เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 197 สังหารผู้คน

ประกายแสงอันเยือกเย็นตัดผ่านบรรยากาศจนเกิดความเงียบสงัด สายโลหิตสีแดงสาดกระเซ็นไปทั่วทั้งผืนฟ้า ศีรษะสามลูกกระเด็นกระดอนไปตามพื้นดิน บนใบหน้าของพวกเขายังคงอยู่ในสภาพเย้ยหยันของเมื่อก่อนหน้านี้อย่างไม่เสื่อมคลาย

 

 

 

 

 

 

 

 

ดาบของหลงเฉินตัดผ่านคอของผู้ทรยศทั้งสามคนนั้นอย่างรวดเร็วจนไม่มีผู้ใดสังเกตได้ อีกทั้งยังอยู่นอกเหนือจากการคาดเดาของผู้คนอย่างหมดจด หลงเฉินได้ลงมือสังหารผู้คนไปถึงสามคนในครั้งเดียว!

 

 

 

 

 

 

 

 

“ติ๋งๆ”

 

 

 

 

 

 

 

 

บนตัวดาบอันคมกล้าถูกชโลมไปด้วยโลหิตสีแดง หยดโลหิตบางส่วนหยดลงสู่พื้นดินเป็นสาย ทั้วทั่งบริเวณอยู่ในสภาวะเงียบสงัดจนเสียงหยาดโลหิตอันแผ่วเบาดังเข้าไปในโสตประสาทของผู้คนราวกับมีคนลั่นกลองใหญ่ขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น

 

 

 

 

 

 

 

 

“ทำให้พี่น้องของข้าต้องหลั่งโลหิต ทำให้สาวงามของข้าต้องหลั่งน้ำตา ข้าจึงขอใช้ศาสตราวุธสังหารผู้ทรยศอย่างไร้ไมตรีจิต”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินจ้องมองไปยังร่างไร้วิญญาณทั้งสามด้วยแววตาที่ไร้ซึ่งประกายแล้วกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ในขณะนี้ภายในจิตใจของเขาราวกับถูกแผดเผาจนรังสีสังหารปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจน

 

 

 

 

 

 

 

 

“ซูม”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินขยับเท้าเปลี่ยนทิศทางประดุจสายลมกรรโชกอย่างรุนแรงที่ยังเบื้องหน้าของผู้ทรยศในขุมกำลังของเยี่ยจื่อชิวอีกสองคนที่กำลังทอสีหน้าแตกตื่นอยู่

 

 

 

 

 

 

 

 

ผู้ทรยศทั้งสองคนเบิกตาโตมองไปที่ดวงตาที่กำลังเปล่งประกายสีแดงฉานของหลงเฉิน ภายในจิตใจก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างถึงที่สุด ราวกับเป็นปีศาจร้ายผู้กระหายย่ำกรายขึ้นมาจากขุมนรก บรรยากาศกดดันรายล้อมร่างกายของพวกเขาเอาไว้จนไม่อาจขยับหนีไปทางใดได้อีกแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

“ไม่……”

 

 

 

 

 

 

 

 

“อ๊าก อ๊าก”

 

 

 

 

 

 

 

 

ผู้ทรยศทั้งสองคนกรีดร้องขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด หลงเฉินใช้เพียงดาบเดียวสะบัดตัดคอหอยของพวกเขาจนขาดดิ้น กลิ่นคาวของโลหิตตลบอบอวนไปทั่วทั้งผืนฟ้าจนผู้คนที่ได้กลิ่นถึงกับทอแววตาโง่งมไปตามๆ กัน

 

 

 

 

 

 

 

 

สังหารผู้คน? หลงเฉินสังหารผู้คนอีกแล้วหรือ?

