เสียงคำรามของอาหมานดังกึกก้องไปทั่วทั้งฟ้าดิน เขี้ยวหมาป่าขนาดมหึมาหอบสายลมกรรโชกแรงฟาดไปที่ศีรษะของผู้อาวุโสซุนอย่างรวดเร็ว
ผู้อาวุโสซุนแตกตื่นตกใจขึ้นมายกใหญ่จนพลังกดดันสลายหายไปจนหมดสิ้น ภายใต้พลังอันมหาศาลของเขาตามปกติแล้วไม่ควรที่จะมีผู้ใดขยับเขยื้อนร่างกายได้เป็นแน่ ต่อให้เป็นถึงศิษย์สายตรงก็ตามที
ที่ทำให้น่าตกใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือคนผู้นี้สามารถจู่โจมเข้ามาด้วยพลังสภาวะที่แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด น่าหวาดกลัวจนเขาต้องก้าวถอยออกไปด้านหลังไม่หยุด บนศีรษะหลั่งเหงื่อออกมามากมายเมื่อเห็นคนผู้นั้นกำลังจดจ้องมาที่เขาอย่างเอาเป็นเอาตาย
“เจ้าเป็นใครกัน?” ผู้อาวุโสซุนกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“เจ้าบังอาจรังแกพี่หลงของข้า ข้าจะฆ่าเจ้า” อาหมานแผดเสียงร้องขึ้นมาพร้อมกับยกเขี้ยวหมาป่าฟาดไปทางศีรษะของผู้อาวุโสซุน
“บัดซบ เจ้ามันไร้มารยาท” ผู้อาวุโสซุนทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง เมื่อได้ยินวาจาไม่แยแสของอาหมานจึงระเบิดโทสะขึ้นมาแล้วฟาดฝ่ามือออกไป
“ตูม”
อาหมานส่งเสียงดังชิขึ้นมาอย่างเย็นชาพร้อมกับทะยานร่างเข้าไปยังเบื้องหน้าในทันที ศิลาก้อนใหญ่ที่เข้ามาขวางก็ได้ถูกฟาดจนแตกละเอียดกลายเป็นผุยผงภายในพริบตาเดียว
“หาที่ตาย”
บนใบหน้าของผู้อาวุโสซุนไม่อาจคงความสุขุมเอาไว้ได้อีกต่อไป การตอบโต้กลับไปเมื่อครู่นี้มีการออมมืออยู่บ้าง ทว่าด้วยพลังนั้นก็คงจะทำให้อาหมานได้รับบาดเจ็บอยู่บ้าง
ทว่าอาหมานในตอนนี้กลับไม่มีบาดแผลเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังคงสภาวะต่อสู้เฉกเช่นเดิม พลันก็มุ่งตรงเข้ามาหาเขาอย่างไม่ลดละจนทำให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาถึงลำคอ
ในขณะที่ผู้อาวุโสซุนกำลังไหลเวียนพลังขึ้นมาอยู่นั้น จู่จู่ก็มีสายลมหอบหนึ่งพุ่งมากระแทกเขี้ยวหมาป่าแล้วฟาดเข้าที่หัวไหล่ของเขาอย่างรุนแรง ผู้คนทั่วทั้งบริเวณต่างทอสีหน้าแตกตื่นขึ้นมายกใหญ่ หลงเฉินคิดจะลงมือต่อผู้อาวุโสซุนจนตายเลยหรืออย่างไรกัน?
“บังอาจ!”
ผู้อาวุโสซุนตะโกนเสียงดังขึ้นมาด้วยความเกรี้ยวกราด พลังอันน่าหวาดกลัวขุมหนึ่งทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าในทันที อาหมานและหลงเฉินที่กำลังจะโจมตีต่อผู้อาวุโสซุนก็ถึงกับถูกซัดจนลอยกระเด็ดออกไปไกล
“นี่เป็นพลังทำลายของขอบเขตปรือกระดูกอย่างนั้นหรือ? น่าหวาดกลัวสมชื่อเสียจริงเชียว”
ผู้คนมากมายกล่าวพึมพำขึ้นมาเมื่อได้เห็นพลังสภาวะของยอดฝีมือที่มีพลังอยู่ในขอบเขตปรือกระดูกที่สามารถเบิกพลังลมปราณภายในออกมาเป็นพลังทำลายได้ อีกทั้งยังไม่ต้องลงมือก็สามารถจัดการผู้คนได้ในทันที
“ฝ่าฝืนกฎระเบียบแล้วยังคิดจะใช้กำลังต่อผู้คุมกฎ พวกเจ้ารนหาที่ตายกันเองนะ” ผู้อาวุโสซุนตะโกนเสียงดังอย่างไม่สบอารมณ์
หลงเฉินจ้องมองไปยังผู้อาวุโสซุนอย่างเอาเป็นเอาตาย โลหิตภายในร่างกายเดือดพล่านขึ้นมาอย่างรุนแรง ยอดฝีมือขอบเขตปรือกระดูกช่างน่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว เรียกได้ว่าเป็นการคงอยู่ที่ห่างไกลจากเขาเป็นอย่างยิ่งเลยก็ว่าได้
“ผู้อาวุโสซุน ท่านช่วยแยกแยะถูกผิดด้วย อย่าได้ใส่ร้ายคนดีโดยไม่ไถ่ถามหาความเป็นจริงเลยแม้แต่น้อย” ถังหว่านเอ๋อกล่าวเสียงแข็งขึ้นมาด้วยความโกรธจนร่างกายสั่นเทาไปทั้งหมด
นางทราบได้ในทันทีว่าผู้อาวุโสซุนกำลังจงใจกล่าวหาหลงเฉินอยู่ อีกทั้งยังต้องการลงมือกับหลงเฉินอย่างจริงจัง
“ชิ เจ้ากล้าสงสัยต่อสายตาของข้าอย่างนั้นหรือ? ภายในสายตาของข้าเห็นว่าพวกเจ้าเป็นฝ่ายรวมตัวกันเพื่อก่อกบฏ อีกทั้งยังเริ่มลงมือต่อผู้คุมกฎอย่างเผ็ดร้อน เห็นๆ กันอยู่แล้ว พวกเจ้ายังคิดที่จะปฏิเสธอย่างนั้นหรือ?” ผู้อาวุโสซุนกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ท่าน……”
“หว่านเอ๋อ อย่าได้เอื้อนเอ่ยต่อไปเลย ในเมื่อเขาปรารถนาที่จะจัดการข้า ก็ดี เช่นนั้นข้าก็จะจัดการเรื่องนี้ให้จบสิ้นไปทีเดียวเลย” หลงเฉินกล่าวตัดบทพูดของถังหว่านเอ๋อในทันที เพราะไม่ว่าจะกล่าวออกไปอย่างไร ภายในจิตใจของตาแก่บัดซบผู้นั้นก็ยังคงหมายหัวเขาอยู่ดี
หลงเฉินปลดแผ่นป้ายที่เอวออกมาก จากนั้นก็ใช้อาวุธกระดูกกรีดลงบนนิ้วมือข้างขวา โลหิตสดสีแดงหยดลงไปบนแผ่นป้ายจนทอประกายแสงสว่างไสวเจิดจ้าขึ้นมา และทันใดนั้นเองเสียงระฆังก็ดังไปทั่วทั้งหมู่ตึก
“อะไรกัน? หลงเฉินขอเปิดศึกประลองเป็นตายอย่างนั้นหรือ?” ผู้คนมากมายส่งเสียงดังเซ็งแซ่ดังขึ้นมาเป็นสาย อีกทั้งยังทอสีหน้าแตกตื่นมองไปที่หลงเฉินอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
มีกฎเกณฑ์ข้อหนึ่งของหมู่ตึกเขียนเอาไว้ว่าหากผู้คนของหมู่ตึกมีการขัดแย้งต่อกันจนยากที่จะแก้ไขปัญหาร่วมกันได้ก็สามารถนัดประลองเป็นตายได้ทุกเมื่อ ทว่าหารประลองจะดำเนินต่อไปได้ก็ต่อเมื่ออีกฝ่ายยินยอมพร้อมรับคำท้าด้วย ซึ่งแน่นอนว่าสามารถเลือกที่จะรับหรือไม่รับก็ได้เช่นเดียวกัน
และการขอท้าประลองก็คือต้องใช้โลหิตของตัวเองชโลมไปที่แผ่นป้ายประจำตัวเพื่อกระตุ้นปฏิกิริยาของแผ่นป้าย เมื่อทางหมู่ตึกรับทราบก็จะมีสัญญาณจากระฆังดังขึ้นมาเฉกเช่นเมื่อครู่นี้ และหลังจากนั้นแผ่นป้ายในมือของหลงเฉินก็จะหายไป นั่นก็หมายความว่าหลงเฉินจะต้องสังหารฝ่ายตรงข้ามให้ได้เพื่อชิงแผ่นป้ายมาเป็นของตัวเอง ไม่เช่นนั้นจะต้องออกจากหมู่ตึกไป
เมื่อเห็นว่าหลงเฉินขอท้าประลองเป็นตาย ผู้อาวุโสซุนก็ได้ทอสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง จากนั้นรอบด้านก็มีเงาร่างมากมายปรากฏตัวขึ้นมา จากสภาวะตึงเครียดก็กลายเป็นความคึกคักขึ้นมาในทันที
“ผู้ใดเป็นคนเปิดศึกประลองเป็นตาย?”
และทันใดนั้นเองบรรยากาศภายในบริเวณนั้นก็เกิดการสั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย เงาร่างสามสายปรากฏขึ้นมาต่อหน้าผู้คนมากมายพร้อมกับแสงเจิดจรัส หนึ่งในนั้นก็มีท่านเจ้าสำนักหลิงหวินจื่ออยู่ด้วย
ควรทราบว่าการประลองเป็นตายของภายในหมู่ตึกไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยที่จะเกิดขึ้นบ่อยครั้ง จำเป็นที่จะต้องให้ท่านเจ้าสำนักมาเป็นสักขีพยานด้วย หากท่านเจ้าสำนักยังอยู่ในช่วงเก็บตัวก็จะต้องให้บุคคลใกล้ชิดทำหน้าที่แทน
ส่วนเงาร่างที่อยู่ถัดจากหลิงหวินจื่อก็คือถู่ฟางและชายชรารูปร่างผอมบาง บนศีรษะของเขาเกลี้ยงเกราเป็นอย่างยิ่ง เรียกได้ว่าไม่มีเส้นผมเลยแม้แต่เส้นเดียว
เมื่อชายชรารูปร่างผอมบางปรากฏตัวขึ้นมา แววตาของเขาก็มองไปที่อาหมานด้วยอาการแตกตื่นตกใจระคนเดือดดาล “เจ้าหนู เหตุใดถึงมีรอยฟกช้ำมากมายถึงเพียงนี้? ผู้ใดรังแกเจ้า บอกอาจารย์มา อาจารย์จะสับมันให้เป็นชิ้นๆ ด้วยกรงเล็บนี้เอง”
ถึงแม้ว่าจะมีรูปร่างผอมแห้งแรงน้อยเป็นอย่างยิ่ง ทว่าสุ่มเสียงของเขากลับหนักแน่นและดุดันประดุจเสียงวัวคลั่งอย่างไรอย่างนั้น เพียงกล่าวขึ้นมาก็ดังสนั่นไปทั่วทั้งหุบเขาจนผู้คนมากมายต่างก็มีใบหน้าขาวซีดด้วยความหวาดกลัวจนแทบจะสลบไปในทันที
ผู้คนทั้งหมดต่างก็ทอสีหน้าโง่งมมองไปยังชายชราผู้น่าหวาดกลัวคนนั้นที่กำลังกล่าวว่าตัวเองเป็นอาจารย์ของชายหนุ่มร่างใหญ่ แม้แต่ผู้อาวุโสซุนยังทอสีหน้าเขียวคล้ำขึ้นมาในทันที แววตาปรากฏอาการสั่นไหว ละทิ้งท่วงท่าหยิ่งทระนงในตัวเองไปจนหมดสิ้น
อาหมานชี้นิ้วไปทางผู้อาวุโสซุนแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “ตาแก่บัดซบผู้นั้นไม่รู้จักแยกแยะชั่วดี บังอาจกล่าวหาและใส่ร้ายพี่หลงของข้า ข้าสู้เขาไม่ได้เลย ตาแก่ ท่านช่วยข้าจัดการเขาที”
ชายชราผู้นั้นมีโทสะขึ้นมายกใหญ่แล้วจ้องเขม็งไปที่ผู้อาวุโสซุนอย่างเอาเป็นเอาตายจนผู้อาวุโสซุนรีบตอบกลับขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักว่า “บรรพจารย์อา ข้า……”
“เพี๊ยะ”
ชายชราผู้นั้นยกมือข้างหนึ่งขึ้น เงาสีดำขนาดใหญ่ปกคลุมไปทั่วผืนฟ้าแล้วกวาดไปที่ร่างของผู้อาวุโสซุนจนลอยกระเด็นออกไปพร้อมกับกระอักโลหิตออกมาเป็นสาย
ฟันหลายสิบซี่ทอเป็นประกายระยิบระยับลอยคว้างอยู่กลางอากาศ จากนั้นร่างของผู้อาวุโสซุนก็กระแทกกับถ้ำที่อยู่ด้านหลังจนแหลกลานลงไป ฝุ่นละอองกระจายตัวทั่วบรรยากาศอันน่าหวาดกลัว
หลิงหวินจื่อฝืนยิ้มแล้วกล่าวขึ้นมาว่า “อาจารย์อา อย่างน้อยท่านก็ควรจะฟังเขากล่าววาจาให้จบก่อนสิ”
ผู้คนภายในบริเวณนั้นต่างก็เบิกตาโตมองไปที่ชายชราผู้น่าสะพรึงกลัวผู้นี้ เขาเป็นถึงอาจารย์อาของท่านเจ้าสำนักเชียวหรือ?
ไม่แปลกใจเลยที่ผู้อาวุโสซุนจะหวาดกลัวชายชราผู้นี้ได้ถึงเพียงนั้น เพราะแค่ระดับขั้นก็ต่างกันจนน่าตกใจแล้ว เช่นนั้นก็อย่าได้กล่าวถึงความแข็งแกร่งของเขาเลย เพียงออกกระบวนท่าฝ่ามือขึ้นมาก็ถึงกับซัดผู้อาวุโสซุนประดุจว่าวสายป่านขาดอย่างไรอย่างนั้น อีกทั้งยังแข็งแกร่งจนยากที่จะหลบเลี่ยงได้
เหล่าผู้คนต่างก็มีสีหน้าตกใจมองไปทางด้านของชายชราผู้นั้น แล้วก็หันไปมองอาหม่าน ทอดวงตาเป็นประกายไปยังบนร่างของหลงเฉิน เกรงว่าคงจะมีเรื่องให้น่าดูแล้ว
“หมายความว่าอย่างไร? เจ้าเป็นศิษย์พี่ประสาอะไรถึงปล่อยให้ศิษย์น้องของเจ้าถูกรังแกได้ หากเจ้าไม่ลงมือ ข้าก็จะเป็นคนสั่งสอนเจ้าตัวเลวร้ายผู้นี้เอง เจ้าจะห้ามข้าอย่างนั้นหรือ? นี่ หรือว่าเจ้าคิดว่าปีกกล้าขาแข็งมากแล้ว ถึงกับหาญกล้าเรียกข้าว่าอาจารย์อาด้วยเสียงยาวเช่นนั้น หรือเจ้าอยากประลองกับข้าสักตั้งหนึ่ง?” ชายชราผู้นั้นร่ายยาวด้วยน้ำเสียงดุดัน
หลิงหวินจื่อยิ้มเจื่อนขึ้นมา นอกจากอาจารย์อาผู้นี้จะมีพลังยุทธ์ที่สูงส่งจนน่าประหลาดใจแล้ว เขายังมีนิสัยมุทะลุเป็นอย่างยิ่ง เมื่อคิดอันใดก็จะกล่าวออกมาเช่นนั้นโดยไม่คำนึงถึงเหตุและผลเลย ที่สำคัญที่สุดก็คือเขาขึ้นชื่อในด้านการเข้าข้างผู้คนของตัวเองเป็นที่หนึ่งจึงไม่มีผู้ใดกล้าต่อปากต่อคำด้วย
“ชิ หรือว่าเจ้าลืมไปแล้วว่าในตอนนี้ที่ถูกพวกสำนักเงามารรังแกเป็นข้าที่พาเจ้ากลับมา หึ เจ้าลืมเลือนบุญคุณในครั้งนั้นไปแล้วหรืออย่างไรกัน?” ชายชราด่าทอขึ้นมาไม่หยุด
หลิงหวินจื่อมีใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาในทันที การถูกด่าทอต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ย่อมเก็บงำความรู้สึกไม่สบายใจได้ยากเป็นอย่างยิ่ง ทว่าเมื่อนึกถึงเรื่องในสมัยก่อนอดีตที่ผ่านมา ทุกช่วงเวลาที่ตกที่นั่งลำบากก็จะมีอาจารย์อาปกป้องเขาไว้ทุกครั้ง
และต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับความตาย อาจารย์อาก็มักจะออกตัวช่วยเหลือเขาเสมอ อีกทั้งยังรักและทะนุถนอมเขามากกว่าอาจารย์ที่แท้จริงของเขาเสียอีก ทว่าอาจารย์อามีนิสัยประหลาด หากว่าไม่สบอารมณ์ต่อผู้ใดก็จะไม่สนใจใยดีเลยแม้แต่น้อย
จนเมื่อถู่ฟางพาอาหมานกลับมาด้วยในวันนี้ อาจารย์อาก็ถึงกับทอแววตาเป็นประกายแล้วเข้าไปช่วงชิงอาหมานก่อนอาจารย์ท่านอื่น อีกทั้งยังเลี้ยงดูอาหมานเป็นอย่างดี หากอาหมานปรารถนาสิ่งใดก็จะหามาให้ทั้งหมด ทว่าสำหรับอาหมานผู้นี้นอกจากของกินแล้วก็ไม่เคยต้องการสิ่งใดเลย ฉะนั้นเขาจึงพาอาหมานออกไปล่าสัตว์ และเมื่อกลับมาถึงหมู่ตึก อาหมานก็ได้ข่าวว่าหลงเฉินอยู่ในหมู่ตึกแล้วจึงรีบวิ่งมาหาในทันที
จากนั้นหลิงหวินจื่อและถู่ฟางก็ได้ดื่มชากับอาจารย์อาพร้อมกับฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับความแปลกประหลาดภายในร่างกายของอาหมาน อีกทั้งยิ่งพูดก็ยิ่งออกรส การสนทนาของพวกเขาจึงเนิ่นนานจวบจนได้ยินเสียงระฆังดังไปทั่วทั้งหมู่ตึก
จนทำให้ชายชราไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่งเพราะถูกขัดจังหวะการสนทนาที่กำลังสนุกสนาน ส่วนหลิงหวินจื่อก็ต้องมายังสถานที่ประลองเพื่ออยู่ร่วมเป็นสักขีพยาน เพราะศึกการต่อสู้เช่นนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นตายของศิษย์ภายในสำนัก และแน่นอนว่าพวกเขาต้องเกลียดชังต่อกันจนไม่อาจอยู่ร่วมกันได้อีกต่อไปแล้ว
เมื่อชายชราเห็นว่าหลิงหวินจื่อได้แต่ฝืนยิ้มขึ้นมา อีกทั้งไม่มีการตอบโต้ใดใดกลับมาอีกก็ได้หยุดด่าทอ แล้วจ้องเขม็งไปที่ผู้อาวุโสซุนด้วยสายตาอาฆาตมาดร้าย
หลิงหวินจื่อจึงเกรงว่าอาจารย์อาจะทุบตีผู้อาวุโสซุนอีก พลันก็รีบกระแอมเสียงดังแล้วกล่าวขึ้นมาว่า “ผู้ใดเป็นคนร้องขอให้มีการประลองเป็นตาย?”
“เป็นศิษย์เอง” หลงเฉินก้าวขึ้นมาแล้วตอบกลับไป
เมื่อเห็นว่าเป็นหลงเฉิน หลิงหวินจื่อและถู่ฟางก็ลอบถอนหายใจเล็กน้อย: ที่แท้ก็เป็นเขานี่เอง
“เจ้าปรารถนาจะประลองเป็นตายกับผู้ใด?”
“ข้าขอท้าผู้คุมกฎหวู่ฉีเพื่อมาประลองเป็นตายโดยใช้หยาดโลหิตเป็นพยาน ไม่ตายก็จะไม่เลิกราอย่างแน่นอน”
หลงเฉินจ้องมองไปทางหวู่ฉีที่ยืนอยู่ในบริเวณที่ห่างไกลออกไป แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาพร้อมกับแผ่รังสีสังหารอันเย็นเยียบกระจายไปทั่วทุกสารทิศ