เคล็ดกายานวดารา – ตอนที่ 209 แค้นที่ต้องชำระ

หลงเฉินทอสีหน้าเฉยชา อาวุธกระดูกถูกยกสูงขึ้น ขุมพลังอันน่าหวาดกลัวที่ยากจะต้านทานก็ได้หอบลมพายุเข้ามาอย่างหนักหน่วง อีกทั้งยังปะทุอย่างรุนแรงขึ้นสู่ฟากฟ้า

 

 

 

 

 

 

 

 

เหร่ยเชียนซังและชีซิ่งทอสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที นี่เป็นครั้งแรกที่ร่างกายของพวกเขาเกิดอาการสั่นเทาเพราะความกลัว แขนและขาอ่อนแรงจนไม่อาจขยับหนีได้

 

 

 

 

 

 

 

 

ไม่ใช่เป็นเพราะว่าหวาดกลัวต่อทักษะยุทธ์จนไม่อาจเคลื่อนไหวได้ ทว่าเป็นเพราะความน่าหวาดกลัวของหลงเฉินที่คล้ายกับเทพแห่งความตายที่กำลังจะมาเอาชีวิตของพวกเขา ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตก่อโลหิตเพียงคนเดียวกลับสามารถทำให้ยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นทั้งสองคนหยุดการเคลื่อนไหวไปได้อย่างง่ายดาย

 

 

 

 

 

 

 

 

“ซูม”

 

 

 

 

 

 

 

 

อาวุธกระดูกของหลงเฉินฟาดลงไปที่ยอดฝีมือทั้งสองคนด้วยพลังมหาศาล ให้ความรู้สึกราวกับว่าเพียงครั้งเดียวก็สามารถพลิกผืนฟ้าทลายแผ่นดินลงไปได้เลย แม้อยากจะหลบก็ไม่อาจหลบได้ กระทำได้แค่ต้านทานเอาไว้เท่าที่จะทำได้เท่านั้น

 

 

 

 

 

 

 

 

เหร่ยเชียนซังและชีซิ่งแผดเสียงร้องขึ้นมาราวกับเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของชีวิต พลังที่มีอยู่ภายในตัวทั้งหมด ถูกผนึกเอาไว้ที่อาวุธเข้าต้านกระบวนท่าอันน่าหวาดกลัวของหลงเฉินสุดแรงเกิด

 

 

 

 

 

 

 

 

“ตูม”

 

 

 

 

 

 

 

 

ประกายอันแกร่งกล้ากระแทกไปยังพื้นดินจนแยกออกเป็นทาง ฝุ่นควันลอยคละคลุ้งไปทั่ว เงาร่างทั้งสองปลิวออกไปพร้อมกับโลหิตที่ไหลออกมาไม่หยุด

 

 

 

 

 

 

 

 

ในขณะที่ทั้งสองเงาร่างกำลังจะร่วงถึงพื้น จู่จู่ก็ได้มีเงาร่างของเทพมรณะปรากฏขึ้นมาต่อหน้าพวกเขา แล้ว อาวุธกระดูกขนาดใหญ่ก็ได้โบกเข้ามาหาอย่างหนักหน่วง

 

 

 

 

 

 

 

 

“เป็นไปได้อย่างไรกัน?”

 

 

 

 

 

 

 

 

เหร่ยเชียนซังและชีซิ่งเกิดอาการแตกตื่นตกใจจนหน้าถอดสีแทบไม่ทัน พวกเขาคาดไม่ถึงเลยว่าหลังจากที่หลงเฉินได้ออกกระบวนท่าอันแกร่งกล้ามาครั้งหนึ่งแล้วยังถึงกับออกอีกกระบวนท่าติดต่อกันได้อย่างรวดเร็วและกะทันหันเป็นอย่างยิ่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

แค่กระบวนท่าเดียวก็ทำให้พวกเขาได้รับบาดเจ็บไปจนถึงภายในอย่างแสนสาหัสแล้ว และยังไม่ทันที่จะได้ตั้งตัวก็กำลังจะถูกกระบวนท่าที่สองโจมตีเข้ามา ในเมื่อไม่อาจต้านทานเอาไว้ได้ทัน ก็มีจะต้องรับอาวุธกระดูกนั้นไปโดยปริยาย

 

 

 

 

 

 

 

 

ยอดฝีมือทั้งสองคนลอยละล่องออกไปไกลอีกครั้ง โชคยังดีที่อาวุธกระดูกของหลงเฉินมีเพียงความแข็งเป็นจุดเด่น หากเปลี่ยนเป็นอาวุธชนิดอื่น ร่างของพวกเขาคงจะขาดเป็นสองท่อนไปตั้งแต่แรกแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ทว่าอาวุธกระดูกของหลงเฉินก็เปี่ยมไปด้วยพลังอันมหาศาลที่น่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่งจนทำให้กระดูกทั่วทั้งร่างของพวกเขาแหลกละเอียดไปหลายส่วน ทั้งยังกระอักโลหิตออกมาไม่หยุด จากนั้นก็ถูกซัดจนลอยกระเด็นไปตกอยู่ท่ามกลางผู้คนของพรรคฟ้าดิน

 

 

 

 

 

 

 

 

“ตึกตึก”

 

 

 

 

 

 

 

 

ผู้คนมากมายทอสีหน้าแตกตื่นตกใจไปที่เงาร่างของยอดฝีมือทั้งสองคนนั้น ใบหน้าของพวกเขาขาวซีดราวกับกระดาษแผ่นหนึ่ง บาดแผลทั้งตื้นและลึกปรากฏอยู่เต็มร่างกาย นี่ไม่ใช่ศิษย์สายตรงผู้โหดเ**้ยมอำมหิตกับพวกเขาหรอกหรือ? เหตุใดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหลงเฉินแล้วถึงได้กลายเป็นกระต่ายน้อยที่อ่อนแอไปได้?

 

 

 

 

 

 

 

 

“เหวย อย่ามัวแต่ตะลึง พวกเจ้าจำไม่ได้หรือว่าพวกเขาเคยทุบตีพวกเจ้าจนกระดูกหักและเส้นเอ็นขาดมาแล้ว? ในตอนนี้ก็สบโอกาสแล้ว เหตุใดจึงไม่รีบล้างแค้นกันอีกเล่า?” หลงเฉินกล่าวอย่างไม่แยแสพร้อมกับยกอาวุธกระดูกพาดไปบนบ่า

 

 

 

 

 

 

 

 

ทันใดนั้นผู้คนเหล่านั้นก็มีปฏิกิริยากลับคืนมาทันที คนผู้หนึ่งยกเท้าถีบไปที่ใบหน้าของเหร่ยเชียนซังอย่างเต็มแรง “เจ้าตัวบัดซบไร้ยางอาย ครั้งก่อนเจ้าได้ทุบตีข้า เช่นนั้นจงชดใช้ด้วยสิ่งที่เจ้าเคยทำเอาไว้ด้วย”

 

 

 

 

 

 

 

 

หลังจากที่เหร่ยเชียนซังถูกหลงเฉินจัดการจนกระดูกหักไปหลายส่วน แม้แต่อวัยวะภายในก็ยังบอบช้ำเป็นอย่างยิ่ง ประสาทการรับรู้ก็ลดทอนลงไป ยังไม่ทันที่จะเข้าใจว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น จู่จู่ก็ถูกถีบเข้ามาที่ใบหน้าจนกลิ้งเกลือกไปตามพื้นดิน

 

 

 

 

 

 

 

 

เมื่อคนผู้นั้นได้ลงมือต่อเหร่ยเชียนซังแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะฮาฮาออกมาราวกับว่าสาแก่ใจแล้วที่ได้ระบายความอัดอั้นที่อยู่ในใจออกมา

 

 

 

 

 

 

 

 

“บังอาจ!”

