หลงเฉินพุ่งทะยานสู่เบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว ถังหว่านเอ๋อตามติดขึ้นมาพร้อมกับเยี่ยจื่อชิวแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “หลงเฉิน ทางนั้นขอมอบให้พวกเจ้าจัดการ ส่วนกู่หยางนั้นพวกเราจะจัดการเอง”
เมื่อกล่าวจบทั้งสองโฉมงามก็ปลีกตัวออกไปอีกทางหนึ่งในทันที ร่างบางทั้งสองลอยไปทางกู่หยางพร้อมกับปะทุพลังสภาวะขึ้นมาอย่างมหาศาล ในมือของพวกนางหันอาวุธขนาดใหญ่กวาดไปที่กู่หยางอย่างไร้ไมตรี ภายในจิตใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกเกลียดชังอย่างถึงที่สุด หากหลงเฉินไม่กลับมาในวันนี้ พวกนางคงจะเอาชีวิตเข้าแลกกับกู่หยางไปแล้ว
ทว่าเมื่อเห็นหลงเฉินกลับมาได้อย่างปลอดภัย พวกนางจึงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ขอเพียงมีหลงเฉินอยู่ด้วยไม่ว่าอันดับใดก็สามารถไล่ตามทันอย่างแน่นอน
เมื่อกู่หยางเห็นสองโฉมงามกำลังตั้งท่าจู่โจมเข้ามาก็ไม่กล้าที่จะรีรออีกต่อไป เขาทราบดีอยู่แล้วว่าฝีมือของพวกนางนั้นร้ายกาจเพียงใดจึงไม่คิดที่จะออมแรงเลยแม้แต่น้อย ด้วยความแค้นที่อัดแน่นอยู่ภายในอกทำให้พลังทั้งหมดถูกใช้ออกมาอย่างบ้าคลั่ง สายลมหมุนวนไปทั่วทั้งบริเวณอย่างรุนแรงปะทุเป็นเสียงระเบิดดังกังวานไปทั่วทั้งผืนฟ้า
ส่วนหลงเฉินก็ได้ประชิดหาศัตรูอย่างรวดเร็วเช่นกัน ด้านหลังของเขาติดตามมาด้วยซ่งหมิงเหยียน หลี่ฉี และโหลวฉาง ปล่อยให้ศิษย์คนอื่นช่วยกันป้องกันอยู่รอบขุมกำลังเอาไว้
“หลงเฉิน ข้าขอทดสอบขยะอย่างเจ้าหน่อย”
ศัตรูพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วไม่แพ้กัน ดวงตาคู่คมจ้องมองไปที่ศิษย์สายตรงที่กำลังถือไม้พลองยาวพุ่งเข้ามาพร้อมกับปล่อยแรงกดดันอันมหาศาลประดุจเขาไท่ซานกวาดมาที่ศีรษะของหลงเฉินในทันที
หลงเฉินจดจำใบหน้าของคนผู้นี้ได้เป็นอย่างดี เขาคือหนึ่งในผู้ที่แสดงจุดยืนที่จะสนับสนุนตัวเอง ทว่าหลังจากที่ตัวเองถูกเนรเทศไปอยู่ในดินแดนรกร้างศิลาวายแล้ว คนผู้นี้กลับแปรพรรคไปอยู่กับกู่หยาง ที่ผิดอย่างมหันต์ก็คือเขาเป็นคนแรกที่กล้าเข้ามาเด็ดหัวของหลงเฉินเป็นคนแรกนั่นเอง
“เพี๊ยะ”
เมื่อไม้พลองยาวหอบสายลมพวยพุ่งเข้ามาใกล้หลงเฉิน มือใหญ่ข้างหนึ่งก็ได้กุมเข้าไปที่ไม้พลองด้ามนั้นจนแน่น พลันก็เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นมาเป็นสายจนผู้คนทั้งหมดแตกตื่นตกใจขึ้นมายกใหญ่ คนผู้นั้นเป็นถึงศิษย์สายตรงที่มีพลังการต่อสู้ต่างจากเหร่ยเชียนซังและพวกเพียงขั้นเดียวเท่านั้น
แล้วเหตุใดจึงถูกหลงเฉินรับอาวุธที่ใช้พลังทั้งหมดฟาดลงไปด้วยมือเปล่าได้อย่างง่ายดายกัน ส่วนอาวุธกระดูกของหลงเฉินก็ยังคงสะพายไว้ที่แผ่นหลัง ที่น่าตกใจเสียยิ่งกว่านั้นก็คือหลงเฉินแทบจะไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายของเขาเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังคว้าไม้พลองยาวด้ามนั้นเอาไว้ประดุจโอบดอุ้มทารกน้อยคนหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
ศิษย์สายตรงผู้นั้นก็แตกตื่นขึ้นมาไม่น้อย พลันก็รีบรั้งไม้พลองกลับมาด้วยพลังสภาวะทั้งหมด ทว่าไม่ว่าจะออกแรงไปมากเพียงใดก็ไม่อาจดึงไม้พลองกลับมาได้
“ตูม”
หลงเฉินสาวเท้าเดินออกไปยังคนผู้นั้นประดุจสายฟ้าแลบ และไม่รอให้คนผู้นั้นมีปฏิกิริยากลับคืนมา มือใหญ่อีกข้างก็เตะไปที่หน้าอกของเขาทันที เสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นมาพร้อมกับเสียงแตกหักของกระดูกที่อยู่ภายใน จากนั้นร่างกายของคนผู้นั้นก็ได้ปลิวออกไปประดุจว่าวที่สายป่านขาดอย่างไรอย่างนั้น
ในขณะที่คนผู้นั้นลอยออกไปด้วยพลังอันมหาศาลของหลงเฉิน ศิษย์คนอื่นที่ติดตามมาด้านหลังของเขาก็ถูกกระแทกจนกระเด็นออกไปเป็นเส้นตรงพร้อมกับมีเสียงแตกหักของกระดูกระคนกับเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
คนเหล่านั้นกระแทกต่อกันไปหลายสิบทอด ทั้งกระดูกหัก ทั้งเส้นเอ็นขาด อีกทั้งยังกระอักโลหิตออกมาอย่างรุนแรง จากนั้นหลงเฉินก็สะบัดไม้พลองยาวที่อยู่ในมือออกไป แสงสีดำทมิฬสายหนึ่งทอประกายขึ้นมาประดุจสายฟ้าแลบลอยเข้าไปหาคนผู้นั้นด้วยความเร็วสูงอย่างไร้ที่เปรียบ
“ฉึก”
ไม้พลองยาวที่มีความยาวเก้าเซียะพุ่งผ่านศีรษะของคนผู้นั้นไปปักลงท่ามกลางผืนดินเบื้องล่าง จากนั้นก็ดิ่งลึกลงไปในพื้นดินจนไม่เห็นร่องรอย หลงเหลือเพียงรูขนาดเล็กบนพื้นเท่านั้น ด้วยพลังอันน่าหวาดกลัวเช่นนั้น หากถูกไม้พลองยาวกระแทกเข้ามาที่ศีรษะคงจะทำให้คนผู้นั้นจบชีวิตลงไปแล้วอย่างแน่นอน
ใบหน้าของคนผู้นั้นซีดเผือดลงไปอย่างเห็นได้ชัด ร่างกายสั่นเทาอย่างรุนแรง ดวงตาจ้องมองไปที่หลงเฉินด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัวไปจนถึงจิตวิญญาณ
“เพียงกระบวนท่าเดียว ไม่สิ ไม่ได้ออกกระบวนท่าเลยด้วยซ้ำไป ก็สามารถเอาชนะศิษย์สายตรงผู้หนึ่งได้แล้ว”
ผู้คนมากมายทอแววตาโง่งมขึ้นมาทันที ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้หลงเฉินก็ยังอยู่ในท่วงท่าดังเดิม มีเพียงมือและเท่าเท่านั้นที่เคลื่อนไหวไปมาประดุจกำลังร่ายรำอยู่ หลังจากที่สามารถจัดการศิษย์สายตรงผู้หนึ่งไปแล้ว ภายในจิตใจของผู้คนทั้งหมดก็เกิดอาการสั่นระรัวอย่างบ้าคลั่งขึ้นมา
ส่วนเหร่ยเชียนซังและพวกพ้องก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันมากนัก หลงเฉินยังไม่ได้ปะทุพลังออกมาเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังไม่ได้ใช้ทักษะยุทธ์ใดเลยแม้แต่ครั้งเดียว ถึงกับจัดการคนผู้นั้นโดยใช้เพียงพลังกายเข้าจู่โจมเท่านั้น
เมื่อสักครู่นี้ทั้งสองกลุ่มเพิ่งจะเปิดศึกการต่อสู้กันอย่างรุนแรงอยู่ ทว่าเมื่อเห็นหลงเฉินลงมือเพียงครั้งเดียวก็ทำให้ผู้คนมากมายทอแววตาโง่งมขึ้นมาจนถึงขั้นหยุดมือลงไปเองอย่างไม่รู้ตัว
ซ่งหมิงเหยียนและพวกพ้องอีกสองคนก็ได้ทอสีหน้าแตกตื่นขึ้นมาอย่างรุนแรงเช่นเดียวกัน สายตาเหม่อมองไปยังอาวุธกระดูกที่สะพายอยู่บนแผ่นหลังของหลงเฉินด้วยความรู้สึกเสียวสันหลังอย่างถึงที่สุด
“อย่าได้แตกตื่นกันจนเกินไป จงลงมือด้วยพลังทั้งหมดที่มี รักษาขบวนของพวกเราให้อยู่ ส่วนหลงเฉินนั้นปล่อยให้ข้ากับพี่เหร่ยจัดการเอง บุก!” ชีซิ่งตะโกนเสียงดังพร้อมกับระเบิดพลังสภาวะทั่วทั้งร่างกายออกมา อาวุธวารีที่ถืออยู่ในมือหันมาทางหลงเฉิน ส่วนเหร่ยเชียนซังนั้นก็จ้วงฝีเท้าตามเข้ามาติดๆ
หลังจากที่ชีซิ่งออกคำสั่ง ผู้คนภายในขุมกำลังของพวกเขากพุ่งโจมตีไปที่ขุมกำลังของพรรคฟ้าดินในทันที นอกจากศิษย์สายตรงที่ได้รับบาดเจ็บจากการลงมือของหลงเฉินแล้ว ก็ยังมีศิษย์สายตรงอีกสามคนกำลังแยกย้ายกันเข้าหาซ่งหมิงเหยียน หลี่ฉี และโหลวฉางอีกด้วย
“หลงเฉิน อย่าได้คิดว่าอยู่ในขอบเขตก่อโลหิตขั้นสูงสุดแล้วจะอวดดีอย่างไรก็ได้ ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ไม่อาจเทียบชั้นได้กับพวกเขาที่อยู่ในขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นได้อยู่ดี” ชีซิ่งแผดเสียงขึ้นมา แล้วหันอาวุธวารีฟาดเข้ามาที่หลงเฉินอย่างหนักหน่วงด้วยพลังทั้งหมด
หลงเฉินแสยะยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ทว่าภายใต้รอยยิ้มนั้นกลับเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ดูแคลน และไม่แยแส และทันใดนั้นเองอาวุธกระดูกที่สะพายอยู่บนแผ่นหลังก็เริ่มขยับ พลันก็หอบสายลมฝ่าสภาวะอากาศเป็นทางยาวจนเกิดเสียงดังตูมตามเป็นสาย
“ตูม”
อาวุธกระดูกและอาวุธวารีปะทะกันอย่างรุนแรงจนอาวุธวารีแหลกละเอียดแตกกลายเป็นละอองน้ำในทันที ชีซิ่งลอยกระเด็นออกไปไกลด้วยร่างกายที่บาดเจ็บสาหัส ดวงตาเบิกกว้างจ้องไปที่หลงเฉินด้วยสีหน้าที่แตกตื่นตกใจอย่างถึงที่สุด
“เช่นนั้นก็ลองรับหมัดของข้าดู”
“เปรี้ยง”
คมหมัดของเหร่ยเชียนซังทอประกายแสงอัสนีบาตกระแทกเข้าไปที่แผ่นหลังของหลงเฉินอย่างหนักหน่วงจนเกิดเสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณ
ทว่าเหร่ยเชียนซังกลับทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรงเมื่อสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดบนกำปั้นของตัวเองราวกับว่ากำลังขนเข้ากับภูเขาขนาดใหญ่ลูกหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
ร่างกายของหลงเฉินเกิดการสั่นไหวเล็กน้อย พลันก็ก้าวเท้าติดต่อกันหลายก้าว ดวงตาคู่คมมองไปที่ใบหน้าเหยเกของเหร่ยเชียนซังแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ลองลิ้มรสอาวุธของข้าดูบ้างก็แล้วกัน”
“เคร้ง”
อาวุธกระดูกแหวกม่านอากาศออกเป็นทางยาวฟาดฟันเข้าไปที่ศีรษะของเหร่ยเชียนซัง หอบกระแสลมปั่นป่วนอย่างบ้าคลั่งทะยานสู่เบื้องหน้าจนทำให้เหร่ยเชียนซังทอสีหน้าแตกตื่นขึ้นมา ช่างเป็นอานุภาพทำลายล้างที่มีกลิ่นอายของความตายกำลังคุกคามชีวิตของเขาเข้าแล้ว
“โล่อัสนีคุ้มกาย”
ทันใดนั้นร่างกายของเหร่ยเชียนซังก็มีประกายแสงเจิดจ้าปรากฏขึ้นมาด้านหน้า พลันก็ออกหมัดทั้งสองข้างเข้าต้านทานอาวุธกระดูกชิ้นนั้นเอาไว้ พลังอัสนีบาตนับไม่ถ้วนแผ่กระจายไปทั่วทุกสารทิศคล้ายกับโล่สายฟ้าขนาดใหญ่
“ตูม”
อาวุธกระดูกปะทะเข้ากับโล่อัสนีอย่างรุนแรง พลังอันมหาศาลต่อต้านกันจนแผ่นดินไหว ผืนดินแตกระแหงออกจากกันประดุจสายน้ำนับร้อย
โล่อัสนีของเหร่ยเชียนซังถูกทำลายลงไปในพริบตาเดียว ฝ่าเท้าจมลงไปในดินโคลน แขนและขาทั้งสองข้างคล้ายกับกำลังอ่อนล้าโรยแรงลงไป ในขณะที่กำลังจะเดินถอยหลังออกไปนั้น จู่จู่ที่กลางทรวงอกก็เกิดความเจ็บปวดขึ้นมาเป็นสาย
เมื่อก้มลงไปก็พบว่าเท้าข้างหนึ่งของหลงเฉินได้ถีบเข้ามาที่หน้าอกของเขาอย่างจังจนต้องกระอักโลหิตออกมาอย่างรุนแรงคำหนึ่ง ร่างกายไม่อาจทนรับพลังสภาวะกดดันอันมหาศาลจนต้องลอยกระเด็นออกไป
ผู้คนมากมายต้องก็ทอสีหน้าโง่งมขึ้นมาในทันที หลงเฉินกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่แท้จริงไปแล้วอย่างนั้นหรือ แล้วขณะที่อยู่ในสุสานของผู้ถูกเนรเทศนั้นได้พบเจอกับสิ่งใดมาบ้าง เหตุใดเขาถึงได้แข็งแกร่งมากถึงเพียงนี้?
ก่อนหน้านี้ก็ใช้เพียงกระบวนท่าเดียวจัดการศิษย์สายตรงผู้นั้นจนพ่ายแพ้อย่างราบคาบ อีกทางหนึ่งก็อาจจะเป็นเพราะศิษย์สายตรงผู้นั้นได้ใจมากจนเกินไป
ทว่าในขณะนี้เป็นถึงชีซิ่งและเหร่ยเชียนซังที่ได้ปะทุพลังทั้งหมดออกมา ทว่ากลับยังพ่ายให้กับหลงเฉินด้วยกระบวนท่าเดียวเท่านั้น ที่แทบจะไม่ชื่อสายตาก็คือเหร่ยเชียนซังถึงกับกระอักโลหิตออกมาอย่างรุนแรง ฃ
ผู้อาวุโสซุนอดไม่ได้ที่จะเบิกดวงตาโพลงโตขึ้นมา เขามองออกว่าหลงเฉินไม่ได้ใช้ทักษะยุทธ์ใดออกมาเลย การโจมตีทั้งหมดนั้นเป็นเพียงพลังจากกายเนื้ออย่างเดียวเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ก็ยังพอเข้าใจได้ว่าที่ใช้แผ่นหลังในการรับหมัดของเหร่ยเชียนซังเอาไว้ได้ นั่นก็เป็นเพราะพลังป้องกันของหนังงูเหลือมเขาทอง ทว่าเมื่อเห็นการโจมตีเมื่อครู่นี้กลับให้ความรู้สึกที่วิปริตจนเกินไปแล้ว ร่างกายของหลงเฉินในตอนนี้เรียกได้ว่าแข็งแกร่งราวกับเป็นสัตว์มายาระดับสามตัวหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
“เด็กน้อยผู้นี้ได้รับพลังอันใดมาจากดินแดนรกร้างศิลาวายกัน? เหตุใดถึงได้แข็งแกร่งมากจนผิดสังเกตถึงเพียงนี้?” ผู้อาวุโสซุนทอสีหน้าเป็นกังวลจ้องมองไปที่หลงเฉิน
ความแข็งแกร่งของหลงเฉินเรียกได้ว่าก้าวกระโดดไปอย่างรวดเร็ว รวดเร็วจนน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ความหวังที่เขาจะได้ล่วงรู้ถึงวิชาลับก็ยิ่งริบหรี่ลงไปทุกที คงจะต้องรีบหาวิธีการแย่งชิงมาให้ได้ในเร็ววันเสียแล้ว
หลงเฉินพาดอาวุธกระดูกไว้บนบ่า ฝีเท้าก้าวไปหยุดอยู่เบื้องหน้าของยอดฝีมือทั้งสองแล้วกล่าวขึ้นมาว่า “ข้าขอบอกไว้เอาไว้ตรงนี้เลยว่าทุกอย่างที่พวกเจ้าติดค้างเอาไว้ ข้าจะคืนให้ทั้งต้นและดอก หากยังคิดจะใช้เล่ห์เหลี่ยมกลโกงที่อำมหิตจนทำให้พี่น้องของข้าต้องหลั่งโลหิตอีก ข้าจะใช้ดาบกรีดแทงไปที่หัวใจของพวกเจ้าเอง”
เมื่อกล่าวจบหลงเฉินก็เดินเข้าไปใกล้ชีซิ่งและเหร่ยเชียนซังมากยิ่งขึ้น รังสีสังหารบนร่างกายแผ่ออกมาอย่างเข้มข้นไม่หยุดหย่อน จนบัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นพลังกดดันอันมหาศาลเข้าปกคลุมพวกเขาอย่างหนาแน่นจนไม่อาจต้านทานเอาไว้ได้เลย
“บัดซบ อย่าได้จองหองเกินกำลังไปหน่อยเลย”
ชีซิ่งและเหร่ยเชียนซังแผดเสียงร้องขึ้นมาด้วยความเกรี้ยวกราด มือของพวกเขาปรากฏอาวุธขนาดใหญ่ฟาดฟันเข้ามาที่หลงเฉินอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่คิดที่จะออมแรงเลยแม้แต่น้อย
“ตูม”
เมื่ออาวุธวารีของชีซิ่งและอาวุธจากอัสนีบาตรของเหร่ยเชียนซังต้องกับอาวุธกระดูกของหลงเฉินกลับแหลกสลายสภาวะไปอย่างง่ายดาย เนื่องจากอาวุธของพวกเขาสร้างขึ้นมาจากพลังลมปราณที่ลงยันต์เสริมเข้าไปเพื่อให้แข็งแกร่งเทียบเท่ายุทโธปกรณ์ตามปกติก็เท่านั้น
ทว่าเมื่อได้เผชิญหน้ากับอาวุธกระดูกของหลงเฉินแล้วกลับไร้ซึ่งเรี่ยวแรงในการต่อต้านขึ้นมาเสียอย่างนั้น เพียงปะทะกันแค่ครั้งเดียวก็ถึงกับถูกทำลายลงไปในพริบตาเดียว คงจะเป็นเพราะว่าอาวุธกระดูกของหลงเฉินนั้นเป็นถึงคมเขี้ยวของสัตว์มายาระดับสี่ อีกทั้งยังเป็นส่วนที่มีความแข็งแกร่งที่สุดของมันก็ว่าได้
ในช่วงเวลาที่หลงเฉินได้เขี้ยวของพยัคฆ์กระบี่มังกรโลหิตมาครอบครอง เขาก็รู้สึกดีใจจนลมแทบจับ เพราะอวัยวะส่วนนี้เปรียบเสมือนหนึ่งในศาสตราวุธที่แข็งแกร่งที่สุดเลยก็ว่าได้ เขาถึงกับต้องเสียเวลาไปถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนเพื่อที่จะวางแผนและกับดักจนได้เขี้ยวนี้มา อีกทั้งยังต้องขัดเกลาให้จับได้เหมาะมือมากยิ่งขึ้น
และนับตั้งแต่ที่มุ่งหน้าเดินทางกลับสู่หมู่ตึกก็ไม่พบการกร่ำกรายจากสัตว์มายาใดเลยมาตลอดทาง เมื่อมีอาวุธกระดูกอยู่ในมือก็สามารถผ่านพ้นวิกฤติอันแสนลำบากมาได้หลายต่อหลายครั้ง ทว่าที่น่าเสียดายก็คืออาวุธกระดูกชิ้นนี้มีน้ำหนักที่เบาจนเกินไป ไม่เหมาะกับความชอบส่วนตัวของเขาเลยแม้แต่น้อย หากไม่ใช่เป็นเพราะมันมีความแข็งที่ยากจะหาสิ่งใดเปรียบ หลงเฉินก็คงจะไม่หยิบมาใช้อย่างแน่นอน
“ตูมตูมตูม”
ชีซิ่งและเหร่ยเชียนซังโจมตีเข้ามาไม่ยั้ง ทว่าหลงเฉินก็ยังคงใช้เพียงกระบวนท่าเดียวตัดผ่านอาวุธเหล่านั้นไปได้ทุกครั้ง พวกเขาจึงจำเป็นที่จะรวบรวมพลังลมปราณเพื่อสร้างอาวุธขึ้นมาใหม่นับครั้งไม่ถ้วน
ด้วยสถานการณ์อันเลวร้ายเช่นนี้จึงทำให้พลังลมปราณของพวกเหือดแห้งไปอย่างรวดเร็ว ผนวกกับการโจมตีของหลงเฉินที่เรียกได้ว่าแม่นยำเป็นอย่างยิ่ง เพียงไม่กี่ลมหายใจก็ได้ทำลายศาสตราวุธปราณของพวกเขาไปสิบกว่าครั้งแล้ว ในเมื่อพลังลมปราณลดทอนลงไปมาก สีหน้าของพวกเขาจึงซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด
สายตาของพวกเขาเหม่อมองออกไปยังธูปที่กำลังมอดไปทีละน้อยก็อดไม่ได้ที่จะด่าทอขึ้นมาภายในจิตใจ เหตุใดวันนี้ถึงได้มอดดับลงช้าเหลือเกิน!
“ใกล้ถึงเวลาที่จะปิดฉากกันแล้ว”
หลงเฉินทอสีหน้าเฉยชา อาวุธกระดูกถูกยกสูงขึ้น ขุมพลังอันน่าหวาดกลัวที่ยากจะต้านทานก็ได้หอบลมพายุเข้ามาอย่างหนักหน่วง อีกทั้งยังปะทุอย่างรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