สายตาทุกคู่จดจ้องไปยังเงาร่างที่เพิ่งจะปรากฏตัวขึ้นมาต่อเบื้องหน้าสายตาของพวกเขา เจ้าของเสียงอันดังสะท้านไปทั้งฟ้าดิน เขาเป็นชายวัยกลางผู้หนึ่ง
“คารวะท่านเจ้าสำนัก”
ผู้อาวุโสซุนแตกตื่นตกใจขึ้นมายกใหญ่ พลันก็โน้มกายคารวะชายวัยกลางคนผู้นั้นอย่างร้อนรน ส่วนเหล่าศิษย์ใหม่ต่างก็อดสีหน้าโง่งมไปตามๆ กัน ภายในจิตใจก็เกิดอาการตื่นตูมขึ้นมาอย่างรุนแรง คนผู้นี้คือท่านเจ้าสำนักของหมู่ตึกแห่งสำหนักพลิกสวรรค์อย่างนั้นหรือ เคยได้ยินแต่คำเล่าขานที่ว่าเขาคือยอดฝีมือที่มีความแข็งแกร่งในระดับตำนานเลยทีเดียว
หลงเฉินจดจ้องไปยังเงาร่างของหลิงหวินจื่อด้วยความตื่นเต้นเมื่อเขาไม่สามารถสัมผัสพลังแห่งจิตวิญญาณของคนผู้นั้นได้เลยแม้เพียงเสี้ยวเดียว ราวกับว่าเขาเป็นเพียงเงามายาที่ไม่ได้มีการคงอยู่ที่แท้จริง หรือกล่าวอย่างเข้าใจง่ายก็คือเขานั้นได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับผืนฟ้าและผืนดินไปแล้ว
“เป็นพลังการฝึกยุทธ์ที่แปลกประหลาดและน่าหวาดกลัวยิ่งนัก”
ภายในจิตใจของหลงเฉินร่ำร้องขึ้นมาด้วยความหวาดหวั่น ในหมู่ยอดฝีมือที่เขาเคยได้พบเจอมาทั้งหมด นอกจากหญิงสาวที่มาจากดินแดนหลิงเจี่ยแล้ว ก็คงจะต้องยกให้หลิงหวินจื่อเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด
หลิงหวินจื่อเหม่อมองไปทางหลงเฉินและพวกพ้องด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแล้วกล่าวขึ้นมาว่า “พวกเจ้ากระทำการต่อรองเช่นนี้ก็ไม่มีประโยชน์อันใด กฎของหมู่ตึกเป็นสิ่งที่เหล่าผู้ก่อตั้งรุ่นแรกเป็นผู้บัญญัติขึ้นมา ต่อให้มีตำแหน่งเป็นถึงเจ้าสำนักเช่นข้าเองก็ยังไม่อาจเปลี่ยนแปลงกฎเหล่านั้นได้
หากพวกเจ้าคิดจะเปลี่ยนแปลงกฎของหมู่ตึกเหล่านั้นถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ผิดอย่างมหันต์ และต่อให้พวกเจ้าทั้งหมดยอมถอนตัวออกไป กฎของหมู่ตึกก็ยังคงเป็นเฉกเช่นเดิม”
ถังหว่านเอ๋อและผู้คนที่แสดงจุดยืนทั้งหมดทอสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แม้แต่ท่านเจ้าสำนักเองก็ยังเชื่อมั่นในกฎเกณฑ์เหล่านั้นหรือ? เช่นนั้นหลงเฉินจะต้องถูกขับไล่ออกจากหมู่ตึกแห่งนี้แล้วสินะ
หลงเฉินจึงกวาดสายตามองไปยังพวกพ้องของเขาแล้วเอ่ยวาจาอย่างอ่อนโยนว่า “ความหวังดีของพวกเจ้าในครั้งนี้ ข้าจะขอรับและจดจำเอาไว้ด้วยใจ ในเมื่อข้าทำผิดเองก็จะขอรับโทษแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น และที่สำคัญโทษของข้าคือการออกไปจากที่นี่ ไม่ใช่ว่าจะถูกฆ่าฟันจนตายตกไปเสียหน่อย ฉะนั้นพวกเจ้าอย่าได้ลำบากใจไปเลย ต่อให้ไม่ได้อยู่ภายในหมู่ตึกแห่งนี้ ข้าก็มีความสามารถมากพอที่จะเติบใหญ่ขึ้นไปได้อีก”
