ถูกคนผู้นั้นช่วงชิงไปในทันที กัวเหรินจึงรีบคว้าเอากระบอกธงเข้ามากอดไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะของสิ่งนี้เป็นอนาคตของทุกคนภายในขุมกำลังเลยก็ว่าได้ อีกทั้งเขาได้สัญญากับหลงเฉินเอาไว้แล้วว่าต่อให้ต้องตายก็จะรักษากระบอกธงเอาไว้ให้จงได้

 

 

 

 

 

 

 

 

“เจ้าตัวบัดซบ ปล่อยมือซะ”

 

 

 

 

 

 

 

 

คนผู้นั้นออกแรงฉกชิงกระบอกธงอยู่สองครั้ง ทว่าก็ยังไม่สามารถช่วงชิงมาได้ คนที่อยู่ข้างกายอีกสองคนจึงระเบิดโทสะขึ้นมาแล้วใช้ฝ่าเท้าเหยียบไปที่แขนของกัวเหรินสุดแรง

 

 

 

 

 

 

 

 

“กร่อบ”

 

 

 

 

 

 

 

 

เสียงกระดูกหักดังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง แขนทั้งสองข้างของกัวเหรินหักไปอย่างพร้อมเพรียงกัน ทว่ากัวเหรินก็ยังไม่ยอมปล่อยกระบอกธงนั้นไปง่ายๆ

 

 

 

 

 

 

 

 

“ปึก”

 

 

 

 

 

 

 

 

คนผู้นั้นจึงยกเท้าเตะเข้าไปที่ชายโครงของกัวเหรินจนกระอักโลหิตออกมาอีกคำ อีกทั้งยังลอยกระเด็นออกไปไกล

 

 

 

 

 

 

 

 

เหล่ากำลังพลของขุมกำลังต่างก็ตั้งรับการโจมตีจากขุมกำลังอื่นอย่างบ้าคลั่ง จนไม่ทันได้สังเกตทางกัวเหรินเลยแม้แต่น้อย ทว่าในขณะที่มีปฏิกิริยากลับคืนมากระบอกธงของพวกเขาก็ถูกโยนออกไปกลางอากาศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

นี่เป็นแผนการที่ผู้คนของกู่หยางได้ตระเตรียมเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ทันทีที่รับกระบอกธงได้ก็รีบเสียบธงเข้าไปในกระบอกธงของตัวเองอย่างรวดเร็ว

 

 

 

 

 

 

 

 

“ตึง”

 

 

 

 

 

 

 

 

เสียงระฆังดังกังวานไปทั่วทั้งบริเวณ การจัดอันดับครั้งแรกได้จบสิ้นลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การต่อสู้ทุกหนแห่งหยุดลงทั้งหมด ความเงียบสงัดเข้าครอบงำบริเวณแห่งนั้นราวกับเป็นป่าช้าแห่งหนึ่ง ถังหว่านเอ๋อเหม่อมองไปที่เงาร่างของกัวเหรินที่นอนจมกองโลหิตอยู่บนพื้น พลันก็เลื่อนสายตามองไปยังคนทรยศทั้งสามคนที่กำลังทอสีหน้าเยียบเย็นอยู่

 

 

 

 

 

 

 

 

“หลงเฉิน เข้าใจแล้วหรือไม่ว่าการมีชีวิตอยู่ไม่สู้ตายไปนั้นเป็นเช่นไร ฮาฮาฮา” ชีซิ่งหัวเราะขึ้นมาเสียงดังกังวานด้วยความสะใจอย่างถึงที่สุด

 

 

 

 

 

 

 

 

นอกจากขุมกำลังของถังหว่านเอ๋อแล้ว ทางขุมกำลังของเยี่ยจื่อชิวเองก็มีคนทรยศปรากฏตัวขึ้นมาสองคน อีกทั้งยังส่งธงไปให้อีกฝ่ายในช่วงเวลาสุดท้ายนี้ด้วยเช่นกัน

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินยันตัวลุกขึ้นมาจากพื้นแล้วย่องเข้าไปอยู่ข้างกายของถังหว่านเอ๋อ ดวงตาคู่คมจดจ้องไปที่ใบหน้าอันงดงามที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกเจ็บปวดจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บปวดไปด้วย

 

 

 

 

 

 

 

 

“หลงเฉิน” ถังหว่านเอ๋อโผเข้ากอดหลงเฉินแล้วร้องไห้ออกมายกใหญ่ ภายในจิตใจของนางในตอนนี้ช่างอ่อนล้าอย่างไร้ที่เปรียบเสียเหลือเกิน “ทำไม ทำไมกัน!”

 

 

 

 

 

 

 

 

ตั้งแต่แรกเริ่มนางนั้นได้แสดงออกถึงความจริงใจต่อผู้คนของนางเป็นอย่างยิ่ง จึงไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนกล้าทรยศต่อจิตใจของนางได้ นี่เป็นความเจ็บปวดที่แสนสาหัสยิ่งกว่าการพ่ายแพ้ต่อศัตรูเสียอีก เจ็บปวดราวกับมีคนกำลังใช้มีดอันแหลมคมกรีดแทงไปที่จิตใจของนาง

 

 

 

 

 

 

 

 

“ถังหว่านเอ๋อ ว่าอย่างไร ตอนนี้ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง มาเป็นพันธมิตรกันเถิด” กู่หยางมองไปยังถังหว่านเอ๋อที่กำลังกอดหลงเฉินอยู่ ภายในจิตใจบังเกิดความโกรธเกรี้ยวขึ้นมาจนต้องกล่าวออกไปด้วยเสียงทุ้มต่ำ

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินจึงทอแววตาเย็นเยียบมองไปที่กู่หยางแล้วตอบกลับไปว่า “กู่หยาง ในวันนี้เจ้าได้สร้างแรงกดดันให้ข้าอย่างหนักหนา จงจำเอาไว้ว่าข้าจะเอาคืนให้แก่เจ้านับร้อยเท่า”

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อกล่าวจบหลงเฉินก็ผละจากถังหว่านเอ๋อเบาๆ แล้วเยื้องย่างไปทางผู้ทรยศทั้งสามคน พวกเขาคือคนที่ถูกรับเข้ามาในภายหลังนั่นเอง ถังหว่านเอ๋อรู้สึกเสียใจขึ้นมาอย่างไม่เสื่อมคลายจนเกิดความเกลียดชังต่อตัวเองอย่างถึงที่สุด เหตุในถึงมีตาแต่ไร้แววถึงเพียงนี้ ถึงกับดูไม่ออกว่าผู้ใดหวังดีหรือมาดร้าย หากเป็นหลงเฉินคงจะมองออกตั้งแต่แรกและไม่ยอมรับพวกเขาเข้ามาอย่างแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

 

“ต้องขอโทษด้วยนะ พวกเรามีสังกัดอยู่แล้ว เหตุใดพวกเจ้าถึงได้ตาถั่วถึงเพียงนี้กัน”

 

 

 

 

 

 

 

 

หนึ่งในสามคนนั้นแสยะยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ถึงแม้ว่าจะกล่าวขอโทษออกมา ทว่าผู้คนที่ได้ยินต่างก็สัมผัสได้ว่าเขาไม่ได้รู้สึกเสียใจเฉกเช่นที่พูดออกมาเลยแม้แต่น้อย

 

 

 

 

 

 

 

 

ถู่ฟางที่มองดูอยู่จากที่ที่ไกลห่างออกไปก็ได้ลุกยืนขึ้นด้วยความขุ่นเคือง “ทำกันเกินไปแล้ว เหตุใดถึงได้รับคนที่เลวร้ายเช่นนี้เข้ามาอยู่ในหมู่ตึกได้ ตาของข้าช่างมืดบอดเป็นอย่างยิ่ง”

 

 

 

 

 

 

 

 

ที่ถู่ฟางกล่าวขึ้นมานั้นไม่ได้หมายถึงคนทรยศทั้งสามคนเท่านั้น ทว่ายังเจาะจงไปถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวอันเลวร้ายทั้งหมดนี้ด้วย การแย่งชิงที่เคยตรงไปตรงมากลับกลายเป็นแผนการซ่อนเล่ห์เหลี่ยมกลโกงเอาไว้ การกระทำเช่นนี้แทบจะไม่ต่างไปจากสิ่งที่ฝ่ายอธรรมะกระทำเสียเลยด้วยซ้ำไป

 

 

 

 

 

 

 

 

“ไม่ว่าอย่างไรขยะก็ต้องเข้าไปอยู่ในถังขยะอยู่ดี เหตุใดเจ้าต้องระเบิดโทสะขึ้นมาด้วย?” หลิงหวินจื่อจิบชาแล้วกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

 

 

 

 

 

 

 

 

“ท่านเจ้าสำนัก ท่านจะปล่อยเรื่องนี้ไปโดยไม่สนใจเลยอย่างนั้นหรือ?” ถู่ฟางเอ่ยถามขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ อีกทั้งยังเกิดโทสะเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม

 

 

 

 

 

 

 

“เหอะเหอะ ถู่ฟาง เจ้าเองก็อายุขัยมากถึงเพียงนี้แล้ว เหตุใดถึงยังไม่ปลดปลงกับเรื่องราวเช่นนี้อีก? หากขยะไม่เข้าไปอยู่ในถังขยะ แล้วจะให้คนเข้าไปทำความสะอาดได้อย่างไรกัน?” หลิงหวินจื่อยิ้มแล้วตอบกลับไป

 

 

 

 

 

 

 

 

“ความหมายของท่านคือ……” ถู่ฟางขมวดคิ้วแล้วถามกลับไป

 

 

 

 

 

 

 

 

“สงบนิ่งเอาไว้ ขยะเหล่านี้เป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องรับผิดชอบไม่ใช่หรือ ในตอนนี้เจ้าจงผ่อนคลายลงก่อน แล้วดูกันต่อไป มาเถิด มาดื่มชากัน” เมื่อกล่าวจบ หลิงหวินจื่อก็ยกถ้วยชาขึ้นจิบเบาๆ ดวงตาทอประกายแสงสีทองเจิดจ้าไปที่หลงเฉิน

 

 

 

 

 

 

 

 

‘หากคำทำนายเป็นเรื่องจริง เขาก็ต้องทำเช่นนี้’

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินไม่ได้สนใจคำพูดจากปากของคนผู้นั้นเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่เดินผ่านไปหากัวเหรินอย่างเชื่องช้า ถึงแม้ว่าจะไม่เหลือพลังเข้าตรวจสอบภายในร่างกายของเด็กน้อยผู้นี้ได้แล้ว ทว่าเขาก็ทราบได้ทันทีว่ามีกระดูกหลายแห่งแตกหักไป อีกทั้งยังตกอยู่ในสภาวะที่ลมหายใจกำลังโรยรินอย่างถึงที่สุด

 

 

 

 

 

 

 

 

“พี่ใหญ่ ข้าไม่ดีเอง ข้าสมควรตาย ข้าไม่สามารถปกป้องกระบอกธงตามที่ท่านมอบหมายเอาไว้” กัวเหรินทั้งกล่าวทั้งร่ำไห้ออกมา

 

 

 

 

 

 

 

 

“พี่น้องที่ดี เจ้าทำได้ดีที่สุดแล้ว เหตุการณ์ไม่คาดคิดเช่นนี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้าเลย” หลงเฉินกล่าวปลอบโยนด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

 

 

 

 

 

 

 

 

เขาทราบทีว่ากัวเหรินได้ทุ่มเทอย่างสุดกำลังแล้ว ถึงแม้ว่ายามปกติกัวเกรินจะเป็นคนเหลวไหลไม่เป็นหลักแหล่ง ทว่าจิตใจของเด็กน้อยผู้นี้กลับเชื่อถือได้ อีกทั้งยังเป็นคนที่มีสัจจะเป็นอย่างยิ่ง ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะไม่ดิ้นรนต่อสู้จนตัวเองบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้

 

 

 

 

 

 

 

 

“พี่ใหญ่ หากข้าแข็งแกร่งมากกว่านี้ หากข้ามีพลังปราณหลงเหลืออีกส่วนหนึ่ง เหตุการณ์คงจะไม่เป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน ข้าสมควรตาย……” กัวเหรินร้องครวญครางขึ้นมาประดุจทารกแรกเกิด

 

 

 

 

 

 

 

 

“เพี๊ยะ”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินสะบัดข้อมือตบไปที่ท้ายทอยของกัวเหรินเบาๆ จากนั้นก็ล้วงเอาโอสถรักษาอาการบาดเจ็บหย่อนลงไปในปากของกัวเหรินเพื่อให้เขาเข้าสู่ห้วงนิทรา หากเด็กน้อยผู้นี้ยังคงร่ำร้องไม่หยุดอาจทำให้ภาวะจิตใจของเขาไม่ปกติได้ อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้สูงที่จะกระทบต่อวิถีการฝึกยุทธ์ของเขาในภายภาคหน้า

 

 

 

 

 

 

 

 

จากนั้นหลงเฉินก็วางกัวเหรินลงนอนราบบนพื้น แล้วเดินย้อนกลับไปเผชิญหน้าต่อผู้ทรยศทั้งสามคน พร้อมกับจ้องมองพวกเขาด้วยแววตาอันเย็นเยียบ

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อเห็นว่าหลงเฉินเอาแต่จ้องมองมาโดยไม่ลงมือแต่อย่างใด พวกเขาจึงระเบิดหัวเราะขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง แล้วหนึ่งในนั้นก็ได้ยกมือกดไปที่ศีรษะของหลงเฉินแล้วกล่าวว่า “เป็นอย่างไรบ้าง? ไม่ยอมรับอย่างนั้นหรือ? เจ้าสามารถตามไปแก้แค้นความอับอายในครั้งต่อไปได้นะ

 

 

 

 

 

 

 

 

ทว่าข้าคิดว่าพวกเจ้าคงจะไม่มีโอกาสเช่นนั้นอีกแล้วล่ะ ในเมื่อตอนนี้พวกเจ้าได้ถูกพวกข้าเหยียบย่ำจนจมดินไปครึ่งหนึ่งแล้ว ฮาฮาฮา……”

 

 

 

 

 

 

 

 

ฉับ!

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset