หลงเฉินปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนด้วยสีหน้าเย็นเยียบ อาวุธกระดูกขนาดใหญ่ถูกสะพายไว้บนแผ่นหลัง มือข้างซ้ายของเขากำลังดึงเส้นผมของคนผู้หนึ่งเอาไว้แน่น
ส่วนเงาร่างขนาดใหญ่ที่ติดตามหลงเฉินมานั้นก็คืออาหมานที่กำลังแบกเขี้ยวหมาป่าขนาดมหึมาที่ยาวกว่าห้าเซียะเอาไว้บนหลังอันกว้างใหญ่ ร่างกายของเขาคล้ายกับขุนเขาลูกใหญ่ที่สามารถเคลื่อนที่ได้
ทว่าที่น่าตกใจอย่างที่สุดนั่นก็คือคนที่ถูกหลงเฉินดึงเส้นผมแล้วลากมา คนผู้นี้มีบาดแผลอยู่ทั่วร่างกาย อีกทั้งยังมีแขนขาที่เปลี่ยนรูปไปอย่างเห็นได้ชัดเจน
“ชีซิ่ง นั่นคือชีซิ่ง”
ในที่สุดคนที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุดก็ตะโกนขึ้นมาด้วยความตกใจยกใหญ่จนทำให้ผู้คนที่เหลือต่างก็ยกมือขึ้นมาป้องปากด้วยความหวาดผวา เหตุใดบุคคลที่เป็นยอดฝีมือระดับสัตว์ประหลาดและเป็นถึงศิษย์สายตรงถึงถูกลากมาด้วยสภาพที่ไม่น่าเชยชมเช่นนี้ไปได้
หลงเฉินเดินฝ่าผู้คนมากมายราวกับมองไม่เห็นพวกเขาเหล่านั้นเลย พลันก็โยนร่างของชีซิ่งไปกองกับพื้นแล้วกล่าวเสียงดังกังวานว่า
“พี่น้องของข้า วันนี้ที่เรียกให้พวกเจ้ามารวมตัวกันอยู่ในที่แห่งนี้ก็เพื่ออยากจะขอความช่วยเหลือจากพวกเจ้า ทว่าความช่วยเหลือที่ข้าจะขอนั้นอาจส่งผลกระทบต่อสถานภาพของพวกเจ้า มีความเป็นไปได้ว่าคนที่ช่วยเหลือข้าจะต้องถูกขับไล่ออกไปจากหมู่ตึก……”
“หลงเฉิน อย่าได้กล่าววาจาเช่นนั้นเลย ในเมื่อเจ้ารับพวกเราเป็นพี่น้องแล้ว ฉะนั้นเรื่องของเจ้าก็คือเรื่องของพวกเราด้วย จงบอกออกมาเถิดว่าจะให้พวกเราไปทำสิ่งใด ต่อให้เจ้าสั่งให้พวกเราไปรื้อถอนรูปปั้นนั้น พวกเราก็จะไปทำทันที” โหลวฉางกล่าวตัดบทของหลงเฉิน
ถึงแม้วาจาของโหลวฉางจะไม่ได้สวยหรู อีกทั้งยังกล่าวขึ้นมาอย่างรีบร้อน ทว่ากลับเป็นประโยคที่แทนเสียงในใจของผู้คนทั้งหมด ไม่ว่าผู้ใดต่างก็เห็นหลงเฉินเป็นวีรบุรุษของพวกเขา เพื่อชำระล้างความอัปยศของพี่น้องในครั้งนั้น เขาก็ได้สังหารศิษย์สำนักเดียวกันลงไปถึงห้าคนโดยไม่เกรงกลัวต่ออำนาจของทางหมู่ตึกเลย
ด้วยจิตวิญญาณแห่งผู้นำของหลงเฉินนั้นได้ทำให้พวกเขายอมรับจนหมดใจไปแล้ว อย่าว่าแต่ต้องถูกขับไล่ออกไปจากหมู่ตึกเลย ต่อให้ต้องตายก็ถือว่าโชคดีแล้วที่เคยได้ติดตามบุคคลเช่นนี้
“ดี ในเมื่อพวกเจ้าไม่คัดค้าน ข้าก็จะไม่กล่าวให้มากความ หลังจากนี้พวกเราจะไปทำศึกใหญ่กัน”
ทันทีที่กล่าวจบ หลงเฉินก็ยกเท้าข้างหนึ่งกระทืบไปบนหน้าอกของชีซิ่ง จากที่เคยสลบไปก็ได้สติคืนกลับมาในทันที ในขณะที่ลืมตาขึ้นมานั้น ชีซิ่งก็รับรู้ถึงความเจ็บปวดตามร่างกายจนต้องกรีดร้องออกมาเสียงดังราวกับถูกกรีดแทงลงไปที่หัวใจ
“บอกมาว่าหวู่ฉีอยู่ที่ใด?” หลงเฉินเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ใน……เขต……หอฉี่เฟิง” ชีซิ่งกล่าวขึ้นมาอย่างยากลำบาก
“โครม”
หลงเฉินยกเท้าข้างนั้นกระแทกไปที่ชายโครงของชีซิ่งครั้งหนึ่งจนเขาสลบเหมือดลงไป ทันทีที่ชีซิ่งหลับตาลงก็ทำให้โลกทั้งใบอยู่ในความเงียบสงบอีกครั้งหนึ่ง ทว่าเสียงกรีดร้องประดุจสุกรกำลังถูกเชือดยังคงดังอยู่ในโสตประสาทของผู้คนทั้งหมดอย่างไม่เสื่อมคลาย
“ตามข้ามา”
หลงเฉินกล่าวแล้วหิ้วร่างของชีซิ่งมุ่งหน้าไปทางประตูทิศตะวันออกในทันที ประตูใหญ่นั้นคือเส้นทางสู่หอฉี่เฟิงซึ่งเป็นอาณาเขตในความดูแลของหวู่ฉีนั่นเอง
ผู้คนมากมายจึงเบิกดวงตาโพลงโตขึ้นด้วยความตะลึงลานอย่างถึงที่สุด เดิมทีพวกเขาเข้าใจว่าที่หลงเฉินต้องการให้ช่วยเหลือก็คือจัดการกู่หยางและพวกพ้อง ทว่าในขณะนี้เขากลับให้มุ่งหน้าไปหาผู้คุมกฎของหมู่ตึกไปเสียได้ ภายในจิตใจทั้งหวาดหวั่นและตื่นเต้นระคนกันไปเพราะเกรงว่าจะมีแต่หลงเฉินเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่กล้าคิดจะเข้าไปเหยียบถ้ำเสือเช่นนี้
ซ่งหมิงเหยียนและพวกพ้องต่างก็ทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรงมองไปที่แผ่นหลังของหลงเฉิน ทว่าก็ยังคงเดินติดตามไป ส่วนถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวได้แต่สบตามองกันอย่างรู้ถึงความในใจของอีกฝ่ายแล้วฝืนยิ้มขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
นิสัยของหลงเฉินเป็นเช่นไรนั้นพวกนางย่อมทราบดีเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ภายในจิตใจอยากจะเอ่ยปากเพื่อห้ามปราม ทว่าเมื่อได้เห็นแววตาจริงจังของหลงเฉินแล้วก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใดพวกนางถึงเกิดความรู้สึกว่าโลหิตภายในร่างกายกำลังพุ่งพล่านอย่างรุนแรง นี่คล้ายกับการแอบทำเรื่องที่ผู้ใหญ่สั่งห้ามให้ทำในวัยเยาว์อย่างไรอย่างนั้น
หลงเฉินเองก็เป็นเจ้าตัวเลวร้ายที่คงจะไม่มีวันเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่ายอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นกฎหรือข้อบังคับที่โหดร้ายทารุณเพียงใดก็แทบจะไม่มีผลต่อเขาเลย
“นั่นกู่หยางกับเหร่ยเชียนซังหรือ?”
“ใช่แล้ว นั่น….พวกเขาได้รับบาดเจ็บอย่างนั้นหรือ? ผู้ใดเป็นคนลงมือกัน?”
ทันใดนั้นสายตาอันฉับไวของผู้คนกลุ่มหนึ่งก็ได้เหลือบไปเห็นเงาร่างสองสายกำลังเดินมาจากบริเวณที่ห่างไกลออกไปไม่มาก บนใบหน้าของทั้งสองคนนั้นขาวซีด พลังสภาวะบนร่างกายวุ่นวายยุ่งเหยิง อีกทั้งยังมีคราบโลหิตประทับอยู่ทั่วร่าง เห็นได้ชัดว่าเพิ่งจะผ่านการต่อสู้มาไม่นานนัก
โดยเฉพาะแขนที่อยู่ในสภาวะไร้กระดูกของกู่หยาง ทว่าเหร่ยเชียนซังก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันมากนัก แม้จะเดินเหินได้คล่องแคล่วกว่ากู่หยาง ทว่าที่หน้าอกของเขากลับยุบตัวลงไปจนน่าหวาดกลัว
หลังจากที่กู่หยางและเหร่ยเชียนซังเดินเข้ามาใกล้ก็ได้มีคนกลุ่มหนึ่งตรงรี่เข้าไปหา พวกเขาก็คือศิษย์สายตรงที่เป็นพันธมิตรของกู่หยางนั่นเอง
“ศิษย์พี่กู่ ศิษย์พี่เหร่ย พวกท่าน……”
“อย่าเพิ่งถามให้มากความเลย ข้าจะรีบไปดูทางด้านนั้นเสียหน่อย” กู่หยางกล่าวตัดบทของคนผู้นั้นแล้วเดินหน้าต่อไป
คนกลุ่มนั้นถอดสีหน้าไปตามๆ กัน ทว่าก็รีบเดินตามกู่หยางและเหร่ยเชียนซังไป ภายในห้วงสมองของพวกเขาก็บังเกิดความคิดหนึ่งที่น่าจะเป็นไปได้ขึ้นมา พลันก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง บุคคลที่สามารถลงมือต่อกู่หยางและเหร่ยเชียนซังได้นั้นมีเพียงคนเดียวเท่านั้น!
ในขณะเดียวกันก็มีภาพหลงเฉินที่กำลังลากร่างของชีซิ่งปรากฏขึ้นมา ภายในจิตใจของพวกเขาจึงเกิดความเย็นเยียบขึ้นมาเป็นสาย หลงเฉินยังเป็นมนุษย์อยู่อีกหรือไม่? ไม่ใช่ว่าเป็นสัตว์ประหลาดที่ไร้จิตใจไปแล้วหรือ เพียงตัวคนเดียวก็สามารถล้มยอดฝีมือระดับสัตว์ประหลาดได้ถึงสามคนจนได้รับบาดเจ็บสาหัส
เมื่อเห็นว่ากู่หยางและพวกพ้องเดินไปทางหอฉี่เฟิง ผู้คนมากมายก็ออกเดินทางติดตามไปด้วย เพราะพวกเขาเองก็อยากจะทราบเต็มประดาแล้วว่าหลงเฉินจะไปก่อเรื่องอันใดที่นั่น
“หรือจะเกี่ยวกับสัตว์พาหนะของหลงเฉิน?” คนผู้หนึ่งคาดเดาขึ้นมา เนื่องจากช่วงก่อนได้มีข่าวลือว่าหลงเฉินกำลังตามหาสัตว์มายาของเขาอยู่
ถึงแม้จะไม่ทราบว่าต้นสายปลายเหตุว่าเป็นเช่นไร ทว่าเมื่อได้ฟังคำด่าทอของโหลวฉางต่อชีซิ่งเมื่อครู่นี้แล้วก็น่าจะมีความเป็นไปได้ที่จะเกี่ยวของกับชีซิ่ง ส่วนชีซิ่งเองก็ได้เอ่ยนามหวู่ฉี่ออกมา ฉะนั้นเพียงตามไปดูก็คงพอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้แล้ว
หอฉี่เฟิงตั้งอยู่ทางประตูฝั่งตะวันออกของหมู่ตึกพลิกสวรรค์ เป็นตำแหน่งในที่ลับตาผู้คนเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเป็นสำนักงานของผู้คุมกฎ โดยทั่วทั้งหมู่ตึกแห่งนี้มีสำนักงานประจำพื้นที่อยู่ทั้งหมดเจ็ดแห่ง ในแต่ละแห่งก็จะมีผู้คุมกฎประจำอยู่นับสิบคนเลยทีเดียว
ผู้คุมกฎเหล่านี้คือศิษย์พี่ที่หลงเหลือมาจากศิษย์รุ่นก่อน สำนักงานจึงเปรียบเสมือนสถานที่ฝึกยุทธ์ของพวกเขา หมู่ตึกจึงได้มอบสวัสดิการให้พวกเขาแลกกับการปฏิบัติภารกิจด้วยเช่นกัน
ครึ่งหนึ่งของหุบเขาแห่งนี้คืออาณาเขตของหอฉี่เฟิง มีถ้ำรายล้อมบริเวณแห่งนี้ทั้งหมดสิบแห่งซึ่งเป็นที่พักของศิษย์พี่ที่เป็นผู้คุมกฎทั้งสิบคนนั่นเอง
ทว่าพวกเขาจะต้องผลัดกันออกไปลาดตระเวน จะหลงเหลือเพียงสามคนเท่านั้นที่ประจำอยู่บริเวณนั้น และไม่ไกลนักก็ได้มีร่างขนาดใหญ่ของหมาป่าหิมะแดงเพลิงนอนอยู่ ทั่วทั้งร่างถูกมัดด้วยเชือกเส้นหนา อีกทั้งยังมีบาดแผลฉกรรจ์ไปทั่วทุกอณู
เสี่ยวเสว่ยทอสีหน้าดุร้ายมองไปยังเงาร่างของผู้คนกลุ่มหนึ่งที่กำลังถือแส้ยาวเอาไว้ บนแส้เส้นนั้นมีตะขอเหล็กแหลมคมประดับอยู่มากมายนับไม่ถ้วน อีกทั้งยังมีคราบโลหิตประปรายไปทั่ว
“ซูม”
แส้ยาวฟาดไปบนร่างของเสี่ยวเสว่ยอีกครั้ง เสี่ยวเสว่ยร้องคำรามออกมาด้วยความเจ็บปวด ทว่าเสียงของมันกลับแผ่วเบาพอๆ กับลมหายใจของมันเลยก็ว่าได้
“ศิษย์พี่หวู่ นี่ก็ผ่านมาสามวันแล้ว เหตุใดท่านยังไม่รวบรัดมันอีก ให้พวกเราทุบตีต่อไปก็ไม่ได้ประโยชน์อันใดขึ้นมาอยู่ดี” ผู้คุมกฎคนหนึ่งกล่าวขึ้นมา
พวกเขาต้องเสียพลังไปเป็นอย่างมากในการสยบหมาป่าหิมะแดงเพลิงตัวนี้แล้วแบกมันกลับมา ที่สำคัญก็คือหมาป่าตัวนี้ยังไม่ได้ถูกผนึกจิตวิญญาณกับผู้ใดเลย หากพวกเขาสามารถสยบมันได้ก็จะสามารถผนึกจิตวิญญาณกับมันได้ จากนั้นมันก็จะกลายเป็นทาสและพาหนะของคนผู้นั้นไปโดยปริยาย
“มารดาเถิด เจ้าสัตว์เดรัจฉานตัวนี้ก็ช่างเหมือนกับเจ้าตัวบัดซบหลงเฉินเสียจริง แม้ว่าจะถูกปลายตะขอที่เคลือบพิษบั่นทอนสติอยู่ก็ไม่ยอมสยบเสียที เพราะต่อให้เป็นสัตว์มายาระดับสามขั้นสูงก็ยังไม่อาจทนทานได้เลย แล้วเหตุใดสัตว์มายาระดับสามขั้นต้นถึงได้ทำให้ข้ารอคอยเนิ่นนานถึงเพียงนี้ นี่ข้าแทบจะคลั่งตายอยู่แล้ว”
หวู่ฉี่ระเบิดบันดาลโทสะขึ้นมายกใหญ่ พลันก็สะบัดแส้ยาวฟาดไปที่เสี่ยวเสว่ยติดต่อกันหลายครั้ง “หากเจ้ายังดื้อด้านเช่นนี้ ข้าก็จะไม่รอให้เจ้าสยบแก่ข้าอีกต่อไปแล้ว ทว่าข้าจะฟาดเจ้าให้ตายคามือเลย”
ขณะนี้บนร่างกายของเสี่ยวเสว่ยแทบจะไม่มีส่วนใดที่ไม่เกิดบาดแผลฉกรรจ์จากปลายตะขอของแส้ยาวเลย ไม่ว่าผู้ใดที่มาเห็นบาดแผลเหล่านั้นต่างก็ต้องสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่งแน่นอน แผลลึกจนเผยให้เห็นเนื้อที่อยู่ภายในที่มีโลหิตไหลหลั่งออกมาไม่หยุด
“ศิษย์พี่หวู่ หากยังทุบตีต่อไปเช่นนี้ เกรงว่าเจ้าหมาป่าคงจะต้องตายจริงๆ แน่นอน” ผู้คุมกฎอีกคนหนึ่งกล่าวท้วงขึ้นมาอย่างร้อนรน
ต่อให้เป็นถึงสัตว์มายาระดับสามก็ไม่อาจทนพิษบาดแผลจากการถูกเฆี่ยนอย่างต่อเนื่องถึงสามวันจนเนื้อหนังบนร่างกายผิดรูปไปทั้งหมด และต่อให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่านี้หลายเท่าก็ต้องตายไปอย่างไม่ต้องสงสัย
ในขณะนี้เสี่ยวเสว่ยได้แต่นอนแน่นิ่ง แววตาเลื่อนลอยราวกับว่าพลังชีวิตแทบจะไม่หลงเหลือแล้ว หากปล่อยให้หายไปจนหมด แน่นอนว่าชีวิตของมันก็ดับสูญไปด้วย
“น่าโมโหยิ่งนัก เหตุใดเจ้าตัวบัดซบหลงเฉินถึงทำให้มันยอมศิโรราบให้แต่เพียงผู้เดียวได้กัน? แม้แต่จิตวิญญาณก็ไม่จำเป็นจะต้องผนึก ส่วนข้าที่แข็งแกร่งกว่าเจ้านั่นไม่รู้ตั้งกี่เท่าตัวยังไม่อาจมีพาหนะที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้!”
หวู่ฉีตะโกนเสียงดังขึ้นมาด้วยความเดือดดาล เขาทราบดีว่าหมาป่าหิมะแดงเพลิงเป็นราชาในหมู่สัตว์มายาระดับสาม หากเมื่อใดที่ได้เลื่อนขั้นเป็นระดับสูงสุดก็จะถือว่าเป็นการคงอยู่ที่ไร้ผู้ต้านทานแล้ว
ในขณะที่เขาได้ต่อสู้กับเสี่ยวเสว่ยจนได้เห็นถึงพลังการต่อสู้อันน่าหวาดกลัวของมันก็ยิ่งเกลียดชังต่อหลงเฉินเป็นอย่างยิ่ง เหตุใดมือใหม่เช่นนั้นถึงได้ครอบครองหมาป่าหิมะแดงเพลิงตัวนี้ได้?
“ในเมื่อเจ้าไม่ยอมสยบให้กับข้า เช่นนั้นก็อย่าได้โทษว่าข้านั้นอำมหิตจนเกินไป หากหวู่ฉีผู้นี้ไม่ได้ครอบครองสัตว์มายาระดับสาม เจ้าตัวบัดซบหลงเฉินก็อย่าได้หวังเลย”
หวู่ฉีจ้องเขม็งไปยังเสี่ยวเสว่ยที่กำลังมองมาที่ตัวเอง ความเดือดดาลที่อัดแน่นอยู่ภายในจิตใจก็ระเบิดออกมาอย่างท่วมท้น มือข้างหนึ่งปล่อยแส้ยาวออกจากมือ จากนั้นก็ล้วงเอากระบี่หยกที่สาดประกายเย็นเยียบออกมาหมายที่จะฟันไปที่หัวของเสี่ยวเสว่ยในทันที
ในขณะที่กระบี่ยาวกำลังกวาดผ่านอากาศอยู่นั้น จู่จู่รังสีสังหารขุมหนึ่งก็แล่นเข้ามาปกคลุมร่างกายของเขาจนหนาวสะท้านไปทั่ว พลังกดดันอันน่าหวาดกลัวแผ่กระจายปกคลุมไปทั่วบริเวณราวกับมีเทพแห่งความตายลงมาจุติอย่างไรอย่างนั้น อาวุธกระดูกที่แฝงความเคือดแค้นเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยมก็ได้ฟาดเข้ามาอย่างรุนแรง
“สังหาร”