ภายในลานกว้างด้านในของตำหนักหลอมโอสถ มีผู้หลอมโอสถกว่าสิบคนกำลังนั่งล้อมวงกันอยู่และกำลังส่งสายตามาที่เด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาในโถงนั้นอย่างไม่ละสายตาแม้เพียงเสี้ยวเดียว
ผู้หลอมโอสถเหล่านี้ต่างก็ดูมีอายุมากกันเสียส่วนใหญ่ซึ่งน่าจะราวสี่สิบปีขึ้นไป ดูหนุ่มที่สุดก็น่าจะอายุกว่าสามสิบแล้ว
ขณะนี้มีเด็กหนุ่มที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นผู้หลอมโอสถที่มีอายุน้อยที่สุดเท่าที่เคยปรากฏในหน้าประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิข่าวคราวนี้ถูกกระซิบต่อกันจนเป็นหน้าหูให้กับชุมนุมผู้หลอมโอสถ ไม่มีผู้ใดเชื่อว่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง บ้างก็มองแล้วส่ายหน้าไปมาบ้างก็ส่งสายตาอย่างดูแคลนเย้ยหยัน
แต่ทว่าผู้คนเหล่านั้นต่างก็ทราบดีอยู่แล้วแก่ใจตั้งแต่ได้ยินได้ฟังเรื่องราวมานับครั้งไม่ถ้วนว่าปรมาจารย์หวินฉีนั้นตั้งใจมอบแผ่นป้ายประจำกายของผู้หลอมโอสถให้แก่เด็กหนุ่มผู้นี้ด้วยตนเองถึงแม้ว่าจะไม่อาจเชื่อว่าเป็นจริงหรือเท็จแต่ว่าก็ไม่มีผู้ใดหาญกล้าพอที่จะแสดงความไม่พึงพอใจออกมาอย่างเปิดเผย
“หลงเฉิน ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นหัวหน้าสภา แต่ก็ไม่อาจที่จะฝ่าฝืนกฎข้อบังคับของทางสภาได้ การที่จะหยิบยืมโอสถจากที่แห่งนี้จำเป็นที่จะต้องกระทำต่อหน้าผู้หลอมโอสถทั้งหมด จงหลอมโอสถออกมาถึงแม้ว่าทางสภาจะไม่มีเกณฑ์การวัดระดับของโอสถเพื่อตัดสินปริมาณในการหยิบยืมได้” ปรมาจารย์หวินฉีกล่าวออกมาด้วยใบหน้าที่เข้มงวด
“ข้าน้อยทราบแล้ว”
หลงเฉินเข้าใจในเรื่องเช่นนี้อยู่บ้างแล้ว กระนั้นภายใต้ชุมนุมผู้หลอมโอสถกลับไม่ใช่ของผู้ใดแต่เพียงผู้เดียว จากท่าทีของปรมาจารย์หวินฉีแล้วย่อมไม่ให้เขาใช้เตาเล็กอย่างแน่นอน
“ในที่แห่งนี้มีสมุนไพรทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดสิบเจ็ดชนิด เจ้าหยิบอันใดมาก็ได้หนึ่งชนิด”หนึ่งในผู้หลอมโอสถได้ยื่นกระดาษที่สร้างมาจากหนังปีศาจให้หลงเฉินแววตานั้นได้ปรากฏความยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่นขึ้นมา
ด้านบนของหนังปีศาจนั้นได้บันทึกรายชื่อโอสถเอาไว้ ไม่เพียงแต่เฉพาะโอสถในระดับปกติทั่วไป อย่างโอสถระดับกลางที่หลอมขึ้นมาได้ยากต่างก็ได้ถูกจดเอาไว้ทั้งหมดโดยส่วนมากแล้วผู้หลอมโอสถจะมีโอกาสในการหลอมโอสถระดับนี้ได้สำเร็จไม่มากนัก
ยิ่งไปกว่านั้นการหลอมโอสถต่อหน้าผู้หลอมโอสถทั้งหมดนี้ และมีปรมาจารย์หวินฉีคอยดูแลอยู่ไม่ห่างจะไม่ให้เกิดอาการตื่นเต้นเห็นจะเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดแวดล้อมไปด้วยบรรยากาศเช่นนี้ยากนักที่จะควบคุมความสำเร็จในการหลอมยาโอสถออกมา
ชายผู้ที่ส่งมอบหนังปีศาจให้แก่หลงเฉินก็เป็นหนึ่งในผู้หลอมโอสถ ดูแล้วก็น่าจะมีอายุกว่าสี่สิบปีเฉกเช่นผู้อื่นที่กำลังนั่งล้อมกันอยู่ ในช่วงที่เขาทดสอบวัดระดับการเป็นผู้หลอมโอสถก็ได้เกิดล้มเหลวมาก่อนกว่าสิบเจ็ดครั้งจึงจะสามารถผ่านมาได้
ท่ามกลางผู้คนทั้งหมดที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ต่างไม่ได้เก่งกาจไปกว่าหลงเฉินเสียเท่าใดนัก แทบจะทุกคนต่างก็ต้องทดสอบไปมากกว่าหลายสิบครั้งจึงจะผ่าน
แต่การหยิบยืมสมุนไพรจากสภากลับไม่ใช่เรื่องง่ายดายที่ผู้ใดจะกระทำได้แม้จะเป็นถึงผู้หลอมโอสถแล้ว แต่ว่าถ้าหากประสบความสำเร็จก็จะเป็นการเปิดทางให้สะดวกสบายมากขึ้นอย่างถึงที่สุด
หลงเฉินเหลือบตาไปยังแผ่นหนังปีศาจอยู่ครู่หนึ่งแล้วใช้ปลายชี้นิ้วกวาดไปยังวิธีการหลอมโอสถจนมาหยุดอยู่ที่วิธีหนึ่ง “เป็นมันก็แล้วกัน”
“อะไรกัน?เจ้าแน่ใจหรือ?”
ชายผู้นั้นมีสีหน้าแปลกประหลาดใจออกมาแล้วถามเพื่อย้ำเตือนว่าสิ่งที่เห็นอยู่นั้นไม่ได้ผิดไปโอสถที่หลงเฉินเลือกมานั้นมีชื่อว่าโอสถระเบิดพลังซึ่งเป็นโอสถที่แข็งแกร่งชนิดหนึ่งเลยก็ว่าได้
เป็นโอสถที่ทำให้ผู้ใช้ระเบิดพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งออกมาได้ด้วยช่วงเวลาเพียงสั้นๆ เทียบได้กับการเพิ่มพลังจากเดิมสูงขึ้นไปเกือบสามระดับ
โอสถระเบิดพลังถือได้ว่าเป็นโอสถล้ำค่าของเหล่าผู้ที่ชื่นชอบความอันตรายเป็นที่สุด แต่การใช้โอสถระเบิดพลังนี้จะสร้างผลกระทบต่อร่างกายของผู้ใช้ให้อ่อนแอลงได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
การใช้โอสถระเบิดพลังเป็นสิ่งที่ช่วยชีวิตของเหล่านักสู้ภายในจักรวรรดิได้เป็นอย่างมาก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องต้องเผชิญหน้ากับเหล่าปีศาจมารร้ายอยู่เป็นประจำ
แต่ว่าหลักการหลอมโอสถระเบิดพลังนั้นถือได้ว่าหินอย่างถึงที่สุด จำเป็นที่จะต้องพึ่งพาความแข็งแกร่งของสมุนไพรด้วยประการหนึ่งอีกประการคือต่อให้เป็นผู้หลอมโอสถที่มีวิชาการหลอมอันเก่าแก่แล่ช่ำชองก็ไม่อาจสำเร็จการหลอมได้โดยง่ายดาย
อย่างไรก็ตามการหลอมโอสถแต่ละชิ้นออกมาย่อมมีความเสี่ยงที่จะไม่สำเร็จอยู่บ่อยครั้ง ถึงแม้ว่าราคาค่างวดของโอสถที่ได้นั้นจะสูงแต่ว่าวัตถุดิบและสมุนไพรกลับไม่ได้ให้โดยเปล่าอย่างแน่นอน สิ่งเหล่านั้นก็จำเป็นต้องใช้เงินตราซื้อหามาอยู่ดี
วัตถุดิบในการหลอมโอสถระเบิดพลังถือได้ว่ามีราคาที่สูงยิ่ง หากหลอมไม่สำเร็จติดต่อกันสามครั้งนั่นคือการขาดทุนอย่างมหาศาลของผู้หลอมโอสถ
ดังนั้นผู้ที่คิดจะหลอมโอสถชนิดนี้มีอยู่ไม่มาก เนื่องด้วยราคาของวัตถุดิบและสมุนไพรที่สูงลิ่วลับตาจนยากจนรับได้ หากแต่จะเป็นผู้ที่มีเงินตราเหลือกินเหลือใช้เป็นพิเศษก็เท่านั้น ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้าพอที่จะเสี่ยงโชคด้วย?
“ไม่เลว เป็นมันก็แล้วกัน” หลงเฉินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ได้สนใจดวงตาของผู้อื่นที่ส่งมายินดีในความโชคร้ายของเขาเลยแม้แต่น้อย
ปรมาจารย์หวินฉียิ้มออกมาน้อยๆ แล้วสั่งให้เด็กจัดโอสถผู้หนึ่งตระเตรียมสมุนไพรมาทั้งหมดสามชุดตามกฎเกณฑ์ของการทดสอบที่ให้ยืมได้เพียงแค่สามชุด ขอเพียงหลอมโอสถให้สำเร็จแม้เพียงชุดเดียวก็ถือว่าผ่านการทดสอบ
ขณะนี้สมุนไพรทั้งสามชุดถูกจัดวางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบอยู่เบื้องหน้าของหลงเฉินเขาก็ไม่ได้มีความลังเลเลยแต่อย่างใดพลางก็นำเตาหลอมของตนเองออกมา แล้วส่งพลังไปยังฝ่ามือจนเกิดเปลวเพลิงสีเหลืองเข้มปะทุขึ้นมาสายหนึ่ง
หลังจากที่เวลาผ่านพ้นไปไม่กี่อึดใจ หลงเฉินก็ได้เริ่มไหลเวียนเพลิงโอสถไปที่ฐานด้านล่างของเตาหลอมโอสถเพื่อจุดให้เตาร้อนขึ้นมาหลังจากที่เตาเริ่มร้อนแล้วก็ได้เปิดฝาเตาขึ้น หากพบว่าเตาหุงร้อนได้ที่ก็ต่อด้วยกระบวนการที่สำคัญที่สุดคือการใช้พลังแห่งจิตวิญญาณคอยควบคุมระดับของเพลิงที่ไหลเวียนอยู่ภายในเตา
ประโยชน์ของวิธีการทำเช่นนี้ก็คือสามารถที่จะทำให้เตาโอสถเข้าสู่ความพร้อมในการหลอมโอสถและลดทอนโอกาสพลาดพลั้งให้น้อยลง โดยคอบปรับอุณหภูมิภายในของเตาโอสถให้คงที่ตลอด
ความจริงแล้วหลงเฉินนั้นมีวิธีที่ทำให้ได้ผลลัพธ์ได้มากกว่านี้ แต่ไม่อาจที่จะใช้ออกมาท่ามกลางเหล่าชุมนุมผู้หลอมโอสถไว้ศึกษาถึงเคล็ดวิชาที่สุดยอดเช่นนั้นได้
อีกอย่างก็คือเขาไม่ต้องการที่จะให้วิธีเช่นั้นกลายเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจของผู้คนมากจนเกินไป อาจส่งผลกระทบให้เขาจัดการเรื่องราวภายหลังอย่างไม่ราบรื่นแน่นอน การถูกจดจำและจับตามองย่อมเป็นการสร้างปัญหาให้แก่ตนเอง
จากที่หลงเฉินไม่ได้อยู่ในสายตาของผู้ใดกลับกลายเป็นว่ามีชื่อเสียงขึ้นมาในช่วงเวลาไม่นาน สายตาและใบหน้ามากมายที่เคยดูถูกเย้ยหยันก็เริ่มลดลงไปเรื่อยๆ
ตลอดทั้งคืนมานี้หลงเฉินได้มีการตระเตรียมทำการบ้านมาอย่างดี เขาไม่เกิดความลังเลใจแต่อย่างใดจากนั้นก็นำหญ้าเที่ยเสี้ยน (铁线) วางลงไปเป็นอันดับแรกแล้วจึงเริ่มต้นการหลอมโอสถระเบิดพลัง
การเคลื่อนไหวร่างกายอย่างคล่องแคล่วของหลงเฉินในตอนนี้ทำให้ผู้คนโดยรอบบริเวณหันเหความสนใจมาที่เขาจนเป็นสายตาเดียว แต่ก็ยังไม่อาจลดเหยียดหยามที่อยู่ภายในใจลงได้
หญ้าเที่ยเสี้ยนเป็นสมุนไพรที่ใช้ระยะเวลาในการหลอมที่ยาวนานเกือบที่สุด โดยมากแล้วมักจะถูกวางเข้าไปในกระบวนการท้ายที่สุดของการหลอม รอคอยให้ใต้เตาโอสถร้อนขึ้นมาแล้วจึงค่อยไปใส่เข้าไป
มีเพียงปรมาจารย์หวินฉีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ทอแววตาเป็นประกายขึ้นมาแล้วพยักหน้าไปมาอย่างเงียบๆ
ความสงสัยมากมายได้ถาโถมเข้ามายังบรรดาเหล่าผู้หลอมโอสถผู้อื่น หญ้าเที่ยเสี้ยนที่เพิ่งจะหลอมไปได้เพียงครึ่งหนึ่งยังไม่ทันจะกลายเป็นผุยผงก็ถูกหลงเฉินนำออกมาจากเตาเสียก่อนเขาวางพักมันเอาไว้ด้านข้างของเตา แล้วจึงได้เริ่มหลอมสมุนไพรตัวอื่น
เวลาผ่านไปจนถึงช่วงการหลอมสมุนไพรลำดับที่หกเสร็จ หลงเฉินก็ได้นำหญ้าเที่ยเสี้ยนที่ถูกวางไว้กลับเข้าไปหลอมต่อ แต่ก็เช่นเดิมคือก็ยังคงไม่ได้หลอมจนเสร็จสิ้นก็ได้เริ่มต้นใส่สมุนไพรตัวอื่นต่อ
กระบวนการที่เกิดขึ้นล้วนแต่ทำให้ผู้อื่นเกิดความสงสัยยิ่ง ไม่เคยพบเจอวิธีการเช่นนี้มาก่อนเลย แต่ทว่าแววตาทั้งคู่ของปรมาจารย์หวินฉีนั้นบังเกิดความเลื่อมใสขึ้นมาไม่น้อยเลยทีเดียวความฉงนสงสัยจนเกิดเป็นข้อคำถามที่ว่าแท้จริงแล้วเขาผู้นี้ใช้หลักวิชาของสำนักใดกันแน่?
หญ้าเที่ยเสี้ยนของหลงเฉินถูกนำเข้าเตาหลอมไปทั้งหมดสิบสามครั้งจึงค่อยๆ หลอมไปเป็นผงจนสำเร็จ รวมทั้งสมุนไพรทั้งหมดกว่ายี่สิบชนิดก็ได้ถูกหลอมจนครบกระบวนการแล้วเช่นกัน
หากเป็นไปวิธีการหลอมตามปกติแล้วมักจะใช้เวลาหลังจากการหลอมอันยาวนานในการพักผ่อนอยู่ชั่วครู่ เพื่อบรรเทาอาการตื่นเต้นให้สงบลง ให้จิตใจอยู่ในสภาพที่สดชื่นแจ่มใส
แต่วผิดจากหลงเฉินที่กลับไม่อาจเสียเวลาส่วนนั้นไปโดยเปล่าประโยชน์ หลังจากที่หลอมสมุนไพรทั้งหมดครบแล้วก็ได้เริ่มต้นหลอมเป็นโอสถไปในทันที กลิ่นหอมของสมุนไพรหลากชนิดเริ่มส่งกลิ่นคละคลุ้งโชยไปมาอยู่ทั่วบรรยากาศ
หลงเฉินบีบไปที่แกนของหญ้าเที่ยเสี้ยนนับครั้งไม่ถ้วนแล้วบรรจงวางเข้าไปภายในเตาหลอมโอสถ เป็นวิธีการที่ผิดแผกแปลกไปจากปกติมากยิ่งนักจนทำให้ผู้คนต่างส่งเสียงเล็ดลอดไรฟันออกมา
“ฮูว”
การไหลเวียนพลังแห่งจิตวิญญาณได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง พลังเพลิงโอสถพุ่งพ่านออกมาจนอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ไอร้อนกรุ่นระอุขึ้นมารอบเตานี่คือการเข้าสู่การหลอมโอสถระเบิดพลังอย่างแท้จริงแล้ว
“เป็นพลังแห่งจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งยิ่งนัก”
หลานคนแตกตื่นตกใจกับพลังที่สถิตอยู่ตรงหน้า แต่ในเวลาเดียวกันก็อดที่จะส่ายหัวตามกันไม่ได้ ต่อให้เพิ่มความแรงของเพลิงและรอคอยจนกลายเป็นโอสถได้สำเร็จแล้วจะเหลือพลังอันใดไปรวมโอสถกัน? เด็กอย่างไรก็ยังคงเป็นเด็ก ไม่อาจที่จะควบคุมพลังให้คงทนเอาไว้ได้นานมากนัก
ปรมาจารย์หวินฉีจ้องมองไปยังเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าด้วยความสนอกสนใจสิ่งที่ได้ประจักษ์แก่สายตาทั้งหมดที่ผ่านมามีแต่เพียงเขาผู้เดียวที่เข้าใจเหตุผลที่หลงเฉินทำเรื่องเช่นนั้นความแตกต่างของวิธีการยิ่งทวีความชื่นชมที่เขามีต่อหลงเฉินมากขึ้นพลังแห่งจิตวิญญาณที่ว่าแข็งแกร่งแล้วยังไม่อาจเทียบเท่าการเตรียมตัวมาอย่างชำนาญ นี่แหละจึงจะเรียกได้ว่าเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง
สิ่งที่ไม่อาจเชื่อในสายตาของผู้คนโดยรอบนั้นคือหลังจากที่ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยามแล้วกลับพบว่าพลังแห่งจิตวิญญาณของหลงเฉินไม่มีทีท่าว่าจะมอดดับไปแม้เพียงเสี้ยวหนึ่งกลับยิ่งทรงอานุภาพและปะทุรุนแรงยิ่งกว่าเดิม
“ปึง”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากเตาโอสถที่กำลังสั่นคลอนไปมาเบาๆพลังหอบหนึ่งไหลเวียนออกมา โดยรอบเตานั้นเรียกความสนใจจากผู้ชมได้ไม่น้อยนี่เป็นช่วงเวลาที่เหล่าผู้หลอมโอสถทราบกันดีว่าคับขันและน่าอึดอัดใจเป็นที่สุด
เตาโอสถเคลื่อนไหวอย่างไม่หยุดหย่อน หากกล่าวกันตามเหตุผลแล้วเป็นจังหวะที่ผู้หลอมโอสถสมควรที่จะผ่อนความแรงของเพลิงให้น้อยลง เพื่อที่จะทำให้เตาโอสถอยู่ในสภาวะคงที่
แต่หลงเฉินกลับไม่ได้สนใจถึงจุดนี้เลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกันยิ่งเพิ่มความแรงของพลังแห่งจิตวิญญาณให้สูงขึ้นจนร้อนแรงลุกโชนขึ้นมาหลายเท่าตัว
“นั่นเขากำลังทำอะไรกัน?”
สายตาดูแคลนในความรู้เบื้องต้นอันน้อยนิด มีการหลอมโอสถเช่นนั้นที่ไหนกัน อยากจะให้สิ่งที่ทำมาทั้งหมดนั้นระเบิดเป็นจุลหรืออย่างไร นี่เหมือนกับเป็นการจงใจอย่างเห็นได้ชัด
“ตูม”
แล้วก็ได้เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นมาตามที่คาดการณ์ไว้ เตาโอสถเด้งขึ้นมาครั้งหนึ่งก่อนที่หลงเฉินจะใช้ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งพยุงเอาไว้แล้วจับกดฝาเตาให้แนบแน่นปิดสนิทลงไปพ่วงด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งหอบหนึ่งช่วยกดลงไปอีก
“ปึง”
เสียงระเบิดขึ้นมารัวต่อเนื่องอย่างไม่หยุดยั้งจากนั้นก็ค่อยๆ เบาลงและจางหายไปกับอากาศ
“วิธีการระเบิดเช่นนี้ช่างนับว่าสิ้นเปลืองพลังอย่างที่สุด”
หลงเฉินปาดหยาดเหงื่อที่รินไหลลงมาอาบแก้ม การใช้วิชาการหลอมโอสถครั้งหนึ่งย่อมทำให้ผู้ใช้สูญเสียพลังไปอย่างมหาศาล เหนื่อยเสียจนสายตัวแทบจะขาดรอนอย่างไรอย่างนั้นแต่ไม่อาจเทียบได้กับหลงเฉินที่บัดนี้ไม่อาจเปิดเผยพลังของตนเองออกมาได้อย่างเต็มที่เสมือนกับใช้เพียงหนึ่งมือหนึ่งตา ยังสามารถปะทุแรงระเบิดออกมาได้ถึงเพียงนี้
ผัวะ!
ฝาเตาเผยอออกจนทำให้กลิ่นหอมหวนจากโอสถอันเข้มข้นที่อยู่ด้านในลอยเล็ดลอดออกมาโชยไปทั่วห้องโถงใหญ่ในทันที สายตาทุกคู่เบิกกว้างอย่างไม่อาจเชื่อได้เต็มประดา
“ในที่สุดก็สำเร็จแล้ว”
ผู้หลอมโอสถผู้อื่นรู้แก่ใจกันดีอยู่แล้วแม้ไม่จำเป็นที่จะต้องมองเข้าไปภายในเตา เพียงได้สูดดมกลิ่นหอมของโอสถก็ทราบได้ทันทีว่าหลงเฉินได้หลอมจนสำเร็จแล้ว
“ยอดเยี่ยม ดูเหมือนว่าจะมีโอสถระดับกลางอยู่เสียด้วย”
ปรมาจารย์หวินฉีมองไปที่หลงเฉินด้วยความเลื่อมใส หลงเฉินผู้นี้ช่างอยู่เหนือความคาดหมายของเขามากจนเกินไปแล้ว
เขาพอจะทราบดีอยู่แล้วว่าด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณระดับหลงเฉินจะต้องหลอมโอสถได้สำเร็จโดยไม่ยากเย็นแสนเข็ญจนเกินไปแต่ทว่าสิ่งที่เขาต้องการจะทราบมากที่สุดก็คือพื้นฐานของหลงเฉินนั้นเป็นมาอย่างไรกันแน่
วันนี้ที่ได้ประจักษ์แก่สายตาก็พบว่าพื้นฐานของหลงเฉินมีบางอย่างถูกซ่อนเร้นเอาไว้ โดยต่างจากเหล่าผู้หลอมโอสถที่มีการฝึกฝนมานานหลายปีอย่างลิบลับ
ที่ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้เลยก็คือ ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งที่มีต่อโอสถของหลงเฉิน หญ้าเที่ยเสี้ยนนั้นมีกลิ่นฉุนจึงจำเป็นที่จะหลอมหลายครั้งเพื่อที่จะลดกลิ่นของมัน กลิ่นที่พอเหมาะจะทำให้ประสิทธิภาพของโอสถสูงยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มโอกาสในการหลอมให้สำเร็จสูงยิ่งขึ้นด้วย
ภายในชุมนุมผู้หลอมโอสถนี้ไม่มีผู้ใดทราบถึงวิธีการหลอมเช่นนี้ หากแต่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ลับของสภา มีเพียงผู้อาวุโสส่วนหนึ่งเท่านั้นที่ทราบและบัญญัติวิธีการเช่นนี้เอาไว้ในคัมภีร์
น่าเสียดายที่ตัวอักษรภายในคัมภีร์เริ่มเลือนรางไม่ชัดเจนจนยากที่จะแกะออกมาเป็นตัวอักษรที่เข้าใจได้ หลงเหลือไว้แต่เพียงหลักการหนึ่งที่ว่า: หญ้าเที่ยเสี้ยนนั้นจำเป็นที่จะต้องผ่านการหลอมหลายครั้งจึงจะสามารถลดทอนสภาวะฉุนลงได้
โดยส่วนมากแล้วผู้คนมักจะเลือกใช้วิธีการหลอมที่ปกติธรรมดา หรือหากยังไม่ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้มากนักก็จะสอบถามจากผู้หลอมโอสถหลายๆ คน ผู้หลอมจำพวกนั้นก็มักจะสร้างวิธีการของตนเองขึ้นมาและไม่คิดที่จะแบ่งปันให้ผู้อื่นทราบ
หากจะกล่าวถึงผู้อื่นคงไม่เกิดประโยชน์อันใด ต่อให้เป็นปรมาจารย์หวินฉีเองที่ทราบวิธีการหลอมหญ้าเที่ยเสี้ยนอยู่แล้วกลับยังไม่เคยพบเจอว่าจะมีผู้ใดคิดที่ใช้วิธีการเช่นนี้ในการหลอมโอสถมาก่อน
ประการแรกก็คือเขาไม่อาจที่จะสอนผู้อื่นในวิธีการอันลึกล้ำเช่นนี้ได้และอีกประการหนึ่งก็คือการเป็นผู้หลอมโอสถที่ไม่เรียนรู้วิธีการใหม่ก็คล้ายกับว่าชีวิตนี้ไม่คิดที่จะเติบใหญ่อีกต่อไป
เมื่อเหล่าผู้หลอมโอสถได้ยินปรมาจารย์หวินฉีกล่าวออกมาเช่นนั้นก็ยิ่งเกิดความตื่นตระหนกตกใจอย่างเซ็งแซ่: โอสถระดับกลางอย่างนั้นหรือ? เป็นไปได้อย่างไรกัน?
หลงเฉินปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาที่มุมปากเมื่อเห็นสายตาทุกคู่กำลังมองมาที่เขาเป็นหนึ่งเดียวเขาโบกไม้โบกมือออกไปยกใหญ่เพื่อดึงดูดความสนใจยิ่งขึ้นบัดนี้โอสถเม็ดอวบห้าเม็ดก็ได้เรียงรายอยู่กลางฝ่ามือ
ด้านบนของโอสถสองเม็ดถูกตีตราเข้าไปว่า——ตานเหวิน(丹纹) เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่านั่นคือโอสถระดับกลาง
ทั่วทั้งบริเวณแห่งนี้เริ่มเกิดเสียงจอแจของเหล่าผู้ชุมนุมขึ้นมา เว้นไว้เพียงแค่ปรมาจารน์หวินฉีผู้เดียวเท่านั้นที่ไม่ปรากฏความตื่นตกใจขึ้นมาใดใด ความอิจฉาริษยาที่ปกคลุมรอบบรรยากาศที่แน่นอนว่าย่อมทำได้แต่เพียงแค่อิจฉาไปเท่านั้น
เมื่อหลงเฉินมองไปยังโอสถที่อยู่ในมือทั้งห้าเม็ดก็ได้ผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นด้านของของเขาว่า “เจ้าหลอมโอสถจนสำเร็จ และจะถูกจดบันทึกเอาไว้ว่าได้เลื่อนขั้นไปสู่การหยิบยืมระดับที่สอง”
ประโยคนี้ของปรมาจารย์หวินฉีทำให้ผู้คนทั้งหมดยิ่งตื่นตกใจ ขึ้นไปสู่การหยิบยืมระดับที่สองเชียวหรือ นั่นก็หมายถึงความสามารถที่จะหยิบยืมสมุนไพรในระดับที่สองได้ยิ่งทำให้ความอิจฉาริษยาในบรรยากาศหนาแน่นขึ้นอีก
หลงเฉินติดตามปรมาจารย์หวินฉีออกไปจากห้องโถงใหญ่ ปล่อยให้เหล่าผู้ชุมนุมกระซิบกระซาบถามไถ่กันไปมาด้วยความฉงนสงสัยที่ยังไม่คลี่คลาย ปรมาจารย์หวินฉีหันกลับมากล่าวต่อหลงเฉินอย่างจริงจังอย่างที่ไม่เคยแสดงออกเช่นนี้มาก่อน
“หลงเฉินจงระวังตัวจากเด็กสาวคนนั้นเอาไว้นะ” . . .