“หลงเฉิน……” ดวงตาคู่งามของถังหว่านเอ๋อเริ่มมีน้ำใสเอ่อล้นขึ้นมา
หลงเฉินโบกมือขึ้นเพื่อเป็นการตัดบทพูดแล้วกล่าวต่ออีกว่า “พวกเจ้าไม่ใช่เด็กน้อยอีกต่อไปแล้ว อย่าได้กระทำเช่นนี้จนเสียการใหญ่ในภายภาคหน้า กว่าที่พวกเจ้าจะมาถึงวันนี้ย่อมต้องทุ่มเทแรงกายและแรงใจของตัวเองไปอย่างมากมายมหาศาล ฉะนั้นอย่าได้ทำให้ข้าลำบากใจไปด้วยเลย”
เมื่อฟังจบ ถังหว่านเอ๋อก็พรั่งพรูหยาดน้ำตาอาบทั้งสองแก้ม เสียงร่ำไห้ดังฮือฮือออกมาไม่หยุด แม้คนอื่นจะไม่ได้ร้องคร่ำครวญออกมา ทว่าภายในจิตใจของพวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกดีไปกว่ากันมากนัก
ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้น กู่หยาง ชีซิ่ง และเหร่นเชียวซังต่างก็ส่งเสียงหัวเราะขึ้นมาอย่างเย็นชา ดวงตาของพวกเขาจ้องมองไปที่กลุ่มคนเหล่านั้นด้วยความเย้ยหยัน ผู้อาวุโสซุนเองก็อดไม่ได้ที่จะผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความผ่อนคลาย หากหลงเฉินไม่ถูกขับไล่ให้ออกจากหมู่ตึกแห่งนี้ไป แผนการของเขาก็คงจะล้มเหลวอย่างแน่นอน
หลิงหวินจื่อมองไปยังหลงเฉินและพวกพ้องด้วยแววตาแห่งความยกย่อง พลันก็กล่าวแทรกบรรยากาศโศกเศร้าขึ้นมาว่า “หลงเฉิน หากเป็นไปตามกฎของหมู่ตึก เจ้ามีทางเลือกอยู่สองทางด้วยกัน ทางแรกคือยอมจำนนออกไปจากสถานที่แห่งนี้แต่โดยดี และอีกทางหนึ่งคือเจ้าจะถูกเนรเทศ”
“เนรเทศ?” หลงเฉินฉงนสงสัยขึ้นมาอย่างถึงที่สุด เขาไม่เคยทราบเลยว่ามีทางเลือกเช่นนี้บัญญัติเอาไว้ด้วย
“ฟังไม่ผิดหรอก กฎของหมู่ตึกย่อมเอื้อต่อผู้ที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว ฉะนั้นเจ้ายังมีโอกาสที่จะอยู่ภายในหมู่ตึกแห่งนี้ต่อไป ทว่าก็อยู่ที่เจ้าว่าจะเลือกทางใด” หลิงหวินจื่อกล่าว
“เกรงว่าการเนรเทศนั้นคงจะไม่ง่ายเลย” หลงเฉินถามหยั่งเชิงออกไป
“แน่นอน การเนรเทศนั้นหมายถึงการละทิ้งให้ศิษย์สายตรงที่ฝ่าฝืนกฎไปอยู่ในดินแดนรกร้างศิลาวายที่กว้างขวางกว่าสิบหมื่นลี้ ทว่าสถานที่แห่งนั้นเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์มายาระดับสาม และอาจมีบ้างที่เจ้าจะได้พบกับสัตว์มายาระดับสี่” หลิงหวินจื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
ผู้คนทั้งหมดเกิดอาการแตกตื่นจนใจเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง สัตว์มายาระดับสาม? ทางเลือกเช่นนี้ไม่ได้ต่างไปจากการเอาชีวิตไปทิ้งไว้เลยแม้แต่น้อย อย่าว่าแต่ยอดฝีมือระดับสัตว์ประหลาดอย่างหลงเฉินเลย แม้แต่ทิ้งให้ยอดฝีมือหลายสิบคนเข้าไปต่อกรกับสัตว์มายาระดับสามก็ใช่ว่าจะรอดกลับมาได้ จึงไม่ต้องกล่าวถึงสัตว์มายาระดับสี่เลย ด้วยการคงอยู่ระดับนี้ ต่อให้เป็นผู้อาวุโสขอบเขตปรือกระดูกก็ย่อมพบเจอกับผลลัพธ์ที่ไม่แตกต่างกัน
การถูกขับไล่ก็ยังพอที่จะรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้ได้ ทว่าการถูกเนรเทศให้ไปยังสถานที่แห่งนั้น แม้แต่ชีวิตก็ยังอาจจะรักษาเอาไว้ไม่ได้
“แล้วเคยมีผู้ใดเลือกทางนี้บ้างหรือไม่?” หลงเฉินถามขึ้นมาด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“มี นับตั้งแต่ก่อตั้งหมู่ตึกจวบจนถึงตอนนี้ มีทั้งหมดหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสามคนที่เลือกจะถูกเนรเทศ” หลิงหวินจื่อกล่าว
“แล้วมีกี่คนที่ทำสำเร็จ?” หลงเฉินถามออกไปอย่างยากลำบาก
“ยังไม่มีแม้แต่คนเดียว” หลิงหวินจื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“หือ?”
“อะไรกัน?”
พวกพ้องที่ยืนอยู่ข้างกายของหลงเฉินร้องเสียงหลงขึ้นมา พร้อมกับทอสีหน้าปั้นยากอย่างรุนแรง หลายพันปีที่ผ่านมานี้มีศิษย์สายตรงมากมายเลือกที่จะถูกเนรเทศออกไป ทว่ากลับไม่มีแม้แต่คนเดียวที่มีชีวิตรอดกลับมาได้ ทางเลือกสายนี้ไม่ใช่เส้นทางเก้าตายแล้วหนึ่งรอด ทว่าควรเรียกว่าเป็นเส้นทางไร้หนทางรอดเต็มสิบส่วนแล้ว
“หลงเฉิน อย่าเลือกเส้นทางนั้นเลย ไม่เช่นนั้นมีแต่จะต้องตายสถานเดียวเท่านั้น” ถังหว่านเอ๋อกล่าวขึ้นมาทั้งที่ยังร่ำร้องอยู่
หลงเฉินยิ้มกลับไป แล้วกล่าวปลอบประโลมต่อหญิงสาวว่า “อย่าได้กังวลไปเลย”
จากนั้นเขาก็หันกลับไปโค้งกายคารวะต่อหลิงหวินจื่อแล้วตอบกลับไปว่า “ขอขอบคุณท่านเจ้าสำนักที่กรุณา ศิษย์ขอเลือกที่จะถูกเนรเทศ”
พวกพ้องทั้งหมดต่างก็ตกตะลึงขึ้นมาจนไม่อาจเอ่ยวาจาอันใดออกมาได้อีก หลงเฉินเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เห็นๆ กันอยู่แล้วว่าทางเลือกสายนั้นมีแต่จะต้องตายสถานเดียว ทว่าเมื่อมองย้อนกลับไปตั้งแต่รู้จักนามว่าหลงเฉิน พวกเขาก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่าหลงเฉินผู้นี้ไม่เคยเป็นปกติมาโดยตลอด จึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
ถึงกับลงไม้ลงมือในเขตหวงห้ามการใช้วรยุทธ์ ตบหน้าของผู้คุมกฎ ต่อกรกับศิษย์พี่ที่อยู่ในขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น ชี้หน้าด่าทอผู้อาวุโสของหมู่ตึก เรื่องราวเหล่านั้นคงจะไม่มีคนปกติธรรมดาคนใดสามารถกระทำได้อย่างแน่นอน
“ฮาฮาฮา ได้ เจ้ากลับไปเตรียมตัว หลังจากนี้สามวันเจ้าจะต้องไปสู่ดินแดนรกร้างศิลาวาย”
หลิงหวินจื่อหัวเราะฮาฮาออกมาอย่างเย็นเยียบ พลันก็ขยับกายแล้วหายตัวไปในทันที ทิ้งให้ผู้คนมากมายตกอยู่ในสภาวะเงียบงันประดุจป่าช้า
หลังจากที่หลิงหวินจื่อจากไปแล้วครู่หนึ่ง ผู้อาวุโสซุนก็เริ่มประกาศอันดับของขุมกำลังขึ้นมา ขุมกำลังของกู่หยางกระโดดขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งเพราะได้ช่วงชิงธงจากขุมกำลังของถังหว่านเอ๋อในตอนท้ายได้สำเร็จ ส่วนอันดับสองและอันดับสามนั้นเป็นของเหร่ยเชียนซังและชีซิ่ง พวกเขาทั้งสองคนต่างก็แบ่งธงที่ขโมยมาจากขุมกำลังของเยี่ยจื่อชิวกันคนละครึ่ง
อันดับสี่ตกเป็นของอีกหนึ่งยอดฝีมือที่มีสัญลักษณ์ประจำพลังของต้นตระกูลอันมีนามว่ากวานเหวินหนาน ส่วนธงของขุมกำลังที่เหลือต่างก็มีไม่ถึงสิบเสียด้วยซ้ำไป ฉะนั้นจึงจัดอันดับโดยใช้หลักการนับตามสภาพความสมบูรณ์ของผู้คนภายในขุมกำลังแทน
ขุมกำลังของถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวนั้นไม่มีธงเลยแม้แต่ผืนเดียว จากที่เคยครองอยู่ในอันดับหนึ่งกลับกลายเป็นผู้อ่อนแอได้ภายในไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น
หลังจากที่ประกาศอันดับเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหล่าผู้รักษาจากศาลาการแพทย์กลุ่มใหญ่ก็ได้หลั่งไหลเข้ามายังบริเวณแห่งนั้นประดุจน้ำป่าไหลหลาก แล้วเริ่มให้การรักษาผู้คนที่บาดเจ็บ หลงเฉินเหม่อมองไปยังกลุ่มคนเหล่านั้นครู่หนึ่ง แล้วจู่จู่ก็มีใบหน้าที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นมามากมาย
“เอ๊ะ ท่านคือเกอเกอที่มีน้ำใจผู้นั้นใช่หรือไม่? ท่านได้รับบาดเจ็บหนักเลย มา พวกเราจะช่วยรักษาให้ท่านเอง”
เมื่อเด็กสาวผู้หนึ่งมองเห็นกัวเหรินก็รีบเข้าไปรักษาในทันที นางวางมือไปที่บาดแผลเพื่อเชื่อมกระดูกให้กัวเหรินอย่างใจจดใจจ่อ
ในขณะเดียวกันก็มีเด็กสาวอีกหลายคนรายล้อมกัวเหรินอยู่ บ้างก็คอยป้อนโอสถรักษาอาการบาดเจ็บให้ บ้างก็ไหลเวียนพลังลมปราณเข้าสู่ร่างกายของกัวเหรินเพื่อช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด
เด็กสาวกลุ่มนั้นต่างก็ใช้พลังธาตุไม้ออกมากันยกใหญ่ ด้วยความช่วยเหลืออย่างตั้งใจของพวกนางจึงทำให้ความเจ็บปวดภายในร่างกายของกัวเหรินทุเลาลงไปอย่างมาก
“ขอบใจพวกเจ้ามาก” กัวเหรินกล่าวด้วยความตื้นตันใจ
“อย่าได้เกรงใจพวกเราเช่นนี้เลย เป็นพวกเราที่ต้องขอบคุณท่านมากกว่า หากไม่ได้ท่านและเกอเกอช่วยเหลือในวันนั้น พวกเราคงถูกไล่กลับบ้านเกิดไปแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะมีโอกาสได้มารักษาท่านอีก พวกเรารู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก” เด็กสาวคนหนึ่งกล่าวขึ้นมาด้วยใบหน้ายิ้มกริ่ม
กัวเหรินฝืนยิ้มขึ้นมาแล้วตอบกลับไปว่า “ขอให้ชีวิตในที่แห่งนี้ของพวกเจ้าจงมีแต่ความสุข”
เด็กสาวกลุ่มนั้นต่างก็เพ่งสมาธิไปที่การรักษาจึงไม่ได้ยินคำพูดอันแผ่วเบาของกัวเหริน หลังจากที่เชื่อมกระดูกทั้งหมดได้แล้ว พวกนางก็ไหลเวียนพลังลมปราณเข้ากระชับเนื้อเยื่อภายในร่างกายจนทำให้กระดูกผสานตัวกันมากยิ่งขึ้น
หลังจากที่รักษาจนครบถ้วนกระบวนความแล้ว พวกนางก็กำชับต่อกัวเหรินว่าอย่าออกแรงมากจนเกินไปภายในสามวันแรกนี้ และร่างกายของเขาจะฟื้นฟูกลับมาดังเดิมภายในสิบวันหลังจากนี้
ถึงแม้ว่าเด็กสาวเหล่านี้จะเป็นเพียงเด็กใหม่ที่เพิ่งจะเข้ามา ทว่าพลังลมปราณของพวกนางที่ใช้สำหรับรักษาผู้คนกลับเรียกได้ว่าแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับช่วยทำให้ร่างกายที่บอบช้ำอย่างหนักฟื้นฟูขึ้นมาได้รวดเร็วถึงเพียงนี้
แววตาของเด็กสาวกลุ่มนี้สะท้อนภาพของผู้บาดเจ็บจำนวนมากที่ถูกรักษาจนอาการดีขึ้น ใบหน้าของพวกเขายิ้มแย้มแจ่มใสอย่างถึงที่สุด เพราะผู้คนเหล่านี้เปรียบเสมือนคนที่ทำให้พวกนางได้เพิ่มพูนประสบการณ์ของตัวเองขึ้นมาอย่างท่วมท้น
“หลงเฉินเกอเกอ ให้ข้าช่วยตรวจร่างกายของท่านด้วยเถิด” เด็กสาวคนหนึ่งเดินเข้าหยุดอยู่เบื้องหน้าของหลงเฉินแล้วกล่าวขึ้นมาด้วยอาการเคาะเขิน
ดวงตากลมโตของนางผลุบมองต่ำลง ภายในสมองยังคงจดจำภาพของหลงเฉินที่ถูกกัวเหรินนำพาไปยังจุดลงทะเบียนได้เป็นอย่างดี พวกเขาทั้งสองคนทำให้นางและสหายมีประสบการณ์ในการรักษามากยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าพวกเขาจะถูกเจาะแขนจนเป็นรอยพรุนประดุจยุงกัดก็ตาม
ในช่วงเวลานั้นนางถูกเหล่าศิษย์พี่คอยกดดันอยู่ข้างกายจนนางร้อนรนจนแทบจะบ้าคลั่ง อีกทั้งยังร้องไห้ออกมาอยู่หลายครั้งด้วยกัน หากไม่ได้หลงเฉินคอยพูดปลอบโยนจิตใจ แน่นอนว่านางคงไม่อาจยิ้มได้และคงจะล้มเลิกความตั้งใจไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
หลงเฉินยิ้มน้อยๆ และกำลังจะปฏิเสธออกไป ทว่าทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะอย่างเย็นชาดังขึ้นมาจากอีกทางหนึ่ง “ก็แค่คนที่ใกล้จะตายแล้ว เจ้าไม่จำเป็นที่จะต้องตรวจร่างกายของเขาอีก”
ลู่ฉวนเดินเข้ามาพร้อมกับทอสีหน้าเย้ยหยันมองมาที่หลงเฉิน เห็นได้ชัดว่าคำพูดเมื่อครู่นี้ออกมาจากฝีปากของชายผู้นี้นี่เอง
เด็กสาวคนนั้นทั้งตกใจและเดือดดานจนตอบกลับไปว่า “หลงเฉินเกอเกอต้องไม่ตาย ศิษย์พี่ลู่ฉวนอย่าได้กล่าวเหลวไหลอีกเลย”
“เหอะ สถานที่ที่ถูกเรียกขานว่าสุสานของผู้ถูกเนรเทศยังไม่เคยมีผู้ใดรอดกลับมาได้แม้แต่คนเดียว ทันทีที่เขาเลือกทางสายนี้ย่อมไม่ต่างอันใดไปจากคนใกล้ตายแล้วเท่านั้น ฉะนั้นอย่ามัวเสียเวลารักษาคนที่ใกล้จะตายเลย ข้าขอสั่งให้เจ้าไปรักษาคนอื่น” ลู่ฉวนตวาดขึ้นมาเสียงดัง
ควรทราบว่าเขาเป็นหัวหน้าของผู้รักษากลุ่มนี้ ฉะนั้นศิษย์ใหม่ทั้งหมดย่อมต้องเชื่อฟังคำสั่งของเขา เขามีสิทธิ์ที่จะสั่งผู้คนเหล่านี้ได้ทุกอย่าง
“ท่าน……ท่านอย่าได้กล่าววาจาเหลวไหล หลงเฉินเกอเกอเป็นคนดี เขาจะต้องมีชีวิตรอดกลับมาได้อย่างแน่นอน” เด็กสาวทอดวงตาแดงก่ำ หยาดน้ำตาไหลรินออกมาอาบสองแก้ม อีกทั้งไม่ยินยอมที่จะขยับร่างกายไปจากที่ตรงนั้น
“บังอาจ เจ้ากล้าขัดคำสั่งของข้าอย่างนั้นหรือ เจ้าไม่ทราบหรือว่าข้าสามารถเตะเจ้าออกจากกลุ่มนี้ได้?” ลู่ฉวนระเบิดเพลิงโทสะขึ้นมายกใหญ่
หลงเฉินจึงก้าวออกไปด้านหน้าแล้วจ้องเขม็งไปที่ลู่ฉวน “ดูเหมือนว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดไม่เพียงพอสินะ เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าด้วยระยะห่างในตอนนี้ ข้าสามารถสะบัดคอของเจ้าให้หลุดออกมาได้เพียงหนึ่งฝ่ามือเท่านั้น”
ลู่ฉวนถลึงตาขึ้นมาแล้วรีบถอยหลังกลับไปหนึ่งก้าว หากเป็นผู้อื่นกล่าวออกมาเช่นนี้ เขาคงจะหัวเราะฮาฮาออกมาแล้วอย่างแน่นอน ทว่าบัดนี้คนที่อยู่เบื้องหน้าของเขาคือหลงเฉิน ผู้ที่สามารถทำได้ทุกสิ่งที่คนทั่วไปไม่ชมชอบที่จะทำกัน
“แล้วเจ้าเชื่อหรือไม่ว่าต่อให้ข้าสังหารเจ้าไปในตอนนี้ก็จะไม่ได้รับโทษอันใดเพิ่ม เพราะไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องถูกเนรเทศออกไปอยู่แล้ว” หลงเฉินจ้องลู่ฉวนแล้วกล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชา
“อึก”
ลู่ฉวนสะดุ้งตัวโยน สายตาของหลงเฉินราวกับมีเทพแห่งความตายกำลังจ้องมองเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น ใบหน้ามีเหงื่อผุดขึ้นมามากมายอย่างที่ไม่อาจควบคุมได้ ร่างกายสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด
“และหากข้ามีชีวิตรอดกลับมาแล้วได้ยินว่าเจ้าทำให้เสี่ยวเม่ยเม่ยผู้นี้ลำบากใจแม้แต่น้อย ข้าจะตัดคอแล้วเอาศีรษะของเจ้ามาทำเป็นที่รองนั่ง”
เมื่อกล่าวจบ หลงเฉินก็หันมากล่าวต่อสาวน้อยว่า “ข้าสบายดี ไม่ต้องรับการรักษาใดใด หลังจากนี้เจ้าจงตั้งใจเล่าเรียนให้ดี ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องเป็นยอดฝีมือสายรักษาที่เลื่องชื่อได้แน่นอน”
จากนั้นหลงเฉินก็กวาดสายตามองไปโดยรอบแล้วก็พบว่าถังหว่านเอ๋อและพวกพ้องได้จากไปจนหมดแล้ว เขาจึงเดินทางกลับถ้ำที่พัก
เมื่อพบกับถังหว่านเอ๋อ เขาก็กล่าวขึ้นมาว่า “ภายในสามวันนี้ข้าจะใช้ให้คุ้มค่าที่สุด อีกสักครู่ข้าจะเขียนรายชื่อสมุนไพรแล้วให้เจ้าและจื่อชิวเจี่ยเจี่ยไปรวมรวบคะแนนแล้วไปหาซื้อสมุนไพรเหล่านั้นมา”