 

 

 

 

 

 

 

 

เหร่ยเชียนซังยันตัวลุกขึ้นมาอย่างช้าๆ ภายในห้วงสมองราวกับมีดวงดาวอยู่เต็มไปหมด เมื่อได้พักอยู่ครู่หนึ่งก็ค่อยๆ มีปฏิกิริยากลับคืนมา แววตาที่มีเปลวเพลิงลุกโชนจดจ้องมาที่คนผู้นั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย

 

 

 

 

 

 

 

 

“ยังจะกล้าจ้องผู้อื่นด้วยสายตาเช่นนั้นอยู่อีกหรือ เก็บไว้มองมารดาของเจ้าเสียเถิด”

 

 

 

 

 

 

 

 

คนผู้นั้นส่งเสียงด่าทอเหร่ยเชียนซังขึ้นมายกใหญ่ จากนั้นก็มีผู้คนอีกหลายสิบคนกระโจนตัวเข้าไปใช้ทั้งมือทั้งเท้าต่อยเตะเหร่ยเชียนซังและชีซิ่งอย่างบ้างคลั่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

ในขณะนี้พวกเขาทั้งสองคนได้รับบาดเจ็บอย่างแสนสาหัส พลังลมปราณที่มีอยู่ก็ถูกใช้ในการต่อกรกับหลงเฉินจนหมดเกลี้ยง เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับศิษย์สายนอกด้วยสภาพเช่นนี้ แน่นอนว่าเพียงฝ่ามือเดียวก็ไม่อาจที่จะหลบเลี่ยงได้เลย

 

 

 

 

 

 

 

 

“พี่น้องทั้งหลาย ปลดปล่อยอารมณ์ของพวกเจ้าให้เต็มที่ ไม่ต้องสนใจการชิงธงอีกต่อไป ในเมื่อพวกเขาได้มอบความอัปยศให้กับพวกเจ้าในครั้งนั้น พวกเจ้าก็ต้องเอาคืนให้สาสมสักสิบเท่า ทุบตีอยู่เช่นนั้นอย่าได้หยุดมือ ออ ไม่สิ เหลือลมหายใจให้พวกเขาเอาไว้สักนิดจะดีกว่า” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ อีกทั้งยังรีบกล่าวขึ้นมากะทันหันเมื่อนึกได้ว่าห้ามสังหารผู้คนภายในสถานที่แห่งนี้

 

 

 

 

 

 

 

 

ในขณะที่หลงเฉินกำลังกระตุ้นอารมณ์โกรธแค้นของผู้คนอยู่นั้น เหล่าผู้คนภายในขุมกำลังของถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวต่างก็ลงมือต่อเหร่ยเชียนซังและชีซิ่งประดุจลมบ้าพายุคลั่งจนผู้คนอื่นต่างก็ทอสีหน้าโง่งมขึ้นมาตามๆ กัน ราวกับว่าไม่ทราบว่าสมควรจะเข้าไปช่วยดีหรือว่าสมควรที่จะหนีไป

 

 

 

 

 

 

 

 

ถึงแม้ว่าจะลงมืออย่างหนักหน่วงและเกรี้ยวกราด ทว่าภายในห้วงสมองของผู้คนเหล่านั้นก็ยังคงมีสติอยู่ตลอดเวลา หลีกเลี่ยงทุกจุดตายของเหร่ยเชียนซังและชีซิ่งได้อย่างหมดจด ลงมือเฉพาะที่แขนและขาเพียงเท่านั้น แม้แต่กัวเหรินเองก็ยังเข้ามาช่วยรุมในช่วงสุดท้ายอยู่หลายเท้าด้วยเช่นกัน

 

 

 

 

 

 

 

 

เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนกู่หยางอดไม่ได้ที่จะทั้งตกใจระคนเดือดดาลขึ้นมายกใหญ่ และถึงแม้ว่าอยากจะเข้าไปช่วยมากเพียงก็ทำไม่ได้ เพราะตรงนี้ยังมีถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวที่คอยฉุดรั้งเขาอยู่อย่างเอาเป็นเอาตาย

 

 

 

 

 

 

 

 

ภายในจิตใจของถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวก็ตระหนักอยู่เสมอว่าคงจะไม่อาจเอาชนะกู่หยางได้ จึงได้แต่โจมตีเพื่อหยุดยั้งเขาเอาไว้ สายตาคู่งามก็คอยเหลือบมองมาที่เทพสงครามอย่างหลงเฉินเป็นระลอกจนอดไม่ได้ที่ตะเกิดอาการลิงโลดขึ้นมาอย่างถึงที่สุด

 

 

 

 

 

 

 

 

“หลงเฉิน เจ้าหาที่ตาย”

 

 

 

 

 

 

 

 

กู่หยางแผดเสียงดังอย่างเกรี้ยวกราด ตลอดทั่วทั้งร่างเปล่งประกายแสงสว่างเจิดจ้าขึ้นมา พลังสภาวะโดยรอบเพิ่มสูงขึ้นอย่างบ้าคลั่ง เห็นได้ชัดว่าการลงมือของหลงเฉินได้กระตุ้นเพลิงโทสะของเขาให้ลุกโชนขึ้นมาอย่างแท้จริงแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

เหร่ยเชียนซังและชีซิ่งนั้นเสมือนเป็นสหายที่รู้ใจของเขาที่สุด อีกทั้งยังเป็นเสมือนแขนและขาของเขา ในเมื่อทั้งสองคนกำลังถูกดูแคลนและได้รับความอับอายอยู่ก็ทำให้เขารู้สึกไม่ต่างกันเลยแม้แต่น้อย

 

 

 

 

 

 

 

 

หากเขาไม่สามารถกู้สถานการณ์ให้กลับมาได้โดยเร็ว เขาเองก็คงจะไม่มีหน้าไปสู้กับฟ้าดินได้อีกแล้ว ทันใดนั้นกู่หยางก็ปะทุพลังอันมหาศาลทั้งหมดออกมาอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับตะโกนขึ้นมาเสียงดัง คมหมัดหอบสายลมพวยพุ่งไปทางถังหว่านเอ๋ออย่างหนักหน่วงในทันที

 

 

 

 

 

 

 

 

“ตูม”

 

 

 

 

 

 

 

 

คมวายุของถังหว่านเอ๋อเข้าต้านทานพลังทำลายอันมหาศาลขุมนั้นอย่างรวดเร็ว

 

 

 

 

 

 

 

 

“โล่น้ำแข็งมรกต”

 

 

 

 

 

 

 

 

ผลึกน้ำแข็งขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าสายตาของถังหว่านเอ๋อ กำปั้นของกู่หยางพุ่งเข้ามากระแทกจนผลึกน้ำแข็งแผ่นนั้นแตกสลายไปในทันตา ทว่าการป้องกันเมื่อครู่นี้ก็ทำให้ถังหว่านเอ๋อสามารถปลีกตัวถอยหลังออกไปได้หลายก้าว พร้อมกับปลดปล่อยคมวายุเข้าโจมตีกู่หยางอีกครั้งหนึ่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

ภายในจิตใจของถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวบังเกิดความหวาดหวั่นขึ้นมาเป็นสาย เพราะในขณะกู่หยางไม่ได้ออมแรงเอาไว้อีกแล้ว เช่นนั้นพวกนางก็คงจะไม่อาจรั้งยอดฝีมือผู้นี้ไว้ได้อีกแล้วเช่นกัน พลันก็ปะทุพลังภายในร่างกายขึ้นมาทั้งหมดเพื่อต้านทานกู่หยางเอาไว้อย่างบ้าคลั่ง เพราะผลแพ้ชนะนั้นขึ้นอยู่ที่พวกนางแล้วว่าจะสามารถต้านทานกู่หยางเอาไว้ได้นานจนหยดสุดท้ายหรือไม่

 

 

 

 

 

 

 

 

เนื่องจากหลงเฉินก็กำลังกดดันอีกทางหนึ่งไว้ได้แล้ว ขอเพียงพวกนางยังสามารถยืนหยัดต่อไปได้ ต่อให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นเช่นไรก็น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

ทว่าที่เป็นกังวลอย่างมากก็คือพลังสภาวะของกู่หยางเรียกได้ว่าน่าหวาดกลัวจนเกินไปแล้ว เขาในตอนนี้ประดุจเป็นราชสีห์ที่กำลังคลุ้มคลั่ง การโจมตีก็เฉียบขาดอย่างไร้ที่เปรียบมากขึ้นกว่าเดิม แม้แต่คมวายุและอาวุธน้ำแข็งก็ไม่อาจต้านทานได้ และถูกทำลายลงไปไม่หยุด

 

 

 

 

 

 

 

 

ดวงตาคู่คมของหลงเฉินเหม่อมองไปที่ก้านธูปขนาดใหญ่ ถึงแม้ว่าทุกอย่างจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในความรู้สึกของเขา ทว่าธูปเล่มนั้นยังมอดไหม้ลงไปได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น

 

 

 

 

 

 

 

 

จากนั้นสายตาคู่นั้นก็เลื่อนมาหยุดที่ซ่งหมิงเหยียนและพวกพ้องก็พบว่าพวกเขายังสามารถสนับสนุนขุมกำลังเอาไว้ได้อยู่ พลันก็พุ่งทะยานร่างเข้าสู่ใจกลางของขุมกำลังใหญ่ไปยังผู้แบกกระบอกธงในทันที

 

 

 

 

 

 

 

 

“ต้านเขาเอาไว้”

 

 

 

 

 

 

 

 

คนแบกธงผู้นั้นทอสีหน้าแตกตื่นตกใจขึ้นมาพร้อมกับตะโกนเสียงดังกังวานเพื่อให้พวกพ้องช่วยกันต้านทานหลงเฉินเอาไว้ จากนั้นเขาก็รีบถอยหลังออกไปอย่างรวดเร็ว

 

 

 

 

 

 

 

 

ทว่าน่าเสียดายที่เขาคาดหวังกับขุมกำลังของตัวเองสูงเกินไป จะมีผู้ใดที่เข้ามาจัดการกับสัตว์ประหลาดที่เพิ่งจะสยบเหร่ยเชียนซังและชีซิ่งไปได้อย่างง่ายดาย สัตว์ประหลาดเฉกเช่นนั้นจะยังมีสิ่งใดสามารถต้านทานเขาเอาไว้ได้อีกอย่างนั้นหรือ?

 

 

 

 

 

 

 

 

คนแบกกระบอกธงผู้นั้นจึงได้แต่ร่ำไห้ออกมาเมื่อผู้คนรอบข้างต่างก็วิ่งหนีกันไปจนหมด หลงเหลือเพียงเขาที่ยืนอยู่ในตรงนั้นอย่างโดดเดี่ยว

 

 

 

 

 

 

 

 

“ศิษย์พี่หลง อย่าได้ทุบตีข้าเลย ข้าจะมอบธงทั้งหมดให้ท่านเอง” คนผู้นั้นร่ำไห้ระงม เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหลงเฉินแต่เพียงผู้เดียว

 

 

 

 

 

 

 

 

ภายในจิตใจก็คิดขึ้นมาได้ว่าในเมื่อทุกคนต่างก็หนีไป การที่เขายกธงให้หลงเฉินก็ไม่ใช่เรื่องที่จะกล่าวโทษเขาแต่เพียงผู้เดียวได้ สถานการณ์เช่นนี้เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้อย่างแท้จริง แม้แต่ศิษย์สายตรงก็ยังถูกพวกเขาไล่ต้อนเอาไว้ได้ทั้งหมด แล้วศิษย์อย่างเขาจะทำการอันใดได้

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินจ้องไปที่ใบหน้าขาวซีดของคนถือธง พลันก็ใช้มือใหญ่คว้าคนผู้นั้นเข้ามาอย่างรุนแรง จนคนผู้นั้นแตกตื่นตกใจจึงอดไม่ได้ที่จะร่ำร้องขึ้นมาว่า “ศิษย์พี่หลง โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย อย่าสังหารข้าเลย อย่าสังหารข้าเลย”

 

 

 

 

 

 

 

 

“ซูม”

 

 

 

 

 

 

 

 

ในขณะที่คนผู้นั้นกำลังขอร้องอ้อนวอนให้หลงเฉินไว้ชีวิตเขาอยู่นั้น จู่จู่ร่างกายของเขาก็ถูกยกสูงขึ้นแล้วลอยละล่องไปกลางอากาศ

 

 

 

 

 

 

 

 

“ตึง”

 

 

 

 

 

 

 

 

บั้นท้ายกระแทกลงกับพื้นอย่างรุนแรง เมื่อลืมตามาก็พบกับใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความฉงนสงสัยของกัวเหริน จึงอดไม่ได้ที่จะดีใจขึ้นมายกใหญ่ พลันก็รีบยกมือขึ้นคารวะพร้อมทั้งยื่นกระบอกธงให้กัวเหรินอย่างร้อนรน

 

 

 

 

 

 

 

 

ในขณะที่กัวเหรินกำลังจะยื่นมือเข้าไปรับกระบอกธงนั้นมา ทันใดนั้นก็นึกถึงสิ่งที่หลงเฉินได้บอกกล่าวเอาไว้เมื่อก่อนหน้านี้ จึงรีบเปลี่ยนสีหน้าและอารมณ์อย่างรวดเร็ว “เจ้ากำลังทำอันใดอยู่ เหตุใดจึงไม่รีบคุกเข่าลงแล้วใช้สองมือประคองธงให้ข้า แม้แต่มารยาทพื้นฐานก็ยังไม่เคยเรียนมาอย่างนั้นหรือ?

 

 

 

 

 

 

 

 

พวกของเจ้าเอาแต่รังแกพวกพ้องของข้ามาเนิ่นนานแล้ว ในเมื่อพี่หลงไม่บดขยี้กระดูกของเจ้าให้แหลกลานไปทั้งตัวก็นับว่าเป็นบุญของตระกูลของเจ้าแล้ว หากยังชักช้าอยู่ ข้าจะเรียกให้เหล่าพี่น้องของข้ามาทุบตีเจ้าจนจมูกเรียบเป็นแผ่นกระดานไปได้เลย แม้แต่สมองก็ต้องถูกบี้จนแบนไปด้วย!”

 

 

 

 

 

 

 

 

คนผู้นั้นกวาดสายตามองไปยังแววตาดุร้ายของผู้คนมากมายที่รายล้อมอยู่รอบด้าน จู่จู่เข่าทั้งสองข้างก็อ่อนระทวยล้มลงกับพื้นไปในทันที สองมือหอบกระบอกธงยื่นประเคนขึ้นเหนือหัวไปทางกัวเหรินอย่างรวดเร็ว

 

 

 

 

 

 

 

 

“ได้โปรดศิษย์พี่ท่านยิ้มรับสิ่งของชิ้นนี้จากข้าเอาไว้ด้วย”

 

 

 

 

 

 

 

 

ภายในจิตใจของกัวเหรินเกิดความเบิกบานอย่างถึงที่สุด เขาไม่ได้รังแกผู้คนมานานมากแล้ว ในที่สุดก็ถึงเวลาที่จะระบายความแค้นออกมาเสียที

 

 

 

 

 

 

 

 

ในขณะที่กำลังรับกระบอกธงเข้ามานั้น กัวเหรินก็จงใจแกล้งกล่าวน้ำเสียงเรียบเฉยออกมาว่า “ไสหัวไปได้แล้ว แล้วจงจำเอาไว้ว่าครั้งหน้าต้องรวบรัดให้เร็วกว่านี้อีกหน่อย เข้าใจหรือไม่?”

 

 

 

 

 

 

 

 

“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว ข้าจะรีบไสหัวไปเดี๋ยวนี้” คนผู้นั้นรีบโค้งคารวะ พลันก็วิ่งตะบึงหน้าตั้งออกไปจากตรงนั้นในทันที

 

 

 

 

 

 

 

 

ในเมื่อไม่โดนทุบตีอย่างอำมหิตก็ถือว่าโชคดีเป็นอย่างยิ่งแล้ว ภายในจิตใจของเขาก็เกิดจิตคิดที่จะถอนตัวขึ้นมากลางคัน การแย่งชิงภายในหมู่ตึกแห่งนี้ช่างน่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว ขอเป็นศิษย์สายนอกที่อยู่อย่างสุขสงบโดยที่เข้าร่วมกับขุมกำลังใดยังจะดีเสียกว่า

 

 

 

 

 

 

 

 

หลงเฉินเพียงคนเดียวก็สามารถช่วงชิงธงของอีกฝ่ายมาได้ทั้งหมด ใบหน้าอันเย็นชาปรากฏรอยยิ้มที่แสนจะเย็นเยียบขึ้นมา นี่ก็คือผลลัพธ์ของการไร้ซึ่งความเชื่อใจต่อกันนั่นเอง

 

 

 

 

 

 

 

 

ในเมื่อไม่มีความเชื่อใจต่อกันแล้วจะมีแรงใจไปออกรบได้อย่างไรกัน ผู้คนทั้งหลายจึงเป็นได้แค่เม็ดทรายกลุ่มหนึ่งที่กระจัดกระจายไปทั่ว เมื่อใดที่ได้พบกับการคุกคามที่แท้จริง พวกเขาเหล่านั้นก็จะห่วงแค่ตัวเองเท่านั้น นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าเหตุใดหลงเฉินถึงได้เกลียดชังคนทรยศเป็นอย่างยิ่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

“หลงเฉิน ข้าจะฆ่าเจ้า”

 

 

 

 

 

 

 

 

ในขณะที่หลงเฉินกำลังช่วงชิงกระบอกธงของผู้คนอยู่นั้น ในที่สุดทางถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวก็ไม่อาจต้านทานกู่หยางเอาไว้ได้อีกต่อไปแล้ว

 

 

 

 

 

 

 

 

กู่หยางในตอนนี้ประดุจราชสีห์กำลังเกรี้ยวกราด แววตาทั้งสองคล้ายกับมีประกายเปลวเพลิงลุกโชนขึ้นมา ซุ่มเสียงดังกังวานไปทั่วทุกสารทิศ มาพร้อมกับคมหมัดสายหนึ่งพุ่งตรงเข้าไปหาหลงเฉินในทันที

เคล็ดกายานวดารา

เคล็ดกายานวดารา

เป็นจักพรรดิโอสถกลับเกิดใหม่งั้นหรือ ? เป็นการผสานจิตวิญญาณกันหรือ ? หลงเฉิน เด็กหนุ่มที่ถูกช่วงชิงรากปราณ โลหิตปราณ กระดูกปราณทั้งสามสิ่งไป ได้หยิบยืมวิชาการหลอมโอสถระดับเทวะภายใต้ความทรงจำ ฝึกปรือวิชาเคล็ดกายานวดาราอันลี้ลับ แหวกม่านหมอกที่หนาทึบออก ปลดปล่อยโชคชะตาครอบครองพลังวงแหวนเทวะแห่งฟ้าดิน เหยียบย่างชั้นดาราตะวันจันทรา พบพานสาวงามต่างๆ กำราบมารร้ายเทพแห่งความชั่วจนกลายเป็นที่เลื่องลือก้องแดนเจียงหนาน หลงเฉินมาถึง สวรรค์คำรนพสุธาคำราม หลงเฉินไปจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพร่ำไรจนเป็นที่ตำนานแห่งยุทธ์ภพ หลงเฉินปรากฎ ฟ้าดินสั่นสะเทือน หลงเฉินเดินจาก ภูตผีหลั่งน้ำตาเทพยดาร้ำไห้ ระดับพลัง 1.ขอบเขตก่อรวม 2.ขอบเขตก่อโลหิต 3.ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็น 4.ขอบเขตปรือกระดูก 5.ขอบเขตเชื่อมชีพจร 6.ขอบเขตแห่งการก่อฟ้า ระดับโอสถ 1.โอสถสามัญ 2.โอสถปัญญา 3.เชี่ยวชาญโอสถ 4.ราชาโอสถ 5.ราชันโอสถ 6.จ้าวโอสถ 7.เซียนโอสถ 8.ปราชญ์โอสถ 9.จักรพรรดิ์โอสถ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset