เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 205 ก่อโลหิตขั้นที่สิบเอ็ด

คมเขี้ยวอันแหลมคมยาวกว่าหนึ่งจั่งแทงทะลุร่างของเฟิงไห่ ดวงตากลมโตมองไปยังปลายเขี้ยวที่โผล่ขึ้นมาตรงกลางหน้าอกด้วยอาการแตกตื่น

 

 

 

 

 

 

 

 

“อา”

 

 

 

 

 

 

 

 

เฟิงไห่ร้องเสียงหลงขึ้นมาพร้อมกับกวาดกระบี่ยาวในมือไปด้านหลังอย่างร้อนรน

 

 

 

 

 

 

 

 

“กร่อบ”

 

 

 

 

 

 

 

 

ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าเฟิงไห่ผู้นี้ช่างแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง เพียงคมกระบี่เดียวก็สามารถตัดผ่านคมเขี้ยวของแมงมุมร้ายศิลาได้แล้ว พลันก็รีบกระโจนตัวออกมาจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว

 

 

 

 

 

 

 

 

ทว่าจู่จู่แมงมุมร้ายศิลาดินตัวนั้นก็อ้าปากกว้างขึ้น ใยแมงมุมผืนใหญ่พุ่งทะยานสู่กลางอากาศแล้วเข้าปกคลุมทั่วทั้งร่างของเฟิงไห่ในทันที

 

 

 

 

 

 

 

 

ใยแมงมุมผืนนั้นกวาดพื้นที่ไปหลายสิบจั่ง แม้แต่หลงเฉินก็ยังถูกรวบตัวเข้าไปด้วยจึงเกิดอาการแตกตื่นตกใจขึ้นมายกใหญ่ พลันก็รีบตะกายออกไปอย่างรวดเร็ว โชคยังดีที่เขาติดอยู่บริเวณขอบของใยแมงมุมเท่านั้น เพียงไม่นานก็สามารถมุดออกมาได้

 

 

 

 

 

 

 

 

“อา……”

 

 

 

 

 

 

 

 

เฟิงไห่กรีดร้องขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด ใยแมงมุมขนาดใหญ่ห่อหุ้มร่างกายของเขาเอาไว้อย่างแน่นหนาคล้ายกับปลาตัวเล็กกำลังดิ้นทุรนทุรายอยู่ในแหจับปลาอย่างไรอย่างนั้น แทบจะไม่มีโอกาสสลัดหลุดออกไปได้เลย

 

 

 

 

 

 

 

 

ปากที่อ้ากว้างของแมงมุมร้ายศิลาดินเริ่มชักนำใยของมันเก็บเข้ามาที่เดิม เพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจก็ทำให้ขาของเฟิงไห่เข้าไปอยู่ในปากของแมงมุมร้ายศิลาดินตัวนั้นไปแล้ว เสียงกรีดร้องดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งบริเวณ สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดระคนหวาดกลัวจนเฟิงไห่ร่ำร้องออกมาอย่างกระวนกระวาย

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินจดจ้องไปยังฉากการกลืนกินมนุษย์ทั้งเป็นของอสูรกายร้ายอย่างไม่คลาดสายตา “ไปตายซะ เจ้าเดรัจฉาน”

 

 

 

 

 

 

 

 

เฟิงไห่แผดเสียงร้องขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ตั้งแต่ช่วงเอวลงไปได้เข้าไปอยู่ในปากของแมงมุมร้ายศิลาดินตัวนั้นไปจนหมดแล้ว พลันก็รวบรวมเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายแล้วกวาดกระบี่ยาวแทงเข้าไปกลางศีรษะของแมงมุมร้ายศิลาดินตัวนั้นในทันที

 

 

 

 

 

 

 

 

“จู่โจมทลายหินผา”

 

 

 

 

 

 

 

 

“ฉึก”

 

 

 

 

 

 

 

 

คมกระบี่อันน่าหวาดกลัวแทงทะลุศีรษะขนาดใหญ่ของแมงมุมร้ายศิลาดินจนแหวกออกเป็นสองส่วน ถึงแม้ว่าจะบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนั้น ทว่าเขาก็ยังสามารถจัดการสัตว์มายาระดับสามลงไปได้ด้วยกระบวนท่าเดียว

 

 

 

 

 

 

 

 

เฟิงไห่ร้องเสียงดังด้วยความทุกข์ทรมานจนแทบจะขาดใจ ถึงแม้ว่าจะรอดจาการถูกกินได้ ทว่าร่างกายครึ่งท่อนล่างกลับหายไปแล้ว ที่หน้าอกก็ถูกเขี้ยวพิษของแมงมุมร้ายศิลาดินแทงจนกลายเป็นรูพรุน สภาพที่เห็นอยู่ตอนนี้เรียกได้ว่าตายทั้งเป็นไปแล้วก็ว่าได้

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินถอนหายใจแล้วเดินมาหยุดอยู่ข้างกายของเฟิงไห่พร้อมกับกล่าวขึ้นมาว่า “เหตุใดเจ้าจะต้องลำบากลำบนมาถึงที่นี่กัน? เหตุใดจะต้องเดินทางมาตั้งไกลเพื่อมาสังหารข้า? มีประโยชน์อันใดที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของตัวเองอีกหรือ?”

 

 

 

 

 

 

 

 

เฟิงไห่รู้สึกได้ว่าพลังชีวิตของตัวเองกำลังไหลออกจากร่างกายไปอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าในไม่ช้านี้เขาจะต้องตายไปอย่างไม่ต้องสงสัย จึงได้แต่ฝืนยิ้มขึ้นมาแล้วพึมพำขึ้นมาว่า “เหตุใดอย่างนั้นหรือ? เป็นเพราะเหตุอันใดกัน? เหอะ หลงเฉิน เจ้าชนะแล้ว”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินส่ายหน้าไปมาแล้วกล่าวว่า “ไม่ใช่ข้าที่เป็นฝ่ายชนะ ทว่าเป็นเพราะเจ้าได้แพ้ให้กับความโลภของตัวเอง”

 

 

 

 

 

 

 

 

เฟิงไห่ไอออกมาอย่างรุนแรงหลายครั้งติดต่อกัน ใบหน้าที่เคยมีโลหิตไหลเวียนก็แปรเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ เห็นได้ชัดว่าฤทธิ์ของพิษได้ลุกลามไปทั่วทั้งร่างกายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

“ในเมื่อข้ากำลังจะตายแล้ว ข้าก็จะขอสารภาพกับเจ้าก่อนก็แล้วกัน ผู้อาวุโสซุนเป็นคนสั่งให้ข้ามาที่นี่เพื่อสังหารเจ้า จากนั้นก็ให้ผนึกจิตวิญญาณของเจ้าเอาไว้ในลูกแก้วผนึกวิญญาณ หากเจ้าต้องการล้างแค้นก็ไปหาเขาเถิด……” ยังไม่ทันที่จะได้กล่าวจบ เฟิงไห่ก็สิ้นใจไปเสียก่อน

 

 

 

 

 

 

 

 

ยอดฝีมือที่มีพลังการฝึกยุทธ์อยู่ในขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นตอนกลางและเป็นศิษย์ของหมู่ตึกที่ยิ่งใหญ่จะต้องมาตายอย่างน่าอเนจอนาถภายในสถานที่เช่นนี้เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่น่ารันทดของผู้คนอย่างแท้จริง

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินทอสีหน้าเย็นเยียบขึ้นมา พลันก็ถอดแหวนมิติของเฟิงไห่ออกแล้วล้วงเอาลูกแก้วขนาดใหญ่เท่าหนึ่งกำปั้นขึ้นมา ของสิ่งนี้ก็คือเป็นลูกแก้วผนึกวิญญาณอันเป็นเครื่องมือที่โหดเ**้ยมอย่างถึงที่สุดชนิดหนึ่ง สามารถกักเก็บจิตวิญญาณของผู้คนเอาไว้ได้

 

 

 

 

 

 

 

 

การผนึกจิตวิญญาณของมนุษย์เอาไว้ในลูกแก้วนี้กระทำได้โดยการทำให้จิตวิญญาณของคนผู้นั้นได้รับความทรมานอย่างแสนสาหัส จะมีชีวิตอยู่ก็ไม่ได้ จะตายก็ไม่ได้

 

 

 

 

 

 

 

 

“ตาแก่บัดซบไร้ยางอาย จิตใจของเจ้าช่างโหดเ**้ยมเกินไปแล้ว ถึงกับคิดที่จะผนึกจิตวิญญาณของข้าเชียวหรือ คงเป็นเพราะเจ้าหมายปองเคล็ดกายานวดาราภายในตัวของข้าอย่างนั้นสินะ” หลงเฉินกัดฟันกรอดด้วยความโกรธแค้นอย่างถึงที่สุด

 

 

 

 

 

 

 

 

ดวงตาคู่คมจ้องมองไปที่ร่างไร้วิญญาณแล้วกล่าวว่า “เฟิงไห่ ข้านั้นทราบดีว่าสิ่งที่เจ้ากล่าวออกมาทั้งหมดก็เพื่อให้ข้าตามไปล้างแค้นผู้อาวุโสซุน เช่นนั้นไม่ว่าจะเป็นข้าที่ตายไปหรือว่าเป็นผู้อาวุโสซุน ให้เจ้าถือว่าได้ล้างแค้นแล้วเถิดนะ

 

 

 

 

 

 

 

 

ทว่าหากข้ารอดกลับไป ขอเวลาเพียงไม่นานแล้วข้าจะส่งเขาไปหาเจ้าเอง หวังว่าเมื่อเจ้าไปอยู่อีกโลกหนึ่งแล้ว เจ้าจะรีบฉวยโอกาสทำการฝึกยุทธ์จนแข็งแกร่ง อย่าได้ถูกผีเฒ่าผู้นี้รังแกเจ้าได้ จงจัดการเขาให้สาสมกับที่เจ้าต้องเสี่ยงชีวิตเข้ามาที่นี่”

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อกล่าวจบ หลงเฉินก็ยื่นมือเข้าไปหยิบกระบี่ยาวของเฟิงไห่มาเก็บไว้ ถึงแม้ว่ากระบี่เล่มนี้จะบางบางเหมือนกับกระบี่ทั่วไป ทว่าวัสดุที่ตีขึ้นมานั้นกลับเป็นของดี ถึงกับสามารถตัดคมเขี้ยวของแมงมุมร้ายศิลาดินไปได้ในครั้งเดียวก็นับได้ว่าแข็งแรงเป็นอย่างยิ่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

เนื่องจากอาวุธเพลิงของเขาในตอนนี้ยังไม่แกร่งกล้านัก อีกทั้งยังมีไว้ใช้ตอนที่เบิกสวรรค์ขึ้นมาเท่านั้น ย่อมไม่อาจใช้ต่อสู้เสมือนกับยุทโธปกรณ์ที่มีรูปร่างอย่างแท้จริงได้ เมื่อมีกระบี่ยาวเล่มนี้แล้ว หลังจากนี้ก็จะยิ่งทวีพลังทำลายอันน่าหวาดกลัวของเบิกสวรรค์ให้มากยิ่งขึ้นไปอีก

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่เก็บกระบี่ยาวไปแล้ว หลงเฉินก็ทำการเก็บโลหิตบริสุทธิ์ของแมงมุมร้ายศิลาดิน ทว่าโลหิตบริสุทธิ์ของมันมีอยู่น้อยมาก จากนั้นสายตาก็มองไปยังศพของเฟิงไห่ด้วยความลังเล พลันก็ขุดหลุมฝังกลบให้ศิษย์พี่ผู้นั้น

 

 

 

 

 

 

 

 

ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นศิษย์ในสำนักเดียวกัน ความเกลียดชังทั้งหมดเมื่อก่อนหน้าก็ได้สลายหายไปจนหมดสิ้น เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไปก็ไม่ต้องปล่อยให้ร่างกายของเขากลายไปเป็นอาหารของสัตว์ป่า หลังจากจัดการทุกอย่างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลงเฉินก็เดินทางกลับไปยังที่พักของตัวเองอย่างระมัดระวังมากที่สุด

 

 

 

 

 

 

 

 

สามวันต่อมา ร่างกายของหลงเฉินก็ฟื้นคืนกลับเข้าสู่สภาพปกติและพร้อมที่จะไล่ล่าสัตว์มายาอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง ในเมื่อเฟิงไห่ได้ตายไปแล้วก็นับว่าวิกฤตของเขาได้ลดทอนลงไปอีกหนึ่งอย่าง ทว่าภายในห้วงสมองของเขาก็ยังครุ่นคิดถึงความแตกต่างของระดับพลังระหว่างเขาและยอดฝีมือที่เป็นเหล่าศิษย์พี่อย่างไม่หยุดหย่อน หากต้องเผชิญหน้ากับพวกเขาอย่างแท้จริง คงไม่อาจทานรับได้แม้กระบวนท่าเดียวอย่างแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

 

และเมื่อก่อนหน้านั้นที่เขาปะทะกับหวู่ฉี่ เขาก็ทราบได้ทันทีว่าพลังการต่อสู้ของหวู่ฉี่นั้นน่าหวาดกลัวถึงเพียงใด และหวู่ฉี่ก็เป็นถึงหัวหน้าหน่วยย่อยของสภาผู้คุมกฎ เช่นนั้นพลังการฝึกยุทธ์ของเขาก็ต้องอยู่ในขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นอย่างแน่นอน

 

 

 

 

 

 

 

 

ที่น่าหนักใจก็คือหลงเฉินได้กระทำการใหญ่จนทำให้เขาถูกผู้อาวุโสถู่ฟางลงโทษ เป็นที่ขายหน้าต่อหน้าผู้คนมากมาย จึงไม่แน่ใจว่าเขาจะหวนกลับมาแก้แค้นหลงเฉินเมื่อใด ฉะนั้นในตอนนี้เขาก็จะต้องฝึกยุทธ์ให้ได้สูงขึ้น เพื่อที่จะไม่ต้องพลาดท่าเสียทีต่อผู้คนเหล่านั้นอีก

 

 

 

 

 

 

 

 

นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเขาจะต้องออกล่าสัตว์มายาให้เร็วขึ้นและมากยิ่งขึ้น เมื่อได้กระบี่ยาวมาครอบครองแล้ว แน่นอนว่าเขาก็จะสามารถปะทะกันตัวต่อตัวกับสัตว์มายาระดับสามขั้นต่ำได้แล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

อีกทั้งยังได้คิดค้นวิธีการไล่ล่าได้รวดเร็วขึ้นนั่นก็คือการใช้กระบวนท่าเบิกสวรรค์ออกมาในครั้งเดียว แล้วหลังจากนั้นก็ใช้ลูกศรอาบพิษปาดเข้าไปที่บาดแผลของสัตว์มายา หากสามารถใช้วิธีการเช่นนี้ได้จะทำให้ร่นระยะเวลาในการออกล่าจากสองวันได้หนึ่งตัวเป็นวันละสองตัว

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อเวลาผ่านไปอีกสามวัน หลงเฉินก็ทำการดูดซับโลหิตบริสุทธิ์ของสัตว์มายาไปอีกเจ็ดตัวด้วยกัน จนในตอนนี้ได้เข้าสู่ขอบเขตก่อโลหิตขั้นที่เก้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินสามารถสัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาลที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย อีกทั้งยังมีกายเนื้อที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นไป ทว่าเป็นที่น่าเสียดายที่เขาไม่มียุทโธปกรณ์ที่เพียงพอต่อการรองรับพลังอันมหาศาลของกายเนื้อได้เลย

 

 

 

 

 

 

 

 

เขาจึงสัตย์สาบานขึ้นในใจว่าหากได้กลับไปยังหมู่ตึกอีกครั้งหนึ่ง เขาจะต้องตามหาเครื่องป้องกันที่เหมาะสมกับตัวเองมาให้จงได้ เพราะการต่อสู้แบบตัวเปล่าเปลือยนั้นย่อมไม่อาจแสดงผลลัพธ์ที่ดีที่สุดออกมา

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากเข้าสู่ขอบเขตก่อโลหิตขั้นที่เก้าได้แล้ว หลงเฉินก็มีความมั่นใจมากขึ้น การเคลื่อนไหวไม่มีติดขัด ใช้พลังสภาวะขึ้นมาได้อย่างใจนึกคิด ขอเพียงไม่พบเจอสัตว์มายาระดับสามขั้นสูงย่อมไม่มีปัญหาอันใดกับเขาแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไปวันแล้ววันเล่า เหล่าสัตว์มายารอบด้านก็ยิ่งน้อยลงไปเรื่อยๆ ที่ดินแดนรกร้างศิลาวายแห่งนี้มีอาณาบริเวณไปไกลหลายหมื่นลี้ เรียกได้ว่าไกลสุดลูกหูลูกตาเหลือคณานับเลยก็ว่าได้ ทว่าบัดนี้ได้กลายเป็นสนามรบของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งไปเสียแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

มีอยู่วันหนึ่งในขณะที่หลงเฉินกำลังดูดกลืนโลหิตบริสุทธิ์ของสัตว์มายาเข้าไปจนหมด หยาดโลหิตภายในร่างกายเดือดพล่านขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งประดุจท้องทะเลที่มีคลื่นซัดสาดอย่างรุนแรง บรรยากาศโดยรอบหอบสายลมพวยพุ่งไปมาไม่หยุด

 

 

 

 

 

 

 

 

“ตูม”

 

 

 

 

 

 

 

 

พลังความน่ากลัวขุมหนึ่งแผ่กระจาไปทั่วทุกสารทิศ พลังทำลายอันดุดันพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า หลงเฉินในเวลานี้คล้ายกับเทพสงครามลงมาจุติบนโลกหล้าอย่างไรอย่างนั้น สายตาเปี่ยมไปด้วยความเหย่อหยิ่งทระนงตนมานับหมื่นบรรพกาล

 

 

 

 

 

 

 

 

“ฮาฮา ในที่สุดก็เข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นได้แล้ว”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินเกิดอาการลิงโลดขึ้นมายกใหญ่ พลันก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งอยู่บนศิลาก้อนใหญ่ พลังอันมหาศาลอย่างไร้ที่เปรียบได้ไหลเวียนภายในร่างกายอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงเลยแม้แต่น้อย

 

 

 

 

 

 

 

 

“เอ๊ะ มีบางอย่างไม่ถูกต้อง เส้นเอ็นทั้งหมดแทบจะไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นก็คือไม่อาจสัมผัสได้ถึงการหล่อเลี้ยงเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว ข้ายังไม่เข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นอย่างนั้นหรือ?”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาไม่น้อย เขาพบว่าหยาดโลหิตของตัวเองยังคงอยู่ในสภาวะแห่งการรอคอยอยู่ดังเดิมถึงแม้ว่าจะได้เลื่อนขั้นไปแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

“หรือว่าขอบเขตก่อโลหิตของเคล็ดกายานวดาราก็มีทั้งหมดสิบสามขั้น?”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินทอแววตาโง่งมขึ้นมา ในช่วงเวลาที่เขาเข้าสู่ขอบเขตก่อโลหิตขั้นที่เก้าได้แล้วก็ได้ใช้สัตว์มายาระดับสามถึงสามสิบเจ็ดตัวจึงจะเพียงพอต่อการเพิ่มระดับของโลหิตบริสุทธิ์

 

 

 

 

 

 

 

 

หากเป็นไปตามการเลื่อนระดับของเคล็ดกายานวดาราแล้ว หากว่าต้องขึ้นไปในขั้นที่สิบเอ็ดก็จะต้องใช้สัตว์มายาระดับสามอีกเจ็ดสิบตัวอย่างนั้นหรือ?

 

 

 

 

 

 

 

 

ส่วนขั้นที่สิบสองก็ต้องใช้สัตว์มายาอีกหนึ่งร้อยสี่สิบตัว และขั้นที่สิบสามก็อีกสองร้อยแปดสิบตัว หลงเฉินขยับนิ้วนับจำนวนดูอย่างคร่าวๆ ก็อดไม่ได้ที่จะมีโทสะจนสมองแทบจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ

 

 

 

 

 

 

 

 

นี่เขาต้องสังหารสัตว์มายาระดับสามอีกห้าร้อยตัวจึงจะสามารถเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นได้อย่างนั้นหรือ? ห้าร้อยตัว! สัตว์มายาระดับสาม! ไม่ใช่สุกรอ้วนพีห้าร้อยตัวนะ นี่โชคชะตากำลังล้อเล่นกับเขาอย่างนั้นหรือ?

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินเกิดโทสะจนอยากจะด่าทอผู้คนเพื่อระบายความอัดอั้นตันใจ นี่ช่างเป็นการหลอกลวงผู้คนมากจนเกินไปแล้ว ไม่มีทั้งปราณโลหิต ปราณกระดูก และปราณเส้นเอ็น มีเพียงเคล็ดกายานวดาราที่เปรียบเสมือนหนทางรอดเพียงสายเดียว ทว่ากลับมีความยากเย็นในการฝึกฝนเป็นอย่างยิ่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

“เอ๊ะ ทว่าก็ไม่ถูกต้องไปทั้งหมด สีของหยาดโลหิตเป็นสีทอง?”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินตรวจสอบภายในร่างการอีกครั้ง แล้วก็ได้พบว่าหยาดโลหิตของตัวเองได้ปรากฏประกายสีทองขึ้นมาเล็กน้อยจึงอดไม่ได้ที่จะทอสีหน้าประหลาดใจขึ้นมา

 

 

 

 

 

 

 

 

“เคล็ดกายานวดารานี้ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก เอาเถิด คิดไปก็ปวดเศียร สังหารต่อไปยังดีกว่า”

 

 

 

 

 

 

 

 

ถึงแม้จะด่าทอปก็คงจะไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา เพราะไม่ว่าอย่างไรชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป หลงเฉินจึงสังหารสัตว์มายาระดับสามไปได้อีกตัวหนึ่ง และในขณะที่กำลังดูดกลืนโลหิตบริสุทธิ์ของมันอยู่นั้น หลงเฉินก็เกิดอาการแตกตื่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

“เป็นไปได้อย่างไร?”

 

 

 

 

 

 

 

 

พลังชีวิตอันบริสุทธิ์ภายในโลหิตบริสุทธิ์เหล่านั้นทำให้ประกายสีทองคล้ายกับว่าทอแสงสว่างมากขึ้นเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น เรียกได้ว่าไม่ได้เกิดผลลัพธ์ที่สามารถสัมผัสได้เลยก็ว่าได้

 

 

 

 

 

 

 

 

“จบสิ้นแล้ว จบสิ้นแล้ว จบสิ้นแล้ว จะต้องใช้โลหิตบริสุทธิ์ของสัตว์มายาระดับสี่อย่างนั้นหรือ?” หลงเฉินร่ำร้องขึ้นมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอย่างถึงที่สุด

 

 

 

 

 

 

 

 

หากเป็นไปตามความยากเย็นของเคล็ดกายานวดาราแล้ว ด้วยการคาดเดาเช่นนี้ย่อมมีความเป็นไปได้ถึงแปดส่วนเลยทีเดียว ในเมื่อโลหิตบริสุทธิ์ของสัตว์มายาระดับสามขั้นกลางไม่ส่งผลลัพธ์อันใดแล้ว ก็ต้องเป็นสัตว์มายาระดับสามขั้นสูงจึงจะได้

 

 

 

 

 

 

 

 

และหากสูงส่งขึ้นไปกว่านั้นก็คงจะมีแต่โลหิตบริสุทธิ์ของสัตว์มายาระดับสี่แล้วที่จะทำให้การฝึกยุทธ์ของเขาปะทุได้รวดเร็วขึ้น

 

 

 

 

 

 

 

“ช่างเถิด นี่ก็ออกมาได้เดือนกว่าๆ แล้ว คงจะถึงเวลาที่จะต้องเดินทางกลับไปแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ถึงขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น ทว่าด้วยพลังสภาวะในตอนนี้ก็เพียงพอที่จะต่อกรกับคนพวกนั้นได้แล้ว”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินทอดสายตามองไปยังทิศใต้อันเป็นที่ตั้งของหมู่ตึก

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset