เมื่อหลงเฉินเร่งฝีเท้าเดินมาจนถึงสำนักงานของผู้คุมกฎ ดวงตาคู่คมก็พบเงาร่างขนาดใหญ่ของเสี่ยวเสว่ยกำลังนอนหายใจโรยรินอยู่ไม่ไกล จิตใจของเขาก็ได้หล่นลงไปถึงตาตุ่มในทันที รังสีสังหารที่แผ่ออกมาตลอดทางก็ได้ปะทุขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง
จากนั้นก็เหลือบไปเห็นหวู่ฉีกำลังยกกระบี่ยาวหมายที่จะสังหารเสี่ยวเสว่ย มือข้างใหญ่จึงรีบคว้าอาวุธกระดูกที่สะพายอยู่บนแผ่นหลังแล้วฟาดไปที่ศีรษะของหวู่ฉีในทันที
หวู่ฉีเองก็คาดไม่ถึงว่าจะมีคนนอกหาญกล้าเข้ามายังสำนักงานของตัวเอง เพราะโดยปกติแล้วทุกสำนักงานของผู้คุมกฎต่างก็เป็นเขตหวงห้ามบุคคลภายนอก
หลงเฉินผนึกรวมรังสีสังหารอันมหาศาลทั้งหมดเอาไว้ในอาวุธกระดูก เพียงพริบตาเดียวก็ได้ปิดทางหนีทีไล่ของหวู่ฉีไปจนหมดสิ้น หวู่ฉีแตกตื่นตกใจขึ้นมายกใหญ่พลันก็กวาดกระบี่ยาวในมือมาต้านรับเอาไว้โดยพลัน
“โครม”
อาวุธกระดูกกระทบกับกระบี่ยาวอย่างหนักหน่วงจนเกิดเป็นพายุกรรโชกจากพลังทำลายมหาศาลประดุจภูเขาไฟกำลังปะทุความร้อนแรงออกมา หวู่ฉีถูกขุมพลังอันน่าหวาดกลัวที่แฝงความเคียดแค้นซัดจนลอยกระเด็นออกไกล และในขณะนั้นเองเขาก็เห็นชัดเจนแล้วว่าผู้ใดบุกรุกเข้ามา
“หลงเฉิน! บังอาจนัก กล้าบุกรุกสำนักงานของผู้คุมกฎอย่างนั้นหรือ เจ้ารนหาที่ตาย”
เมื่อแววตาสะท้อนเป็นภาพเงาร่างของหลงเฉิน หวู่ฉี่ก็คลายความแตกตื่นเป็นเย้ยหยันขึ้นมาในทันที กฎของทางหมู่ตึกเขียนเอาไว้อย่างชัดเจนว่าไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าไปในเขตที่พักของผู้คุมกฎ ฉะนั้นการกระทำของหลงเฉินในตอนนี้ก็คือการฝ่าฝืนกฎของหมู่ตึกนั่นเอง
เหตุการณ์เมื่อครู่นี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนผู้คุมกฎอีกสองคนเพิ่งจะมีปฏิกิริยากลับคืนมา พวกเขาทอสีหน้าแตกตื่นมองไปที่หลงเฉิน ภายในจิตใจก็ร่ำร้องขึ้นมาว่าแย่แล้ว หลงเฉินถึงกับบุกรุกเข้ามาถึงที่เลยทีเดียว
ก่อนหน้านี้พวกเขาเองก็ทราบดีอยู่แล้วว่าหมาป่าหิมะแดงเพลิงที่จับมานั้นเป็นสัตว์พาหนะของหลงเฉิน จึงได้ขนย้ายให้แนบเนียนอย่างถึงที่สุด ทว่ากลับไม่คิดว่าหลงเฉินจะทราบแล้วบุกเข้ามาถึงที่แห่งนี้
เมื่อเห็นหลงเฉินปรากฏตัวต่อหน้า อีกทั้งยังเป็นฝ่ายเปิดศึกก่อน ผู้คุมกฎทั้งสองคนจึงได้แต่ส่งเสียงดังชิอย่างเย็นชาขึ้นมาพร้อมกับพุ่งทะยานร่างเข้าไปหาหลงเฉินหมายที่จะลอบโจมตีจากทางด้านหลัง
ทว่าในขณะที่กำลังจะออกตัวไปทางด้านหน้าอยู่นั้น จู่จู่ก็ได้มีร่างใหญ่ประดุจยักษ์ยกเขี้ยวหมาป่าขนาดมหึมา ฟาดเข้ามายังเบื้องหน้าของพวกเขาทั้งสองคนอย่างรวดเร็ว
“บังอาจรังแกเสี่ยวเสว่ย พวกเจ้าจ้องตาย!”
เขี้ยวหมาป่าลู่มาตามสายลมกรรโชกแรงจนสภาวะอากาศโดยรอบเกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรง พลังกดดันมหาศาลแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณจนยากที่จะหายใจได้ พลันก็รีบออกอาวุธเข้าต้านทานเขี้ยวหมาป่านั้นไว้
“โครม”
อาวุธของผู้คุมกฎแหลกลานลงไปภายในพริบตาเดียว เงาร่างสองสายกระเด็นออกไปไกลกว่าสิบเซียะจึงค่อยฝืนหยุดร่างกายเอาไว้ได้ สีหน้าแตกตื่นมองไปยังผู้ที่เข้ามาขัดขวาง แท้ที่จริงแล้วเขาก็คืออาหมานนั่นเอง
อาหมานลอบมองไปที่เสี่ยวเสว่ยที่กำลังนอนหายใจโรยรินตอยู่บนพื้น ร่างกายของเจ้าหนูน้อยเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์จนเห็นเนื้อหนังด้านใน แววตาของชายหนุ่มร่างยักษ์จึงทอสีแดงก่ำขึ้นมา พลันก็กระชับเขี้ยวหมาป่าในมือจนแน่นแล้วมุ่งหน้าไปทางหวู่ฉีในทันที
หวู่ฉีจ้องมองไปยังร่างกายใหญ่โตของคนผู้นั้นด้วยดวงตาเบิกกว้าง เขาสัมผัสได้ว่าบนร่างกายของอาหมานเป็นบรรยากาศที่แปลดประหลาดจากผู้คนมากมายที่เขาเคยเห็นมา เป็นขุมพลังอันมหาศาลที่น่าหวาดกลัวอย่างถึงที่สุดเลยก็ว่าได้
เมื่อเห็นว่าอาหมานพุ่งทะยานเข้ามาอย่างรวดเร็ว หวู่ฉีเองก็ไม่กล้ารีรออีกต่อไป พลันก็ปะทุพลังทั่วทั้งร่างกายออกมาทั้งหมด พลังของยอดฝีมือที่อยู่ในขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นตอนกลางก็ได้ปะทุขึ้นมาอย่างท่วมท้น จากนั้นมือทั้งสองข้างก็กวาดกระบี่ไปที่อาหมาน
“โครม”
อาวุธทั้งสองชนิดกระทบจนอย่างรุนแรงจนเป็นประกายเพลิงแผ่กระจายไปทั่วทุกสารทิศ แม้ว่ากระบี่ยาวในมือของหวู่ฉีจะตีขึ้นมาจากวัสดุที่พิเศษชนิดหนึ่ง ทว่าเมื่อเผชิญกับเขี้ยวหมาป่าของอาหมานแล้วกลับแหลกระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ในทันที แล้วร่างของหวู่ฉีก็ถูกซัดจนถอยออกไปหลายก้าว แขนทั้งสองข้างเกิดความรู้สึกชาซ่านขึ้นมาอย่างรุนแรง
“น่าหวาดกลัวยิ่งนัก” หวู่ฉีแอบร่ำร้องขึ้นมาด้วยความตกใจ พลันก็รีบต้านทานการจู่โจมของอาหมานที่ฟาดเข้ามาไม่หยุด
ส่วนผู้คุมกฎที่ถูกโจมตีไปเมื่อครู่นี้ก็ค่อยๆ สลายสภาวะแตกตื่นแล้วออกวิชาโซ่ตรวนมุ่งหน้าไปหาหลงเฉินในทันที
หลงเฉินจ้องมองเสี่ยวเสว่ยที่กำลังจ้องมองกลับมา ถึงแม้ว่าร่างกายของเจ้าหนูน้อยจะไม่สามารถขยับเขยื้อนได้เลย ทว่าภายในแววตากลับทอประกายความอบอุ่นออกมาเป็นสาย
แววตาใสซื้อนั้นทำให้จิตใจของหลงเฉินราวกับถูกมีดกรีดลงไปจนโลหิตไหลรินออกมา ทั่วทั้งร่างกายสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุมได้อีกต่อไป บรรยากาศโดยรอบมีเพียงรังสีสังหารอันแรงกล้าแผ่กระจายไปทั่วจนผู้คนหายใจติดขัด
ในขณะที่ผู้คุมกฎทั้งสองคนกำลังพุ่งเข้าไปหาหลงเฉินอยู่นั้นก็ได้มีผู้คนนับร้อยคนบุกโจมตีเข้าไปด้วยเช่นกัน กัวเหรินทอแววตาเจ็บปวดมองไปที่เสี่ยวเสว่ยแล้วเดินเข้าไปหยุดอยู่ข้างกายของหลงเฉิน พลันก็อดไม่ได้ที่จะระเบิดโทสะขึ้นมาอย่างเดือดดาลก่อนจะตะโกนออกไปว่า “พี่น้องทั้งหลาย บุก! สังหารเจ้าพวกลูกเต่าเหล่านี้อย่าให้มีชีวิตรอด”
พวกพ้องภายในขุมกำลังของหลงเฉินที่ตามเข้ามาก็ได้แต่มองไปยังฉากเบื้องหน้าสายตาด้วยความสลดหดหู่ แม้แต่ถังหว่านเอ๋อและเยี่ยจื่อชิวเองก็ยังรู้สึกสะเทือนจิตใจเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นรังสีสังหารนับหลายร้อยสายก็ปะทุขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง
“บุกเลย จัดการกับพวกขยะไร้สามัญสำนึกกลุ่มนี้กันเถิด”
“มารดาเจ้าเถิด พวกผู้คุมกฎหยาบช้า ข้าจะสังหารพวกเจ้าให้หมด”
“พวกเศษสวะผู้อ้างกฎเกณฑ์ คิดว่าตัวเองอยู่สูงที่สุดในหมู่ตึกอย่างนั้นหรือ พวกเรามากอบกู้หมู่ตึกกันเถิด”
เหตุการณ์เบื้องหน้าสายตาของพวกเขาเพียงแค่มองครู่เดียวก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดอย่างลึกซึ้งแล้ว หลงเฉินนั้นเป็นบุคคลระดับวีรบุรุษอันสูงส่ง ผ่านเรื่องเลวร้ายมามากมายเพียงใดก็ยังคงยืนหยัดอย่างองอาจ ทว่าในขณะนี้กลับถูกทำให้ร่างกายสั่นเทาขึ้นมาได้ แน่นอนว่าเขานั้นต้องรักเสี่ยวเสว่ยเป็นอย่างยิ่ง
ฉะนั้นเจ้าพวกผู้คุมกฎเหล่านั้นก็คือตัวบัดซบที่ก่อเรื่องเลวร้ายอย่างถึงที่สุด ภายในจิตใจของผู้คนทั้งหมดจึงบังเกิดเพลิงโทสะลุกโชนขึ้นมาอย่างรุนแรง จากนั้นก็แยกย้ายกันออกอาวุธตรงเข้าไปยังกลุ่มผู้คุมกฎในทันที
ผู้คุมกฎทั้งสองคนต่างก็ทอสีหน้าซีดเผือดลงไปในทันที เมื่อเบื้องหน้าของพวกเขามีศิษย์สายตรงทั้งหมดห้ากำลังพุ่งเข้ามา “พวกเจ้าบังอาจเกินไปแล้ว คิดจะก่อกบฏอย่างนั้นหรือ?”
“ก่อกบฏต่อมารดาเจ้าสิ” โหลวฉางด่าทอขึ้นมาอย่างเหลืออด เขามีนิสัยตรงไปตรงมามากที่สุดในหมู่พวกพ้องแล้ว จากนั้นพลองยาวในมือก็ฟาดไปที่ผู้คุมกฎผู้นั้นด้วยพลังทั้งหมด
หลังจากที่โหลวฉางเริ่มจู่โจมเข้าไปเป็นคนแรก ผู้คนที่เหลือก็ไม่เกรงใจอีกต่อไป อาวุธในมือของแต่ละคนก็ได้หอบสายลมพวยพุ่งตรงเข้าไปหาผู้คุมกฎทั้งสองคนอย่างบ้าคลั่ง
ภายในจิตใจก็รู้สึกขยะแขยงกลุ่มคนเหล่านี้ที่กระทำการน่ารังเกียจอย่างถึงที่สุด ในเมื่อเหล่าผู้คุมกฎต่างก็เป็นศิษย์พี่ที่มีพลังอยู่ในขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นตอนกลาง ฉะนั้นพวกเขาจึงต้องลงมือด้วยพลังทั้งหมดที่มีเพื่อป้องกันการพลาดท่าจนถึงแก่ชีวิต
“หลงเฉิน เจ้าไปดูแลเสี่ยวเสว่ยเถิด”
ถังหว่านเอ๋อวางมืออันขาวผ่องไปที่บ่าของหลงเฉินแล้วกล่าวขึ้นมา นับตั้งแต่ที่รู้จักหลงเฉินมานั้นนางยังไม่เคยเห็นว่าหลงเฉินโกรธเกรี้ยวจนร่างกายสั่นเทาถึงเพียงนี้ เมื่อเรียกสติหลงเฉินได้แล้ว ถังหว่านเอ๋อก็เบิกพลังคมวายุขึ้นมาเพื่อเข้าสู่สภาวะต่อสู้
ผู้คนของพรรคฟ้าดินนับร้อยคนได้เข้าปิดล้อมผู้คุมกฎทั้งสองคนอย่างหนาแน่น ถึงแม้ว่าผู้คุมกฎทั้งสองคนจะเป็นยอดฝีมือที่อยู่ในขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นตอนกลาง ทว่าด้วยจำนวนที่แตกต่างกันนี้ก็ได้ถูกทุบตีจนไม่อาจทราบได้แล้วว่าเป็นมือเท้าของผู้ใดบ้าง
ส่วนเขี้ยวหมาป่าของอาหมานก็ยังคงหอบสายลมกรรโชกแรกเข้าจู่โจมหวู่ฉีอย่างบ้าคลั่ง ด้วยพลังอันมหาศาลของอาหมานก็ได้กดดันจนหวู่ฉีต้องร่นถอยหลังติดต่อกันไม่หยุด
หลังจากนั้นก็มีผู้คนที่ตามมาดูความคึกครื้นก็ปรากฏตัวขึ้นมาที่ปากทางเข้า ดวงตาทุกคู่เบิกกว้างเมื่อได้เห็นฉากการต่อสู้อันแสนจะวุ่นวาย โดยเฉพาะทางด้านอาหมานที่คล้ายกับเป็นเทพมรณะลงมาจุติ ในมือถือเขี้ยวหมาป่าที่แฝงอานุภาพทำลายล้างเข้ากดดันหวู่ฉีอยู่
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้พบเจอกับพลังอันน่าหวาดกลัวที่รองลงมาจากหลงเฉิน ถึงแม้ว่าจะมีร่างกายใหญ่โต ทว่ากลับเคลื่อนไหวไปมาอย่างคล่องแคล่วไม่หยุดราวกับว่าพลังที่มีอยู่ไม่มีวันใช้ออกมาได้หมด
กู่หยางที่เร่งฝีเท้าตามเข้ามาก็ได้มองไปที่อาหมานเป็นจุดแรก ภายในจิตใจก็บังเกิดความเลื่อมใสในความเก่งกาจของอาหมาน พลันก็ลอบถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง นับตั้งแต่ที่เขาได้ออกท่องยุทธภพกลับไม่เคยเจอคู่ต่อสู้ที่มีพลังมหาศาลมากมายถึงเพียงนี้มาก่อนเลย ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าสิ่งที่เรียกกันว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้านั้นเป็นเช่นไร ก่อนหน้านี้เขาก็เป็นเพียงแค่กบในกะลาเท่านั้น
ควรทราบว่าหวู่ฉีนั้นเป็นถึงหัวหน้ากลุ่มย่อยของผู้คุมกฎ อีกทั้งยังเป็นยอดฝีมือขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นตอนกลางขั้นสูงสุดไปแล้ว ฉะนั้นพลังการต่อสู้ของเขาย่อมแข็งแกร่งอย่างไร้ที่เปรียบด้วยเช่นเดียวกัน ทว่าในขณะนี้กลับถูกพลังกายของอามานกดดันจนต้องถอยหลังออกไป ช่างเป็นเรื่องที่ไม่อยากจะเชื่อสายตาเลยจริงๆ
ช่วงเวลาที่การต่อสู้เบื้องหลังเกิดความวุ่นวายและปั่นป่วน หลงเฉินก็ได้สูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อพยายามข่มกลั้นความรู้สึกเจ็บปวดระคนโกรธแค้นเอาไว้ แล้วเร่งฝีเท้าเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าของหมาป่าหิมะแดงเพลิง
“เสี่ยวเสว่ย……ไม่ต้องกลัวนะ ข้ามาช่วยเจ้าแล้ว และข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเจ็บปวดอีกต่อไป” หลงเฉินกล่าวขึ้นมาอย่างอ่อนโยน ทว่าภายในจิตใจกลับรู้สึกเจ็บปวดอย่างไร้ที่เปรียบ
สายตากวาดมองไปตามร่างกายของเสี่ยวเสว่ยที่เต็มไปด้วยบาดแผลลึก สายโลหิตหลั่งไหลออกมาไม่หยุด เมื่อได้นึกภาพที่แส้ยาวฟาดลงมา ภายในจิตใจของเขาก็ยิ่งเจ็บปวด
“โบร๋ว……” เสี่ยวเสว่ยส่งเสียงร้องขึ้นมาเบาๆ แววตามองไปที่หลงเฉินราวกับอยากจะเข้าไปคลอเคลีย ทว่ากลับไม่มีเรี่ยวแรงที่จะทำเช่นนั้นได้
“มา กลืนนี่ลงไปก่อน”
หลงเฉินล้วงเอาลูกแก้วที่ยอดฝีมือจากดินแดนหลิงเจี่ยมอบให้เขา ภายในลูกแก้วใบนี้รวมพลังชีวิตที่บริสุทธิ์เอาไว้อย่างหนาแน่น ครั้งก่อนก็ได้ใช้กับอาหมานที่ถูกทรมานจนแทบสิ้นหายใจ และในครั้งนี้เขาจึงอยากใช้เพื่อช่วยเหลือเสี่ยวเสว่ย
ถึงแม้ว่าเสี่ยวเสว่ยจะได้รับบาดเจ็บสาหัสไปทั่วทั้งร่างกาย ทว่ากลับไม่ได้เป็นบาดแผลที่รุนแรงจนถึงขั้นเอาชีวิต ที่ทำให้เสี่ยวเสว่ยหายใจโรยรินนั้นเกิดมาจากการเสียโลหิตภายในกายมากจนเกินไปต่างหาก
เดิมทีด้วยอาการบาดเจ็บเช่นนี้ เพียงพากลับไปรักษาตัวสักพักก็ดีขึ้นแล้ว ทว่าภายในจิตใจของหลงเฉินกลับไม่อาจรอคอยเวลาเช่นนั้นได้เพราะเสี่ยวเสว่ยสำคัญที่สุด ต่อให้ต้องใช้สิ่งของที่ล้ำค่ามากกว่านี้มารักษา เขาก็ยินยอมที่จะใช้หรือไปเสาะหามา
เสี่ยวเสว่ยรวบรวมพละกำลังที่หลงเหลืออยู่ทั้งหมดพยายามเปิดปากขึ้นมา ทว่ามันกลับไม่อาจทำได้สำเร็จ หลงเฉินจึงช่วยง้างปากของมันออกแล้วหยดน้ำแห่งชีวิตลงไป
เมื่อหยดน้ำแห่งชีวิตลงไปได้แล้ว หลงเฉินจึงรู้สึกสบายใจขึ้นมาได้บ้างแล้ว พลันก็ยื่นมือลูบศีรษะใหญ่ของเสี่ยวเสว่ยเบาๆ แล้วกล่าวปลอบโยนว่า “พักผ่อนเถิด ต่อจากนี้ไปพวกเราจะไม่มีวันแยกจากกันอีก”
เสียงของหลงเฉินเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณที่อบอุ่นจึงทำให้เสี่ยวเสว่ยเข้าสู่ห้วงนิทราไปในทันที อีกทั้งร่างกายของเสี่ยวเสว่ยก็อยู่ในสภาวะที่อ่อนแอเป็นอย่างมาก เมื่อได้เห็นหลงเฉินอยู่ข้างกาย เสี่ยวเสว่ยจึงสามารถหลับตาลงได้อย่างปลอดภัย
หลงเฉินหันไปมองรอบด้าน สายตาหยุดลงที่คนผู้หนึ่งที่มีนามว่าเยว่จื่อเฟิง พวกเขาเคยพบกันในช่วงเวลาที่กำลังช่วงชิงผลปราณลี้ลับกันนั่นเอง ถึงแม้ว่าหลังจากจบเรื่องนั้นแล้วจะไม่ได้ติดต่อกัน ทว่าหงเฉินก็ไม่ได้เห็นเขาเป็นศัตรู
“พี่เยว่ ต้องขอรบกวนท่านเสียหน่อย ช่วยหาคนที่ไว้ใจได้ส่งเจ้าหนูน้อยของข้ากลับไปที่พักแทนข้าด้วย จากนั้นก็ช่วยดูแลจนกว่าข้าจะกลับไป” หลงเฉินกล่าวต่อเยว่จื่อเฟิง
เยว่จื่อเฟิงจ้องมองไปที่หลงเฉินอย่างไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง พลันก็รีบพยักหน้าอย่างว่าง่ายแล้วตอบกลับไปว่า “พี่หลงโปรดเชื่อใจข้า ข้าจะคุ้มครองหมาป่าตัวเองเป็นอย่างดี”
เยว่จื่อเฟิงคิดไม่ถึงเลยว่าหลงเฉินจะเชื่อใจเขาถึงเพียงนี้ ถึงกับยอมมอบเสี่ยวเสว่ยให้ดูแลช่วงเวลาหนึ่งเลยทีเดียว จากนั้นเขาก็โบกมือเรียกผู้คนที่อยู่ใกล้ๆ มาสี่ห้าคนแล้วช่วยกันหามเสี่ยวเสว่ยขึ้นเปลแล้วออกไปจากสถานที่แห่งนั้นอย่างระมัดระวัง
ในช่วงเวลาที่หลงเฉินกำลังรักษาเสี่ยวเสว่ยอยู่นั้น ผู้คนมากมายก็ได้เข้าสู่สภาวะต่อสู้อย่างเกรี้ยวกราดจนสามารถปิดล้อมผู้คุมกฎทั้งสองคนเอาไว้ได้ ทว่าเมื่อผู้คุมกฎทั้งสองคนต้องเผชิญหน้ากับผู้คนมากมายถึงเพียงนั้น ด้วยความกลัวตายจึงได้ลงมือโต้กลับไปอย่างหนักหน่วงด้วยเช่นเดียวกัน
ถึงแม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะมีจำนวนที่แตกต่างกันเป็นอย่างมาก ทว่าผู้คนของพรรคฟ้าดินเพิ่งจะเข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนเส้นเอ็นไม่นาน ฉะนั้นในด้านพลังการต่อสู้ก็ยังถือว่าห่างชั้นกับผู้คุมกฎทั้งสองคนมากเกินไป มีเพียงเหล่าศิษย์สายตรงเท่านั้นที่พอจะต้านทานพวกเขาเอาไว้ได้ ส่วนที่เหลือก็ได้ถูกโซ่ตรวนซัดจนต้องกระอักโลหิตออกมาตามๆ กัน
“หากไม่หยุดลงมือก็อย่าได้โทษว่าพวกข้าอำมหิตจนเกินไป หากพลั้งมือจนสังหารพวกเจ้า แน่นอนว่าพวกข้าย่อมไม่ได้รับโทษแต่อย่างใด เพราะพวกเจ้าฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ของทางหมู่ตึกเอง” ผู้คุมกฎคนหนึ่งกล่าวขึ้นมาอย่างเหลืออด
“กฎบ้าบอของมารดาพวกเจ้าสิ”
“หุบปากเน่าๆ ของเจ้าซะ”
“ข้าจะทุบตีลูกเต่าอย่างพวกเจ้าให้ตายคามือเอง”
ถึงแม้จะถูกทำร้ายจนบาดเจ็บ อีกทั้งยังกระอักโลหิตออกมาไม่หยุด ทว่าผู้คนของพรรคฟ้าดินกลับไม่มีทีท่าว่าจะหนีถอยเลยแม้แต่คนเดียว แววตาดุร้ายจ้องมองไปที่ผู้คุมกฎทั้งสองคนแล้ววิ่งตะบึงเข้าไปพร้อมกับอาวุธในมืออย่างบ้าคลั่ง
สหายที่ได้รับบาดเจ็บต่างก็กลายเป็นแรงผลักดันให้คนที่ยังมีเรี่ยวแรงเข้าต่อสู้มากยิ่งขึ้น แต่ละคนขบเคี้ยวเขี้ยวฟันวิ่งเข้าไปหาศัตรูอย่างไม่หวาดหวั่น
เหล่าผู้คนที่ตามาชมความคึกครื้นต่างก็โลหิตพุ่งพล่านขึ้นมา สหาย? พี่น้อง? การกระทำที่เรียกกันว่ามอบแผ่นหลังของตัวเองให้ผู้อื่นดูแล? ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจแล้วว่าที่หลงเฉินด่าทอผู้ทรยศในวันนั้น แท้ที่จริงแล้วมันเป็นความรู้สึกเช่นนี้นี่เอง ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดหลงเฉินถึงได้เกลียดชังผู้คนที่ทรยศผู้อื่น
การต่อสู้ที่ไม่หวาดกลัวต่อความเป็นตายเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดที่สัมผัสไม่ได้ มีเพียงความเชื่อมั่นอันแรงกล้าต่อพวกพ้องเท่านั้นที่จะผนึกพลังการต่อสู้อันน่าหวาดกลัวเช่นนี้ออกมาได้
เมื่อเห็นเสี่ยวเสว่ยถูกยกออกไปแล้ว หลงเฉินก็หันไปพยักหน้าให้เยว่จื่อเฟิงเล็กน้อยเพื่อแสดงความขอบคุณ ฉะนั้นหลังจากนี้เขาก็สามารถต่อสู้ได้เต็มที่โดยไม่ต้องพะวงสิ่งใดแล้ว พลันอาวุธกระดูกก็ถูกกระชับแน่นยิ่งขึ้น ดวงตาจดจ้องไปที่วงต่อสู้ของอาหมานกับหวู่ฉีที่คงจะไม่น่ามีปัญหาใหญ่อันใด
ส่วนอีกวงหนึ่งกลับอยู่ในสภาพยับเยินเป็นอย่างยิ่ง มีผู้คนบาดเจ็บ กระอักโลหิต และลอยกระเด็นออกไปอยู่ตลอดเวลา หลงเฉินจึงสาดรังสีสังหารพร้อมกับขยับฝีเท้าพุ่งเข้าไปหาผู้คุมกฎคนหนึ่งในทันที อาวุธกระดูกลอยระบำไปกลางอากาศแล้วฟาดไปที่ศีรษะของคนผู้นั้นอย่างรุนแรง