หลังจากที่หลงเฉินเดินทางกลับมายังจุดที่แขวนเสื้อเอาไว้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างรุนแรงในทันที พลันก็รีบวิ่งตะบึงหน้าตั้งออกไปยังเบื้องหน้าอย่างรีบร้อน ดวงตากวาดมองไปทั่วอย่างร้อนรน ทว่าก็พบแต่พื้นที่ขนาดหลายร้อยเซียะถูกทำลายจนกลายเป็นเพียงพื้นที่โล่งเตียนเท่านั้น
“ที่นี่เกิดการต่อสู้ขึ้นอย่างนั้นหรือ?” ถังหว่านเอ๋อกวาดสายตามองไปตามร่องรอยยาวก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวขึ้นมาด้วยความตกใจ
“ดูเหมือนว่ามีคนจงใจเข้ามาทำร้ายเสี่ยวเสว่ย” หลงเฉินยืนมือไปแตะคราบโลหิตสีแดงระเรื่อที่ลากยาวเป็นสายก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเสี่ยวเสว่ยที่แฝงเอาไว้
“ตรงขอบเส้นทางน้ำสายนั้นคล้ายกับมีรังสีกระบี่ฟาดฟันไปโดน แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ฝีมือของสัตว์มายา ทว่าเป็นคน แล้วผู้ใดกันที่กล้าลงมือต่อเสี่ยวเสว่ย?” ถังหว่านเอ๋อกล่าวขึ้นมาด้วยความฉงนสงสัยอย่างถึงที่สุด
หากกล่าวกันไปตามจริงแล้ว สถานที่แห่งนี้ไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของหมู่ตึกแล้ว ฉะนั้นย่อมไม่ใช่คนของทางหมู่ตึกเป็นผู้ลงมืออย่างแน่นอน อาจจะเป็นคนนอกแล้วกระมัง ทว่าอาณาเขตโดยรอบนับสิบหมื่นลี้กลับไม่มีแม้แต่ผู้คนอยู่อาศัยเลย แล้วจะมียอดฝีมือจากภายนอกหลุดรอดเข้ามาถึงที่แห่งนี้ได้อย่างไรกัน
ที่สำคัญก็คือเสี่ยวเสว่ยเป็นถึงราชาในหมู่สัตว์มายาระดับสามขั้นกลาง หรือต่อให้อยู่ในระดับสามขั้นต้น ก็คงจะไม่มียอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นคนใดหาญกล้าพอที่จะโจมตีใส่มันอย่างแน่นอน การลงมือในครั้งนี้สมควรจะเป็นฝีมือของผู้ที่มีพลังการฝึกยุทธ์สูงกว่าขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นตอนกลางขึ้นไปแล้วแน่นอน
หลงเฉินทอใบหน้าเย็นเยียบจ้องมองไปยังเบื้องหน้า พลันก็สังเกตเห็นรอยเท้าประทับอยู่หลายแห่ง “ผู้ที่โจมตีเสี่ยวเสว่ยไม่ได้มีเพียงคนเดียว ทว่ากลับลงมือพร้อมกันถึงสามคน”
หลงเฉินขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างกระวนกระวาย เขามั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าเสี่ยวเสว่ยไม่ได้จู่โจมใส่ผู้อื่นก่อนแน่นอน จึงเกรงว่าเจ้าหนูน้อยหมาป่าหิมะแดงเพลิงจะต้องอยู่ในอันตราย พลันก็วิ่งตะบึงตามรอยเหล่านั้นไปไกลหลายลี้ ก่อนจะพบกับหลุมขนาดใหญ่ที่มีร่องรอยการขีดข่วนของกรงเล็บอยู่มากมาย
“เสี่ยวเสว่ยคงจะถูกสยบลงตรงนี้ แล้วถูกดักจับด้วยแหจับปลาอย่างแน่นอน” หลงเฉินสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อสงบจิตใจที่วุ่นวาย น้ำเสียงที่เปล่งออกมาสั่นเครือเล็กน้อย ในขณะเดียวกันก็ปล่อยรังสีสังหารออกมาโดยที่ไม่รู้ตัวจนทำให้ผู้คนเกิดความหนาวเหน็บขึ้นมาอย่างถึงที่สุด
ถังหว่านเอ๋อจึงรีบกล่าวปลอบโยนด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “เช่นนั้นก็เห็นได้ชัดแล้วว่าเสี่ยวเส่วยยังไม่ได้เป็นอันตรายจนถึงแก่ชีวิต คนเหล่านั้นคงจะเล็งเห็นพรสวรรค์ของเสี่ยวเสว่ย จึงจะให้เสี่ยวเสว่ยเป็นพาหนะอย่างแน่นอน พวกเรายังพอมีเวลาออกไปตามหาได้อยู่นะ”
หลงเฉินพยักหน้าน้อยๆ แล้วตรวจดูร่องรอยที่อยู่บนพื้นอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง “เหตุการณ์คงจะเกิดขึ้นเมื่อสองวันที่แล้ว ข้าจะลองไปตรวจสอบดูโดยรอบนี้ก่อนเผื่อว่าจะมีเบาะแสอย่างอื่นเพิ่มเติม”
ถังหว่านเอ๋อพยักหน้าน้อยๆ จากนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็แยกย้ายกันออกไปตามหาร่องรอยของเสี่ยวเสว่ย ทว่าหลังจากที่ผ่านไปราวหนึ่งก้านธูปไหม้ พวกเขาก็ได้กลับมายังจุดนัดพบ ถังหว่านเอ๋อก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมาเป็นสัญญาณว่าไม่พบสิ่งที่น่าสงสัยอันใดเลย
หลังจากที่ผู้คนเหล่านั้นสามารถสยบเสี่ยวเสว่ยลงไปได้แล้ว ก็ไม่ทราบเลยว่าได้ใช้วิธีการอันใดในการนำตัวเสี่ยวเสว่ยจากไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นนี้
“แล้วเจ้าพบร่องรอยบ้างหรือไม่?” ถังหว่านเอ๋อเอ่ยถามขึ้นมาอย่างร้อนรน
หลงเฉินโบกมือไปมา ในมือของเขามีเศษผ้าชิ้นหนึ่งพลิ้วไหวอยู่ “เหล่าผู้คุมกฎเป็นผู้ลงมือ”
ถังหว่านเอ๋อแตกตื่นตกใจขึ้นมายกใหญ่ ดวงตาคู่งามกวางมองไปที่เศษผ้าชิ้นนั้นอย่างละเอียดก็พบว่าเป็นชายเสื้อที่ถูกฉีกจนขาดออกมา หลักฐานสำคัญก็คือตราสัญลักษณ์ของผู้คุมกฎที่ปรากฏขึ้นมาครึ่งหนึ่ง
“ไปเถิด ข้าเองก็อยากจะรู้นักว่าผู้ใดหาญกล้าลงมือกับเสี่ยวเสว่ยของข้าได้ถึงเพียงนี้”
ดวงตาคู่คมสาดรังสีสังหารอันเยือกเย็นออกไปทั่วทุกสารทิศ นี่ถือเป็นครั้งแรกที่หลงเฉินบังเกิดโทสะขึ้นมาอย่างแรงกล้าถึงเพียงนี้ เสี่ยวเสว่ยเปรียบเสมือนส่วนหนึ่งของเขา การลงมือต่อเจ้าหนูน้อยย่อมทำให้จิตใจของเขาเจ็บปวดยิ่งกว่าถูกคมดาบกรีดแทงลงไปที่ร่างกายเสียอีก
หลังจากที่หลงเฉินกลับมาถึงหมู่ตึกแล้วก็ได้มุ่งหน้ากลับไปยังถ้ำที่พักของตัวเองในทันที จากนั้นก็ได้ระดมกำลังผู้คนภายในขุมกำลังมาทั้งหมดเพื่อทำการสอบถามพวกเขาเหล่านั้นว่าเห็นการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติบ้างหรือไม่ เพราะหลายวันมานี้มีผู้คนมากมายต่างก็ออกไปทำภารกิจภายนอกหมู่ตึกกันมาทั้งสิ้น
ในขณะเดียวกันเขาก็แจ้งไปที่เยี่ยจื่อชิว ซ่งหมิงเหยียน หลี่ฉี และโหลวฉางให้ช่วยสอบถามผู้คนภายในขุมกำลังของพวกเขาด้วย เพราะหากว่าพวกเขาอยากสำเร็จภารกิจอย่างราบรื่นจะต้องทำการตรวจสอบสถานการณ์โดยรอบอยู่ตลอดเวลา เพื่อป้องกันเหตุร้ายหรือผู้คนที่ไม่หวังดี
“ศิษย์พี่หลงเฉิน มีคนกำลังตามหาท่านอยู่ด้านนอกนั้น” ทันใดนั้นก็คนผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยอาการหอบอย่างรุนแรง
หลงเฉินจึงเกิดอาการลิงโลดขึ้นมา คิดไปว่าจะได้รับข่าวคราวของเสี่ยวเสว่ยบ้าง ทว่าในขณะที่กำลังจะกล่าววาจาออกมานั้น เสียงอันคุ้นหูก็ดังเข้ามาในโสตประสาท “เหตุใดพวกเจ้าถึงได้น่ารำคาญถึงเพียงนี้ ข้าจะไปพบกับพี่หลงของข้า อย่าได้มาขวางข้าเชียวนะ”
ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เสียงโวยวายแต่อย่างใด ทว่ากลับดังกึกก้องไปทั่วบริเวณประดุจเสียงลั่นระฆังใหญ่จนกระแทกแก้วหูของผู้คนให้เกิดความเจ็บปวดไปตามๆ กัน
เมื่อได้ยินเสียงนั้น หลงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะตื้นตันขึ้นมาอย่างถึงที่สุด พลันก็รีบวิ่งออกจากถ้ำไปอย่างรีบร้อน ที่เบื้องหน้าของเขาตอนนี้มีผู้คนของขุมกำลังหลายสิบคนกำลังขวางคนผู้หนึ่งเอาไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย
คนผู้นั้นสูงกว่าคนทั่วไปถึงหนึ่งเซียะ รูปร่างกำยำแข็งแรง ตลอดทั่วทั้งร่างกายเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อเป็นปล้องๆ ให้ความรู้สึกเสมือนเหล็กกล้า บนร่างกายเปี่ยมไปด้วยพลังอันมหาศาลปะทุขึ้นมาต่อเนื่อง บนแผ่นหลังมีเขี้ยวหมาป่าขนาดใหญ่พาดเอาไว้ แขนของเขาเทียบได้กับขาของผู้คนถึงสองคนเลยก็ว่าได้
คนผู้นั้นยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายราวกับว่าเป็นเทพมรณะลงมาจุติอย่างไรอย่างนั้น พลังอันแกร่งกล้าที่แผ่ออกมานั้นเปี่ยมไปด้วยความยิ่งใหญ่ที่สามารถพลิกผืนฟ้าและถล่มผืนดินไปได้ภายในพริบตาเดียว เหล่าผู้คนภายในขุมกำลังที่รายล้อมคนผู้นั้นต่างก็มีใบหน้าขาวซีดอย่างเห็นได้ชัด
แม้แต่ถังหว่านเอ๋อเองก็ยังสะดุ้งตัวโยนเมื่อพบกับเงาร่างสายนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นบุคคลที่มีทั้งร่างกายใหญ่โตและมีพลังสภาวะที่น่าหวาดกลัวถึงเพียงนี้ปรากฏตัวอยู่ต่อหน้า อีกทั้งยังเป็นความน่าเกรงขามเสียยิ่งกว่าเหร่ยเชียนซังไปอีกขั้นหนึ่ง ภายในสายตานางราวกับเห็นสัตว์ร้ายในตำนานอย่างไรอย่างนั้น
“อาหมาน!” หลงเฉินร้องเสียงหลงออกไปอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
เมื่อได้ยินเสียงเรียกขานนั้น อาหมานที่กำลังถกเถียงกับผู้คนเหล่านั้นก็ได้หันหน้ากลับมายังต้นเสียงอย่างรวดเร็ว เมื่อดวงตาของทั้งคู่ประสานกัน ร่างกายใหญ่โตก็พุ่งทะยานมาหาหลงเฉินในทันที
ผู้คนที่ราบล้อมอยู่รอบด้านต่างก็แตกตื่นตกใจจนแทบจะพุ่งเข้าไปหยุดยั้ง เพราะเกรงว่าคนผู้นั้นจะทำอันตรายต่อหลงเฉิน ทว่าทันใดนั้นภายในสายตาของผู้คนมากมายก็เห็นว่าหลงเฉินเองก็กำลังพุ่งตัวเข้าไปหาคนผู้นั้นด้วยความยินดีปรีดาเช่นกัน
พวกเขาทั้งสองคนโผเข้ากอดกันอย่างแนบแน่น ส่วนอาหมานก็ร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาจอดกลั้นเอาไว้ได้อีกต่อไป “พี่หลง ในที่สุดข้าก็ตามหาท่านจนพบแล้ว”
“พี่น้องที่ดี อย่าได้ร้องไห้ไปเลย พวกเราเคยตกลงกันเอาไว้แล้วไม่ใช่หรือว่าต่อให้ต้องหลั่งโลหิตก็จะไม่ร่ำไห้ออกมา” ถึงแม้ว่าจะกล่าวออกไปเช่นนั้น ทว่าหลงเฉินเองก็อดไม่ได้ที่จะสะอื้นขึ้นมา
เพราะว่าอาหมานนั้นเปรียบเสมือนพี่น้องที่คลานตามกันมาอย่างไรอย่างนั้น เมื่อต้องแยกจากกันหลังจากที่ได้เข้ามาในหมู่ตึกแล้ว พวกเขาก็รู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบกันอีกครั้ง
อาหมานรีบปาดน้ำตาที่นองทั้งสองแก้ม พลันก็พยักหน้าไปมาอย่างว่าง่าย “อืออือ อาหมานจะเชื่อฟังพี่หลง”
แม้เวลาจะล่วงเลยผ่านไปแล้วหลายเดือน ทว่าอาหมานในตอนนี้ก็ยังคงเป็นคนที่ซื่อตรงเฉกเช่นเดิม หลงเฉินจึงตบไปที่ไหล่กว้างของอาหมานเพื่อปลอบโยน ทว่าเมื่อได้สัมผัสร่างกายกำยำนั้นก็อดไม่ได้ที่จะตกใจขึ้นมาอย่างถึงที่สุด
อาหมานนั้นสูงใหญ่กว่าเดิมถึงหนึ่งเท่าตัว อีกทั้งยังมีกล้ามเนื้อที่อัดแน่นราวกับว่าจะแตกระเบิดได้ทุกเมื่อ พลังสภาวะบนร่างกายน่าหวาดกลัวเสียยิ่งกว่าสัตว์มายาระดับสาม
“พี่น้องทั้งหลาย อย่าได้แตกตื่นไป นี่คืออาหมาน เป็นพี่น้องของข้าที่จากมาด้วยกัน พวกเจ้าแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเองเถิด” ทันทีที่กล่าวจบ หลงเฉินก็พาอาหมานเข้าไปในถ้ำที่พัก
หลังจากที่แนะนำอาหมานให้ถังหว่านเอ๋อและชิงยวูได้รู้จักแล้ว หญิงสาวทั้งสองก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี ไม่ว่าจะอย่างไร พวกนางก็เห็นว่าอาหมานเป็นบุคคลที่น่าหวาดกลัวเกินไป อีกทั้งยังมีร่างกายใหญ่โตประดุจยักษ์ตนหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น เมื่อได้อยู่ต่อหน้าอาหมานเช่นนี้แล้วก็ยิ่งทำให้พวกนางรู้สึกกดดันเป็นอย่างยิ่ง
มือที่อาหมานโบกทักทายมานั้นราวกับสามารถบดขยี้ผู้คนให้แหลกลานกลายเป็นเนื้อบดไปได้ในพริบตาเดียว ทว่าเมื่อได้สนทนากันไปครู่หนึ่ง พวกนางก็สัมผัสได้ว่าอาหมานผู้นี้เป็นชายหนุ่มที่ใสซื่อเป็นอย่างยิ่ง ภายในจิตใจจึงรู้สึกวางใจขึ้นมาได้บ้าง
“อาหมาน นับตั้งแต่ที่ไม่ได้เจอกัน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” หลงเฉินเอ่ยถามขึ้นมา
หลงเฉินนั้นเคยลอบถามความเป็นอยู่ของอาหมานจากผู้อาวุโสถู่ฟางอยู่หลายครั้ง ทว่าเฒ่าชรากลับตอบแค่เพียงว่าอาหมานได้ติดตามผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งอยู่ ทว่าไปยังที่แห่งใดนั้นกลับไม่อาจบอกได้
“ข้าสบายดีเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังได้ติดตามตาแก่ผู้หนึ่งออกไปกินจนอิ่มสำราญทุกวันเลย” อาหมานเกาหัวไปมาด้วยความเคอะเขินแล้วกล่าวออกมา
“ตาแก่? เขาคือผู้ใดกัน?” หลงเฉินถามด้วยความสงสัย
“เขาเคยบอกนามกับข้าแล้ว ทว่าข้ากลับไม่เคยจำได้ เขาจึงบอกให้ข้าเรียกเขาว่าอาจารย์” อาหมานกล่าวพร้อมกับก้มหน้าก้มตาด้วยความละอาย
“เจ้ามีอาจารย์แล้วอย่างนั้นหรือ?” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง หากอาหมานถูกผู้อาวุโสในหมู่ตึกรับเป็นศิษย์ได้แล้ว แน่นอนว่าหลังจากนี้ไปอาหมานจะต้องโชคดีเป็นอย่างยิ่งแน่นอน จึงไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดร่างกายของอาหมานถึงได้แข็งแกร่งมากถึงเพียงนี้ แท้ที่จริงแล้วก็มีผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งของหมู่ตึกคอยเลี้ยงดูเป็นอย่างดีนี่เอง
ถังหว่านเอ๋อและชิงยวูเองก็แตกตื่นตกใจขึ้นมายกใหญ่ เพราะพวกนางทราบดีว่าการรับศิษย์ภายในหมู่ตึกนั้นเข้มงวดเป็นอย่างยิ่ง และหากเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของทางหมู่ตึก เหล่าผู้อาวุโสย่อมไม่อาจรับศิษย์ได้โดยตรง มีเพียงเหล่าศิษย์เท่านั้นที่จะแก่งแย่งชิงตำแหน่งกัน
หากผู้อาวุโสคนใดจะรับศิษย์โดยตรงจะต้องได้รับการยินยอมจากท่านเจ้าสำนักก่อนจึงจะรับศิษย์ผู้นั้นมาดูแลได้ และศิษย์ที่ถูกเลือกก็ไม่ต้องเข้าร่วมขุมกำลังใดเพื่อแย่งชิงตำแหน่งกับผู้อื่นอีกด้วย
ทว่าคนผู้นี้กลับลืมเลือนได้แม้กระทั่งนามของอาจารย์ของตัวเอง อุปนิสัยแปลกประหลาดเช่นนี้ทำให้พวกนางทอสีหน้าปั้นยากจดจ้องไปที่อาหมาน
“อือ ตาแก่บอกว่าถ้าหากข้ากราบเขาเป็นอาจารย์แล้วก็จะไม่มีวันอดอยากไปตลอดกาล และหลังจากนั้นเขาก็ดีต่อข้าเสมอมา ปล่อยให้ข้ากินอิ่มทุกๆ วันอีกด้วย” อาหมานกล่าวอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นถังหว่านเอ๋อก็ถามในสิ่งที่อยากรู้ที่สุดออกมา “ความปรารถนาของเจ้ามีเพียงการกินอิ่มในทุกๆ วันก็เพียงพอแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่แล้ว เมื่อตอนที่ข้ายังเยาว์วัยต้องอดมื้อกินมื้อมาโดยตลอด หากไม่ได้เจอพี่หลงในวันนั้น ข้าก็คงอดตายไปแล้ว ขอเพียงได้กินอิ่ม ข้าก็พอใจอย่างถึงที่สุดแล้ว” อาหมานตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มอันใสซื่อ
หลงเฉินฝืนยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเห็นถังหว่านเอ๋อเองทอสีหน้าตกใจขึ้นมายกใหญ่ นั่นคงเป็นเพราะว่าสาวงามนางนี้ยังไม่ทราบว่าอาหมานสามารถกินอาหารเข้าไปได้มากมายมหาศาลจนน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง
“ให้ข้าตรวจสอบร่างกายของเจ้าหน่อยสิ”
หลงเฉินยื่นมือแตะไปที่หัวไหล่ของอาหมาน แล้วไหลเวียนพลังแห่งจิตวิญญาณเข้าไปอย่างรวดเร็ว สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือเนื้อเยื่อของอาหมานถูกกระตุ้นจนสำเร็จไปอีกสามส่วนแล้ว
อีกทั้งหยาดโลหิตยังเกิดความแปลกประหลาดขึ้นมาส่วนหนึ่ง คล้ายกับว่ามีลูกอ๊อดตัวเล็กมากมายเวียนว่ายไปมา ทว่าเมื่อมองเข้าไปดูอย่างละเอียดแล้วกลับพบว่าภายในมีอักขระชนิดหนึ่งปรากฏอยู่ เป็นอักขระที่มีชีวิตจนหลงเฉินสามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาลที่แฝงสภาวะทำลายล้างเอาไว้อย่างท่วมท้น
ถึงแม้จะยังเป็นแค่ตัวอ่อน ทว่าพลังที่แฝงอยู่นั้นก็มากพอที่จะทำให้ผู้คนหวาดหวั่นได้อย่างง่ายดาย ให้ความรู้สึกเหมือนกับเป็นสิงโตหนุ่มที่ตัวเล็กเท่าลูกสุนัข ทว่าในภายภาคหน้าก็จะเติบใหญ่และแข็งแกร่งจนกลายเป็นราชสีห์ผู้ยิ่งใหญ่ได้
หากเป็นมุมมองของหลงเฉินแล้ว อาหมานจะต้องไม่ใช่แค่ราชสีห์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน ทว่าอาจเติบใหญ่ไปถึงขั้นสัตว์ประหลาดในตำนานเลยก็ว่าได้
และไม่ทราบว่าเพราะเหตุใจ จู่จู่ภายในห้วงสมองของหลงเฉินก็ปรากฏฉากการต่อสู้ของยอดฝีมือที่ใช้เคล็ดกายานวดารากับสัตว์ประหลาดตนหนึ่งอยู่ในความฝันของเขา ในภายภาคหน้าของอาหมานจะสามารถกลายเป็นสัตว์ประหลาดตัวนั้นได้อย่างนั้นหรือ? หากเป็นจริงตามที่นึกคิดเอาไว้ แน่นอนว่าอาหมานจะต้องมีความน่ากลัวเป็นอย่างยิ่งแน่นอน
หลงเฉินจึงไถ่ถามต่อว่าชีวิตประจำวันที่ผ่านมานั้น อาหมานได้ติดตามตาแก่ผู้นั้นออกไปล่าสัตว์เพื่อกินเนื้อของมันก็เท่านั้น ที่ตัวเองสามารถสู้ได้ก็ให้ล้มด้วยตัวเอง หากตัวใดที่สู้ไม่ได้ก็จะมีตาแก่ผู้นั้นคอยช่วยเหลืออยู่เสมอ จึงทำให้เขาอิ่มหนำสำราญทุกวัน
“อาหมาน ในทุกๆ วันนี้เจ้าต้องกินเนื้อมากเพียงใดกัน?” ถังหว่านเอ๋อถามขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
“หากเป็นสัตว์มายาระดับสามขนาดใหญ่ก็ต้องกินวันละสามตัว หากเป็นสัตว์มายาระดับสี่แค่ตัวเดียวก็เพียงพอแล้ว” อาหมานกล่าวด้วยสีหน้าใสซื่อ
ถังหว่านเอ๋อและชิงยวูยกมือป้องปาก พลันก็เบิกดวงตาโพลงโตด้วยความตกใจ ถึงกับสังหารสัตว์มายาระดับสามและสี่แล้วกินเนื้อของพวกมันอย่างนั้นหรือ? แล้วเช่นนั้นผู้อาวุโสที่อาหมานติดตามอยู่เป็นการคงระดับใดกันนะ?
“ศิษย์พี่หลงเฉิน พวกเราได้ข่าวคราวของเสี่ยวเสว่ยแล้ว”
ทันใดนั้นก็มีคนผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาพร้อมกับบอกกล่าวออกมาด้วยอาการหอบหายใจอย่างรุนแรง เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลงเฉินก็ลุกฮือขึ้นในทันทีพร้อมกับแผ่รังสีสังหารออกมากดดันผู้คนรอบข้างอย่างรุนแรง