 

 

 

 

 

 

 

 

ผู้คนทั้งหมดทอสีหน้าแตกตื่นมองไปยังร่างกายที่ชุ่มไปด้วยโลหิตสีแดง ภายในจิตใจรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมาอย่างถึงที่สุด หลงเฉินในตอนนี้ไม่ต่างไปจากมัจจุราชที่กำลังช่วงชิงวิญญาณของมนุษย์เลยแม้แต่น้อย

 

 

 

 

 

 

 

 

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเคยผ่านเหตุการณ์ความเป็นตายมาก่อนหน้านี้แล้วจากบททดสอบครั้งสุดท้ายของหมู่ตึก จนทำให้จิตใจของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างมากมาย ทว่าจิตสังหารของหลงเฉินที่ปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณแห่งนี้กลับยากที่จะต้านทานเอาไว้ได้

 

 

 

 

 

 

 

 

ความรู้สึกหนาวเหน็บฝังลึกเข้าไปจนถึงกระดูกจนจำเป็นจะต้องกัดฟันให้แน่นขึ้น เพราะถ้าหากไม่กัดฟันเอาไว้ ทั้งฟันบนและฟันล่างของพวกเขาคงจะกระทบกระทั่งกันจนกลายเป็นจังหวะ

 

 

 

 

 

 

 

 

เหร่ยเชียนซังและพวกพ้องทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่าหลงเฉินจะกล้าสังหารผู้คนภายในหมู่ตึกแห่งนี้อีกครั้งหนึ่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

“ข้าไม่มีวันคิดคดทรยศผู้ใดตราบชั่วชีวิตของข้า และผู้ใดก็อย่าได้หาญกล้ามาทรยศต่อข้าด้วยเช่นกัน……”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินกำลังจะกล่าวบางสิ่งบางอย่างขึ้นมา ทว่าจู่จู่เขาก็รู้สึกว่าฟ้ากำลังหมุนแผ่นดินกำลังเคว้งคว้าง กายาศึกกักวายุกำลังถูกกระตุ้นพร้อมที่จะใช้เบิกสวรรค์ออกมาก็ดับสูญไปราวกับเป็นตะเกียงที่ไร้น้ำมันไปโดยปริยาย

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่ถูกโจมตีด้วยกำปั้นสะท้านจากเหร่ยเชียนซังอย่างหนักหน่วงจนร่างกายบาดเจ็บสาหัสแล้ว ก็ได้ถูกททำร้ายจิตใจจากผู้ทรยศที่ทำให้พี่น้องของตัวเองได้รับบาดเจ็บอย่างแสนสาหัสด้วยเช่นกัน อีกทั้งถังหว่านเอ๋อยังรู้สึกเสียใจจนยากจะเยียวยาได้

 

 

 

 

 

 

 

 

ภายในห้วงสมองของเขาจึงเกิดความคิดว้าวุ่นขึ้นมาอย่างวุ่นวาย ความอ่อนล้าโรยแรงแปรเปลี่ยนเป็นรังสีสังหารอันน่าหวาดกลัวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ถึงแม้ว่าจะอยู่ในสภาวะที่ไร้ซึ่งพลังลมปราณ ทว่าด้วยความโกรธแค้นอย่างแรงกล้าได้ทำให้เขาสังหารผู้คนลงไปถึงห้าคนในคราวเดียวกัน

 

 

 

 

 

 

 

 

และทันใดนั้นเองห้วงแห่งความคิดของเขาก็เข้าสู่ความมืดมิดลงไป ร่างกายไม่อาจยืดหยัดได้อีก ในขณะที่ท้ายทอยกำลังโน้มลงใกล้พื้น จู่จู่ก็มีกลิ่นหอมอันอ่อนโยนโชยพัดเข้ามาถึงสองสาย จากนั้นพลังลมปราณอันบริสุทธิ์ก็ได้ไหลผ่านเข้าสู่ร่างกายอย่างบ้าคลั่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

เยี่ยจื่อชิวที่มักจะทอใบหน้าเย็นเยียบอยู่ตลอดเวลา ทว่าบัดนี้กลับเป็นใบหน้าอันงดงามที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นที่ยากนักจะได้พบเห็น ดวงตาทั้งสองข้างเริ่มมีหยาดน้ำตาไหลรินออกมา ส่วนถังหว่านเอ๋อเองก็มีอารมณ์ไม่แตกต่างกันมากนัก ถึงกับร่ำไห้ออกมาอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับไหลเวียนพลังลมปราณให้หลงเฉิน

 

 

 

 

 

 

 

 

“หยุดร้องเถิด พวกเราตกลงกันแล้วไม่ใช่หรือ? ข้ามีหน้าที่จัดการกับคนพาล ส่วนเจ้าก็มีหน้าที่เป็นบุบผาที่งดงาม ในเมื่อเจ้าตัวบัดซบเหล่านั้นทำให้เจ้าต้องหลั่งน้ำตา ข้าจึงต้องทำให้พวกมันหลั่งโลหิตเพื่อชดใช้” หลงเฉินฝืนยิ้มขึ้นมาแล้วกล่าวอย่างติดขัด

 

 

 

 

 

 

 

 

“เจ้าวายร้าย ชมชอบการทำให้เรื่องราวบานปลายมากเกินไปแล้ว”

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อร้องไห้ออกมายกใหญ่เสียยิ่งกว่าเดิมทันทีที่หลงเฉินกล่าวจบ นางไม่คิดเลยว่าหลงเฉินจะสังหารผู้คนเพื่อนาง อีกทางหนึ่งก็นึกถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เคยประสบพบพานมาด้วยกันจนไม่อาจหยุดร่ำไห้ได้ เพียงแต่พอตั้งสติได้ว่าจะต้องถ่ายทอดพลังลมปราณให้หลงเฉินรอดพ้นจากอันตราย

 

 

 

 

 

 

 

 

ณ จุดสูงสุดของหมู่ตึกแห่งสำนักพลิกสวรรค์ หลิงหวินจื่อกำลังปรายตามองลงไปยังเบื้องล่างด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยเป็นอย่างยิ่ง ภายในแววตาสะท้อนภาพของชายหนุ่มที่คล้ายกับเทพมรณะ ทว่าภายในจิตใจกลับอดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมอยู่ไม่น้อยเลย

 

 

 

 

 

 

 

 

“เป็นไปตามคำเล่าขานจริงๆ ถู่ฟาง เจ้าเห็นแล้วใช่หรือไม่? มีคนทำงานแทนเจ้าแล้ว”

 

 

 

 

 

 

 

 

ถู่ฟางฝืนยิ้มขึ้นมาแล้วตอบกลับไปว่า “ความกล้าหาญของหลงเฉินผู้นี้ช่างสูงล้ำเป็นอย่างยิ่ง ทว่าเขาไม่เกรงกลัวต่อกฎเกณฑ์ของหมู่ตึกบ้างหรืออย่างไรกัน? ออ ท่านเจ้าสำนัก ที่ท่านบอกว่าเป็นไปตามคำเล่าขานกันนั้นหมายความว่าอย่างไรหรือ?”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลิงหวินจื่อค่อยๆ ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้แล้วเยื้องย่างฝีเท้าเข้าไปใกล้รั้ว สายตาเหม่อมองไปยังก้อนเมฆที่ลอยละล่องอยู่เหนือศีรษะ “ตามตำนานเล่าขานแห่งฟ้าดิน สิ่งมีชีวิตที่เรียกกันว่าอี้ซู่นั้นเกิดมาพร้อมกับวิถีเย้ยฟ้า พร้อมที่จะต่อกรกับสวรรค์อย่างไม่หวาดกลัวว่าจะต้องกับทัณฑ์แห่งสวรรค์

 

 

 

 

 

 

 

 

แม้แต่วิถีแห่งฟ้าดินก็ยังไม่อาจต่อต้านบุคคลเช่นนี้ได้ แล้วมีหรือที่อี้ซู่จะเห็นสิ่งอื่นภายใต้โลกหล้าแห่งนี้อยู่ในสายตา เช่นนั้นก็อย่าได้กล่าวถึงกฎของหมู่ตึกของพวกเราอีกเลย”

 

 

 

 

 

 

 

 

ถู่ฟางส่ายหน้าไปมาแล้วกล่าวว่า “เขาบ้าไปแล้วหรืออย่างไรกัน? หากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็มีแต่จะต้องตายสถานเดียวเท่านั้น ไม่เคยมีผู้ใดสามารถฝืนวิถีแห่งฟ้าดินได้”

 

 

 

 

 

 

 

 

สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อยู่ใต้หล้าแห่งนี้ต่างก็ใช้ชีวิตเป็นไปตามวิถีแห่งฟ้าดิน จิตสำนึกและความเข้าใจก็ยังไปตามวิถีแห่งฟ้าดิน หากเป็นเช่นนี้ก็จะสามารถมีชีวิตต่อไปได้ ทว่าการเย้ยหยันต่อสวรรค์นั้นแทบจะไม่ต่างอันใดไปจากการหาที่ตายเลยแม้แต่น้อย

 

 

 

 

 

 

 

 

ต่อให้มีความแข็งแกร่งมากเพียงใดก็ไม่อาจฝืนต่อชะตาฟ้าลิขิตไปได้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหล่าอี้ซู่ที่เกิดขึ้นมามากมายกลับสูญสลายลงไปประดุจดาวมรณะที่ไม่อาจส่องสว่างบนฟากฟ้าได้

 

 

 

 

 

 

 

 

นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดยอดฝีมือที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของวิถีแห่งการฝึกยุทธ์จึงไม่มีการคงอยู่ของเหล่าอี้ซู่เลยแม้แต่คนเดียว นั่นก็เป็นเพราะชะตาชีวิตนับตั้งแต่กำเนิดของพวกเขานั้นมีเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือ——ถูกลบล้างด้วยวิถีแห่งฟ้าดิน ฉะนั้นถู่ฟางจึงได้แต่ลอบถอนหายใจออกมาอย่างอดสู

 

 

 

 

 

 

 

 

“ผิดแล้ว ยังมีอยู่บ้างเรื่องที่หากได้ผ่านพ้นจากจุดสิ้นสุดไปแล้วจะยิ่งทวีความงดงามขึ้นมาอย่างไร้ที่เปรียบ ภายใต้โลกหล้าอันกว้างใหญ่แห่งนี้มีผู้ฝึกยุทธ์มากมายประดุจเม็ดทรายในมหาสมุทร ทว่าจะมีสักกี่คนกันที่จะได้พบกับจุดจบที่ดี?

 

 

 

 

 

 

 

 

ต่อให้ทำตามวิถีแห่งฟ้าดินอย่างหมดจด แล้วจะเป็นอย่างไรเล่า? ยังมีขอบเขตอีกมากมายที่ผู้ฝึกยุทธ์ไม่อาจก้าวข้ามไปได้อยู่ นั่นไม่เรียกว่าเป็นการดับสูญของวิถีแห่งฟ้าดินหรอกหรือ?

 

 

 

 

 

 

 

 

ความตายนั้นไม่ใช้จุดสิ้นสุดเสมอไป และสิ่งที่ผ่านพ้นเข้ามานั้นต่างก็มีส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โลกของวิทยายุทธ์วิถีใหญ่นั้นมีมากกว่าหมื่นพัน ส่วนวิถีเล็กนั้นมีอยู่พันหมื่น แล้วอันใดเรียกว่าวิถีใหญ่ อันใดเรียกว่าวิถีเล็กกัน แล้วผู้ใดจะเป็นผู้บัญญัติเพื่อยืนยันสิ่งเหล่านี้ได้บ้าง?

 

 

 

 

 

 

 

 

ในเมื่อเป็นไปไม่ได้ก็ไม่มีสิ่งใดที่เท่าเทียมกันอีกแล้ว เส้นทางที่ผู้คนได้เลือกด้วยตัวเอง ให้ตระหนักเอาไว้ว่าไม่ว่าจะสูงส่งเพียงใดก็ต้องมีจิตใจแห่งความทระนงตน” หลิงหวินจื่อมองไปที่ถู่ฟางแล้วกล่าวคำพูดอันลึกล้ำขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

 

ถู่ฟางยกมือแสดงการคารวะแล้วตอบกลับไปว่า “ขอบคุณท่านเจ้าสำนักที่เตือนสติ ข้าสัมผัสได้ถึงขอบเขตจิตใจของตัวเองแล้ว อีกทั้งยังเพิ่มพูนขึ้นมาอยู่ไม่น้อยเลย ดูเหมือนว่าข้าจะยืดติดกับบางสิ่งมากจนเกินไป”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ภายในจิตใจของถู่ฟางเต็มเปี่ยมไปด้วยความเคารพต่อหลิงหวินจื่ออย่างถึงที่สุด เขาสามารถสัมผัสได้ถึงขอบเขตจิตใจของคนผู้นี้ได้อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นสิ่งที่แตกต่างจากเขาจนเรียกได้ว่าห่างไกลกันเกินไปแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

“ทว่าข้าขอเรียนถามท่านเจ้าสำนัก หลงเฉินได้สังหารผู้คนลงไป หากเป็นไปตามกฎของหมู่ตึกแล้วมีแต่จะต้องขับไล่ออกไปสถานเดียวเท่านั้น” ถู่ฟางกล่าวขึ้นมาด้วยความลำบากใจ

 

 

 

 

 

 

 

 

“คอยดูกันต่อไปเถิด” หลิงหวินจื่อยิ้มแล้วหันกลับไปมองยังเบื้องล่าง เขาอยากจะทราบนักว่าผู้อาวุโสซุนจะจัดการกับเหตุการณ์ในครั้งนี้อย่างไร

 

 

 

 

 

 

 

 

ผู้อาวุโสซุนเองก็คิดไม่ถึงว่าหลงเฉินจะมีความหาญกล้าเหนือฟ้าได้ถึงเพียงนี้ ทว่าภายในจิตใจของเขากลับเกิดความยินดีขึ้นมาอย่างไม่เสื่อมคลาย

 

 

 

 

 

 

 

 

ครั้งแรกที่เห็นหลงเฉินสังหารศิษย์ไปถึงสามคนก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายเป็นอย่างยิ่ง ส่วนในครั้งที่สองนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะมีกำลังพอที่จะเข้าไปห้ามปรามทว่าเขากลับไม่ทำเช่นนั้น อีกทั้งภายในจิตใจก็ไม่ต้องการให้หลงเฉินทำผิดกฎของหมู่ตึก ทว่าในตอนนี้ไม่มีผู้ใดที่สามารถขัดขวางเขาเอาไว้ได้อีกแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

“หลงเฉิน เจ้าหาญกล้าเกินไปแล้ว ถึงกับลงมือต่อศิษย์ร่วมสำนักเดียวกันอย่างโหดเ**้ยมด้วยจิตใจที่คลุ้มคลั่ง เจ้าในตอนนี้ไม่ต่างไปจากมารร้ายผู้หนึ่งเลยด้วยซ้ำไป” ผู้อาวุโสซุนลุกขึ้นมาพร้อมกับด่าทออย่างมีโทสะ

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่ได้รับการช่วยเหลือจากถังหว่านเอ๋อแล้ว หลงเฉินก็มีสติคืนกลับมาได้เล็กน้อย ถึงแม้ว่าจะไม่ถึงขั้นที่จะต่อสู้ได้ ทว่าก็พอจะมีเรี่ยมแรงยืนหยัดได้อย่างมั่นคง

 

 

 

 

 

 

 

 

เขาค่อยๆ คลายจากแขนของโฉมงามทั้งสองที่กำลังพยุงร่างกายเอาไว้แล้วเดินหน้าออกไปหลายก้าว ถึงแม้ว่าจะร่างกายจะยังอ่อนแออยู่ ทว่าบรรยากาศบนร่างกายยังคงมีรังสีสังหารอยู่ ผู้คนที่ขวางอยู่เบื้องหน้าต่างก็ร่นถอยหลังให้จนกลายเป็นเส้นทางสายหนึ่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวเดินติดตามหลงเฉินไปอย่างช้าๆ เนื่องจากยังเป็นกังวลกับอาการของหลงเฉิน อีกทั้งภายในจิตใจรู้สึกได้ว่ากำลังจะเกิดเรื่องราวที่ย่ำแย่ขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินหยุดฝีเท้าลงแล้วจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าของผู้อาวุโสซุน พลันก็ส่งเสียงหัวเราะขึ้นมาเสียงดัง

 

 

 

 

 

 

 

 

“สารเลว เจ้าหัวเราะอันใดกัน?” ผู้อาวุโสซุนตะเบ็งเสียงขึ้นมาอย่างขุ่นเคือง

 

 

 

 

 

 

 

 

“ข้ากำลังหัวเราะตาแก่ผู้โง่งมคนหนึ่ง เห็นๆ กันอยู่แล้วว่ากำลังมีจิตใจที่เบิกบานเป็นอย่างยิ่ง ทว่ายังเสแสร้งแกล้งทำเป็นมีหลักการณ์ขึ้นมาได้อย่างหมดจด เจ้าทราบหรือไม่ว่าอันใดเรียกว่าสีหน้า แล้วอันใดเรียกว่าอารมณ์? สองสิ่งนี้ต่างกันอย่างชัดเจนเชียวนะ” หลงเฉินกล่าวออกไปอย่างไม่แยแส

 

 

 

 

 

 

 

 

ถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวหันไปสบตากัน ต่างฝ่ายต่างก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกของกันและกัน หลงเฉินผู้นี้สามารถทำให้ผู้คนทั้งรักและเกลียดชังได้อย่างรวดเร็วยิ่งนัก ในเวลาเช่นนี้เจ้ายังกล้าไปกระตุ้นโทสะของผู้อาวุโสซุนอีกอย่างนั้นหรือ?

 

 

 

 

 

 

 

 

เดิมทีพวกนางคิดที่จะร้องขอให้ผู้อาวุโสซุนลดโทษให้กับหลงเฉินบ้าง เพราะไม่ว่าอย่างไรกฎเกณฑ์ของทางหมู่ตึกก็เอื้อต่อยอดฝีมือที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

ทว่าบัดนี้หลงเฉินกลับใช้คำพูดที่ร้ายแรงจนตัดรอนหนทางที่ทั้งสองนางได้ตระเตรียมเอาไว้แล้ว เป็นการกระทำที่คล้ายกับใช้ฝ่ามือของเขาตบเข้ามาที่ใบหน้าของพวกนาง หากขอร้องอ้อนวอนออกไปอีกก็มีแต่จะทำให้อับอายขายขี้หน้าเป็นอย่างยิ่งยวด

 

 

 

 

 

 

 

 

“หลงเฉิน หยุดกล่าววาจาเหลวไหลได้แล้ว”

 

 

 

 

 

 

 

 

ศิษย์พี่ว่านก้าวเท้าขึ้นมาแล้วตวาดเสียงดังใส่หลงเฉิน ในขณะเดียวกันก็ลอบส่งสายตาห้ามปรามมาที่หลงเฉินเป็นระยะ เป็นความนัยว่าอย่าได้คิดต่อต้าน เพราะอาจจะยังมีโอกาสรอดอีกทางหนึ่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินยิ้มกลับไปแล้วพยักหน้าให้กับศิษย์พี่ว่าน เขารู้สึกขอบคุณในความหวังดีของศิษย์พี่ว่านอย่างลึกซึ้ง ทว่าในตอนนี้เขาก็ไม่อาจควบคุมตัวเองได้อีกแล้วคล้ายกับว่าชีวิตกำลังได้รับความอัปยศอดสูถาโถมเข้ามา อีกทั้งเขาจะไม่ยอมปล่อยให้สหายของตัวเองต้องถูกกลั่นแกล้งอีก และที่สำคัญที่สุดก็คือเขาไม่ชมชอบการคิดคดทรยศซึ่งเป็นสิ่งที่เขาเกลียดชังจนฝังลึกลงไปถึงกระดูก

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินเลื่อนสายตาจดจ้องไปยังใบหน้าที่ดำคล้ำของผู้อาวุโสซุนแล้วพ่นเสียงหัวเราะอย่างเย็นชาขึ้นมาอีกครั้ง “ถึงแม้ว่าข้าจะเข้ามาอยู่ภายในหมู่ตึกแห่งนี้ได้ไม่นาน ทว่าข้าเองก็ทราบถึงจุดประสงค์ของหมู่ตึกเป็นอย่างดี: ปรับปรุงแก้ไขฝ่ายธรรมะ ขุดรากถอนโคนฝ่ายอธรรม

 

 

 

 

 

 

 

 

พวกเจ้าเองก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือว่าสิ่งที่พวกเจ้าเรียกกันว่าฝ่ายธรรมะนั้นเป็นอย่างไร? หลอกใช้ความเชื่อใจของพวกเดียวกัน จากนั้นก็ใช้ดาบแทงเข้าข้างหลังของพวกพ้องอย่างนั้นหรือ?”

 

 

 

 

 

 

 

 

ชีซิ่งหัวเราะหึหึอย่างเย็นชาแล้วกล่าวขึ้นมาว่า “เจ้าโง่ สิ่งที่เกิดขึ้นมานั้นเรียกกันว่าแผนการ เป็นความเฉลียวฉลาดชนิดหนึ่งที่พวกเจ้าคิดไม่ถึงก็เท่านั้น ฉะนั้นพวกเจ้าถึงได้เป็นคนโง่เขลาอย่างไรเล่า”

 

 

 

 

 

 

 

 

คำพูดของชีซิ่งได้กระตุ้นโทสะของผู้คนภายในขุมกำลังของถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวจนเดือดดานอย่างถึงที่สุด

 

 

 

 

 

 

 

 

“เก็บลมของเจ้าไปผายที่อื่นเสียเถิด ไม่ว่าผู้ใดที่เข้ามาภายในขุมกำลังของข้าแล้วย่อมเป็นเสมือนพี่น้องกัน แล้วนี่หรือคือสิ่งตอบแทนความเชื่อใจ?”

 

 

 

 

 

 

 

 

“มารดาเจ้าเถิด หากเป็นไปตามที่เจ้าพร่ำเพ้อออกมา ก็อย่าได้ให้ผู้ใดฝึกยุทธ์อีกเลย เปลี่ยนไปใช้ดาบแทงข้างหลังกันไปเถิด” ชีซิ่งระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นมาไม่หยุดพร้อมกับทอสีหน้าเย้ยหยันขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

 

กู่หยาง เหร่ยเชียนซัง และพวกพ้องต่างก็ยืนหยัดอยู่ด้วยกัน สีหน้าของพวกเขาต่างไม่แสดงอารมณ์ใดใด อีกทั้งยังไม่แยแสสนใจต่อคำกล่าวของหลงเฉินเลยแม้แต่น้อย

 

 

 

 

 

 

 

 

“คนเลวทรามเหล่านั้น ต่อให้มีพลังการฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งขึ้นไปก็ยังเป็นได้แค่ขยะเท่านั้น หลงเฉิน พวกเราจะสนับสนุนเจ้าเอง”

 

 

 

 

 

 

 

 

ทันใดนั้นก็มีเงาร่างของคนสองคนก้าวออกมาจากกลุ่มคนแล้วมาหยุดอยู่ข้างกายของหลงเฉิน

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset